ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ยิ่งนานวันยิ่งเห็นหมุดหมายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต่อการแก้ไขปัญหาวัดพระธรรมกายมากขึ้น
จากเดิมในช่วงแรกยังดูเหมือนเป็นการปูพรมปฏิบัติการไล่ล่า “ธัมมชโย” อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ผู้ต้องหาในคดีฟอกเงินและรับของโจรเพียงคนเดียว แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป เริ่มเห็นแล้วว่าเป้าหมายของรัฐบาลท็อปบูตไม่ใช่แค่การเผาอ้อยไล่งูตัวเดียวเสียแล้ว
แต่เป็นการสังคายนาลัทธิจานบินแบบขนานใหญ่ ชนิดเรียกว่าเป็นการล้มลัทธิจานบิน คงไม่ผิดแปลกนัก
เพราะถ้ามองในข้อเท็จจริง ต่อให้มีการจับตัว “ธัมมชโย” ได้ หรือดำเนินการทางพระธรรมวินัยได้ ถึงขนาดจับสึกออกจากผ้าเหลือง แต่ความศรัทธาที่พระและศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายมีต่ออดีตเจ้าอาวาสรายนี้ มันมาก เสียจนกบิลบ้านกบิลเมืองทำอะไรความศรัทธาคาถา ชิตังเม โป้ง รวย! ไม่ได้เลย
ดังนั้น การกำจัดเจ้าของค้อนสวรรค์ออกจากวงการผ้าเหลืองจึงไม่ใช่การแก้ไขปัญหาของวัดพระธรรมกายได้ เพราะต่อให้หมด “ธัมมชโย” ไป ก็จะมีคนในลัทธิขึ้นมาแทนเพื่อรักษาความศรัทธาที่มีต่อวัดอยู่
ถ้ามองขุนทหารและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในช่วงการขนกำลังตรวจค้นวัดพระธรรมกายในช่วงที่ผ่านมา อาจดูล้มเหลวในสายของสังคม เนื่องจากไม่มีศักยภาพในการลากคอผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ ต้องสูญเสียงบประมาณไม่รู้กี่ล้านบาทแต่ได้กลับมาแค่เพียงลม ขณะที่ "ธัมมชโย" ลอยนวลสบายใจเฉิบ
จนถูกค่อนแคะว่า เป็นปาหี่ มวยล้มต้มคนดู แต่สุดท้ายไม่มีน้ำยาอะไรเลย ถึงขั้นปรามาสมาตรา 44 ของคสช.ว่า ไม่เข้มขลังแล้ว
แต่ถ้ามองถึงผลลัพธ์หลายๆ อย่าง จะเห็นว่า สิ่งที่คสช. และดีเอสไอ ได้กลับไปจากการตรวจค้นลมครั้งนี้ก็มีอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน โดยเฉพาะภาพพระสงฆ์ใส่หน้ากากอนามัยพยายามขัดขวางเจ้าหน้าที่ ,ภาพพระสงฆ์ต่อปากต่อคำไม่สามารถละทางโลก, ภาพการขุดร่องน้ำเพื่อทำเป็นค่ายกลในการป้องกันการตรวจค้น เสมือนกำลังตั้งป้อมสู้กับเจ้าหน้าที่ทุกทางประหนึ่งสนามรบ เหล่านี้ล้วนเป็นการตอกย้ำให้สังคมเห็นว่า
วัดพระธรรมกายไม่ใช่วัดแล้ว ไม่สามารถละทางโลก แล้วเอี่ยวๆ ไปทางการเมืองด้วยซ้ำ
อีกสิ่งหนึ่งคือฉายภาพให้เห็นว่า “ธัมมชโย” ที่ศิษยานุศิษย์เคารพนับถือ มีการกล่าวขานกันว่ามีญาณวิเศษหยั่งรู้อนาคตได้ ที่แท้ก็เป็นปุถุชนทั่วไปที่ไม่อาจตัดกิเลสต่างๆ ได้ จนต้องหลบหนีคดี ไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์อย่างที่มีการโพนทะนาชวนเชื่อแต่อย่างใด
ภาพที่ออกมาตลอดหลายวันในการตรวจค้นมีแต่วัดพระธรรมกายที่เป็นฝ่ายเสียกับเสีย เป็นลัทธิที่ไม่ถูกต้องตามครรลองครองธรรม ความชอบธรรมในการชี้แจงจึงมีน้อยนิดมาก
แล้วจะเห็นว่า คสช.ยังคงเป็นฝ่ายบดขยี้ต่อไปไม่หยุด มีความพยายามแก้เกมตลอดเวลา โดยเฉพาะคำค่อนแคะว่า ไม่มีน้ำยา โดยการบุกเข้าตรวจค้นพื้นที่ 9 จุดในพื้นที่ภาค 1 จนพบอาวุธสงครามหลายรายการในพื้นที่จ.ปทุมธานี โดยเป็นคนสนิทของนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ “โกตี๋” แกนนำเสื้อแดง และผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ กำลังหลบหนีอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน
แน่นอนว่าเรื่องนี้สร้างความงุนงงพอสมควรว่า ทำไมเจ้าหน้าที่ถึงตรวจค้นในช่วงนี้และพุ่งเป้าไปที่พื้นที่ดังกล่าว
ทั้งที่ช่วงที่ผ่านมา ตอนคสช.เข้ามายึดอำนาจจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีการตรวจค้นพวกแกนนำสายฮาร์ดคอร์ทั่วประเทศ จับได้จำนวนไม่น้อย หนีไปได้ก็มีเยอะ เหตุใดอาวุธสงครามล็อตนี้จึงเล็ดลอดสายตาเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงไปได้
เพราะขนาดปริมาณน้อยกว่านี้การข่าวยังตามไปเสาะแสวงหามาได้ไม่ยาก แต่ทำไมเพิ่งมาเจอ แล้วทำไมต้องพุ่งเป้าไปที่พื้นที่ปทุมธานี
เรื่องนี้มีวัตถุประสงค์แน่ๆ โดยเฉพาะเมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงอ้างว่า การตรวจค้นอาวุธสงครามครั้งนี้เพราะการข่าวสืบทราบมาว่า ในช่วงตรวจค้นวัดพระธรรมกายจะมีการสร้างสถานการณ์ผสมโรงจากผู้ไม่หวังดี แล้วนั่นก็อาจเป็นความซวยของผู้ต้องหาหมิ่นสถาบันรายนี้ ที่มักปากไม่มีหูรูด พูดอะไรไม่คิด ชอบจัดรายการผ่านยูทูปว่า จะลงมือทำนู่นทำนี่ที่เป็นการใหญ่พอดี ซึ่งเรื่องที่พูดก็มีการพูดถึงเรื่องวัดพระธรรมกายด้วย มันจึงเข้าทางอีกฝั่งได้ง่ายๆ
ซึ่งมันง่ายๆ มากๆ เพราะพื้นที่ปทุมธานี “โกตี๋” เคย อาศัยอยู่ มีเครือข่ายมากมาย ดังนั้นถ้าจะพุ่งเป้าไปสงสัยว่า ผู้ต้องหารายนี้คือคนที่จะจ้องมือปั่นป่วนเจ้าหน้าที่ในช่วงตรวจค้นวัดพระธรรมกายจึงไม่ยากอะไรเลย แล้วก็เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
เพราะการหยิบ “โกตี๋” เข้ามาเกี่ยวข้องและเชื่อมโยง แสดงให้เห็นว่าข้อครหาที่ว่าวัดพระธรรมกายคือฐานเสียงของพรรคการเมืองบางพรรค ให้การสนับสนุนพรรคการเมืองบางพรรค เกี่ยวพันกับฝ่ายการเมืองดูมีน้ำหนักมากขึ้นทันตาเห็น
ความชอบธรรมของวัดพระธรรมกายจึงลดลงไปเรื่อยๆ นอกจากนี้จะเห็นการเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ต่อวัดสาขาของวัดพระธรรมกายในต่างจังหวัด อย่างล่าสุดที่จ.อุบลราชธานี มีการตรวจสอบวัดแห่งหนึ่งแล้วพบว่าบุกรุกพื้นที่ป่า และมีการดำเนินคดีไปเรียบร้อย
ตอกย้ำว่าเป้าหมายไม่ใช่แค่ “ธัมมชโย”คนเดียวอีกต่อไป แต่หมายถึงการสังคายนาลัทธินี้ใหม่ ไม่ให้เผยแพร่คำสอนผิดๆ
เห็นกันชัดๆอีกจุดคือ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้มีหนังสือถึงเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีเพื่อให้พิจารณาแต่งตั้งเจ้าอาวาสคน ใหม่ โดยขอให้เป็นคนนอกเข้ามาทำหน้าที่ เพื่อตรวจสอบพระธรรมวินัยของ “ธัมมชโย” และ “ทัตตชีโว” สองพระสงฆ์คีย์แมนสำคัญ โดยให้เหตุผลว่าไม่ต้องการเอาคนในที่อาจช่วยเหลือกันได้จนทำให้สังคมกังขา
แล้วการส่งคนนอกเข้ามา ไม่ได้ต้องการทำเรื่องนี้เรื่องเดียว แต่ต้องการเข้ามาดูการบริหารจัดการวัดใหม่ ทั้งที่รู้ว่า พระและศิษยานุศิษย์ภายในวัดอาจต่อต้านคนนอก แต่ก็ยังทำ นั่นเพราะเป้าหมายตอนนี้คือ จัดระเบียบวัดพระธรรมกายและสาขาใหม่ทั้งหมด โดยที่ไม่เอาพระสงฆ์ภายในมาเป็นเลย หรือจะเรียกว่าถอนรากถอนโคนใหม่หมดทำนองนั้น
อย่าลืมว่าการยุบวัดเลยไม่สามารถทำได้ แต่การเปลี่ยนโฉมใหม่ จัดระเบียบวัดใหม่ โดยใช้พระที่ได้รับความเคารพนับถือจากประชาชนทั่วไป ไม่ใช่แค่ลูกศิษย์ลูกหา จะสร้างความเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนาได้
แล้วนี่คือสิ่งที่คสช.จะทำ และเริ่มทำแล้วทีละจุดๆ แบบแนบเนียน โดยที่สังคมไม่ทันสังเกตเห็นเองเท่านั้น!!