xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

The Mask Submarine หน้ากากเรือดำน้ำ ซื้อ 2 แถม 1 คุ้มจริงๆ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังจาก “งำประกาย” มานาน ในที่สุดก็เป็นที่ชัดแจ้งว่า “รัฐบาล คสช.” มีเอกภาพเป็นหนึ่งเดียวในเรื่องการจัดซื้อ “เรือดำน้ำ” มาประจำการในราชนาวีไทย

เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ออกมาให้สัมภาษณ์สนับสนุนเต็มที่เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2560 ที่ผ่านมา หลังจากปล่อยให้ “พี่ป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต้องรับหน้าเสื่อผลักดันในฐานะ The Mask Submarine หน้ากากเรือดำน้ำ อยู่คนเดียวมาตั้งนานสองนาน

ที่สำคัญคือ การให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังทำให้สังคมรับรู้ข้อมูลใหม่ด้วยว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนยื่นเงื่อนไขสุดพิเศษ “ซื้อ 2 ลำ แถม 1 ลำ” เพราะก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีข้อมูลในลักษณะนี้มาก่อน ทราบเพียงแค่ว่า เป็นการจัดซื้อจากจีนในลักษณะจีทูจีหรือรัฐต่อรัฐ ในวงเงินงบประมาณ 36,000 ล้านบาท

ฟังๆ ดูแล้ว นึกว่ากำลังซื้อ “กระทะโคเรียนคิง” ของ “วู้ดดี้ - วุฒิธร มิลินทจินดา” ยังไงยังงั้น

ช่างโชคดีสำหรับประเทศไทยอะไรเยี่ยงนี้ที่สามารถซื้อเรือดำน้ำแบบ 2 แถม 1 ได้

ทั้งนี้ การจัดซื้อเรือดำน้ำ Yuan Class S26T จากสาธารณรัฐประชาชนจีนของกองทัพเรือไทย ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์มาตั้งแต่ปี 2558 จนกระทรวงกลาโหมต้องสั่งชะลอโครงการเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชน โดยเฉพาะในเรื่องความจำเป็น ทว่า กระบวนการจัดซื้อก็ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องมาเป็นลำดับ และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณในการจัดซื้อเป็นที่เรียบร้อย เหลือเพียงให้คณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติเท่านั้น

จากนั้น ความชัดเจนก็มีมากขึ้นว่า หยุดไม่อยู่แล้ว ถึงจะอย่างไรก็จะซื้อ เมื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถึงกับยกทีมใหญ่ไปที่อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช กรมอู่ทหารเรือ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เพื่อไปดูที่ทางสร้างอู่จอดเรือดำน้ำ

คณะที่ยกกันไปเมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา ไปกันพร้อมหน้าพร้อมตา นอกจาก บิ๊กป้อม แล้วก็มีทั้ง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม, พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.), พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) โดยมี พล.ร.อ.ณะ อารีนิจ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) พร้อมคณะ ให้การต้อนรับ

และข้อมูลที่ออกมาในวันดังกล่าวก็คือ กองทัพเรือโดยกรมอู่ทหารเรือได้เตรียมพื้นที่ 40ไร่ สำหรับสร้างโรงซ่อมเรือดำน้ำ เพื่อรองรับเรือดำน้ำรุ่น Yuan Class S 26 T จากจีน โดยสถานที่ก่อสร้างอยู่บริเวณอ่าวสัตหีบใกล้กับจุกเสม็ด
เรือดำน้ำรุ่น Yuan Class S26T จากสาธารณรัฐประชาชนจีน
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขณะเดินทางไปที่อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช กรมอู่ทหารเรือ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เพื่อไปดูที่ทางสร้างอู่จอดเรือดำน้ำ (จากเฟซบุ๊ก วาสนา นาน่วม)

“.... ความพร้อมที่จะรองรับเรือดำน้ำ กองทัพเรือมีความพร้อมมานานแล้ว เพียงแต่ยังไม่มีโอกาสได้ซื้อ เนื่องจากติดข้อท้วงติงในหลายๆ เรื่อง ทั้งเรื่องเรือดำน้ำใช้ประโยชน์ไม่ได้ และทะเลของไทยมีความตื้น ขอยืนยันว่าเรือดำน้ำใช้ได้ ที่ผ่านมาเราไม่เคยไปดู 200 ไมล์ทะเลทางด้านตะวันตกทะเลอันดามันว่าเรามีทรัพยากรธรรมชาติอะไรอยู่บ้าง แต่โดนโจมตีจนไม่ได้ซื้อทุกครั้ง ทุกเรื่องยืนยันว่าเราพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด....” สัญญาณแรงชัดจากพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ถูกส่งผ่านออกมาในวันนั้น

อย่างไรก็ดี หลังจากที่ พล.อ.ประวิตร ยกคณะไปตรวจสถานที่ก่อสร้างอู่จอดเรือดำน้ำ 1 วัน และทำให้สังคมได้รับทราบแล้วว่า การจัดซื้อเรือดำน้ำเป็น สิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ในวันถัดมา คือวันที่ 7 มีนาคม 2560 ก็ได้มีความพยายามที่จะสอบทานความชัดเจนในการจัดซื้อเรือดำนำจากจีนอีกครั้งกับ พล.อ.ประยุทธ์ แต่นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธที่จะตอบคำถามสื่อมวลชนว่า ที่ประชุมครม.จะมีการพิจารณาจัดซื้อเรือดำน้ำหรือไม่ โดยทำสี หน้าเรียบเฉย ขึ้นตึกบัญชาการทันที

ความจริง ถ้าหากจับสัญญาณจาก พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะเห็นว่า นายกรัฐมนตรีให้การสนับสนุนการจัดซื้อเรือดำน้ำมาตั้งแต่ต้น เพียงแต่ไม่ได้ ออกนอกหน้าเท่านั้น โดยให้ความเห็นในทำนองว่า เป็นแผนพัฒนาของกองทัพเรือที่กำหนดล่วงหน้าไว้ 10 ปี และยังไม่ได้มีการจัดซื้อ

“เรื่องเรือดำน้ำ รอดูขั้นตอน ถ้ามันสามารถซื้อได้ ต้องดูความจำเป็นว่า จะต้องซื้อหรือไม่ หรือมีไว้เพื่อรบ หรือมีเพื่อไม่รบ หรือจะรบกับใครมาหรือไม่รบกับใคร ทรัพยากรที่จะต้องดูแลมีหรือไม่ เรามีทะเลอ่าวไทยอย่างเดียวหรืออย่างไรอันไหนอันดามันมีหรือไม่ จำเป็นจะต้อง ปกป้องพิทักษ์ทรัพยากรทางทะเลหรือไม่ ไม่ได้มีเพื่อไปรบยิงกับใคร แต่มีเพื่อให้เกรงใจ วันหน้าจะรักษาการเดินเรืออย่างไร เดินการประมงอย่างไร ก็เห็นอยู่ว่าทะเลอื่นเขามีปัญหา วันหน้าคิดว่าจะไม่มีปัญหาหรืออย่างไร มันเป็นศักยภาพเท่านั้นเอง แล้วมีก็ไม่ใช่ว่าจะใช้ในวันนี้ต้องผ่อนอีกไม่รู้กี่ปี...มันเป็นเรื่องภายในของเขา ยังไม่ได้ซื้อสักลำเลย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าวเอาไว้เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2558 ที่ทำเนียบรัฐบาล

แปลไทยเป็นไทยก็คือ “ซื้อแน่” และเหลือเพียงขั้นตอนการอนุมัติอย่างเป็นทางการตามมาในภายหลังเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นกระบวนการจัดซื้อของกองทัพเรือก็ดำเนินการเรื่อยมา ผ่านการพิจารณาอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือดำน้ำ (กจด.) พร้อมนำเสนอเรื่องดังกล่าวต่อกระทรวงกลาโหม เพื่อนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี รวมทั้งกองทัพเรือได้มีการตั้งวงเงินงบประมาณผูกพันเอาไว้และผ่านการพิจารณาเห็นชอบจาก สนช.เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ก่อนหน้าที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะมาเคาะปิดบัญชี มีข้อมูลที่เปิดเผยออกมาจาก พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ เสนาธิการทหารเรือ (เสธ.ทร.) ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือดำน้ำ (กจด.) ว่า คณะกรรมการฯ เห็นชอบการจัดจ้างสร้างเรือดำน้ำจำนวน 1 ลำ พร้อมระบบอาวุธ และส่วนสนับสนุนฯ เป็นเงินจำนวน 379 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 13,481,863,800 บาท (1.34 หมื่นล้านบาท) ในลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาล (จีทูจี) จากสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยบริษัท China Shipbuilding & Offshore International Co., Ltd. (CSOC) เพื่อพิจารณาเสนอกระทรวงกลาโหมเพื่อให้อนุมัติกองทัพเรือจัดจ้างสร้างเรือดำน้ำ และนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อรับทราบการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณข้ามปีตั้งแต่ปีงบประมาณ 2560-2566 และเพื่อให้ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในข้อตกลงจ้าง ในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทย รวมทั้งการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อตกลงการจ้างฯ ในภายหลังได้

และเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2560 พล.อ.ประยุทธ์ก็เคาะโป้งคอนเฟิร์มอีกครั้งว่า “เรือดำน้ำซื้อ 2 ลำ แถมมา 1 ลำ ขอให้ทุกคนเข้าใจเหตุผลความจำเป็นในการที่จะต้องมี และถ้าต้องมี จะซื้อจากไหน เพราะเราผลิตเองไม่ได้ และไม่มีเงินเพียงพอที่จะซื้อของแพงๆ แต่ตัวเลือกนี้คุณสมบัติอย่างต่ำเราจะรับได้และ ปลอดภัยหรือไม่ ซึ่งก็มีหลายอย่าง และในวันนี้กองทัพไทยก็ซื้อของแบบนี้ เพราะเงินเรามีน้อย ถ้าเปิดในเว็บไซต์จะมีขายทุกอย่าง ทุกยี่ห้อ ส่วนยี่ห้อที่ใช้แล้วดีปลอดภัย ซึ่งความปลอดภัยมีเหมือนกัน เพียงแต่คุณภาพอาจจะเป็นประเทศที่มีชื่อเสียง เมื่อผลิตออกมาก็จะมีความเชื่อมั่นมากกว่า หรือแพงกว่า ดังนั้นเราต้องดูหลายอย่าง

“กรณีนี้รู้สึกว่าราคาจะถูกที่สุด และคุณภาพใช้ได้ มีการบริการต่างๆ ทั้งระบบอาวุธ ระบบการซ่อม อะไรต่างๆ การช่วยสนับสนุน ก่อสร้างโรงเก็บเรือ ที่เป็นข้อเสนอเพิ่มเติมขึ้นมา และโครงการนี้เป็นโครงการรัฐต่อรัฐ ซึ่งผมได้สอบถาม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแล้ว ท่านยินดีให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เข้ามาตรวจสอบแล้ว และที่ผ่านมา สตง.ก็ตรวจสอบมาตลอด เรื่องการซื้ออาวุธของกองทัพ สมัยผมเป็น ผบ.ทบ. ผู้ตรวจเงินแผนดิน (สตง.) ก็เข้าไปตรวจสอบ มีข้อสังเกตให้ทางกองทัพก็รับข้อสังเกตมาพร้อมชี้แจงตามข้อเท็จจริง เมื่อรับได้เขาก็ให้หน่วยงานดำเนินการต่อ ไม่ใช่ว่าเป็นรัฐบาลนี้แล้วไม่ตรวจสอบ เขาตรวจสอบทุกโครงการ”

บทสรุปที่ออกมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ทำให้ต้องขบคิดกันต่อไปว่า ทำไม พล.อ.ประยุทธ์ถึงกล้าตัดสินใจออกหน้าในช่วงที่คะแนนนิยมของรัฐบาลมิได้เหมือนเดิมและสุ่มเสี่ยงที่จะกระทบกับเสถียรภาพของรัฐบาลอย่างไม่อาจคาดเดาได้ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า เสียงคัดค้านดังขรมทั้งแผ่นดิน

ทั้งนี้ ความต้องการที่จะมีเรือดำน้ำเข้าประจำการในกองทัพเรือไทยมีมา อย่างต่อเนื่อง โดยในอดีตที่ผ่านมากองทัพเรือเคยมีเรือดำน้ำประจำการมาแล้ว 4 ลำ เป็นเรือดำน้ำที่สั่งซื้อจากญี่ปุ่นเข้าประจำการกองทัพเรือไทย เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2481 ได้ออกปฏิบัติการในสงครามอินโดจีนกับฝรั่งเศส และสงครามโลกครั้งที่ 2 จนกระทั่งปลดระวางประจำการในปี 2494

อย่างไรก็ตาม แม้จะว่างเว้นการมีเรือดำน้ำประจำการมายาวนาน แต่ กองทัพเรือก็ไม่เคยลดละความพยายามจัดซื้อเรือดำน้ำ พร้อมผลักดันในแทบจะ ทุกๆ รัฐบาล

และตัวละครสำคัญที่มีส่วนเกี่ยวข้องในช่วงระยะหลังๆ อย่างต่อเนื่องก็เห็นจะหนีไม่พ้น “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ”

อย่างน้อยก็ใน 2 รัฐบาลคือ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปี 2553 ซึ่งขณะนั้น พล.อ.ประวิตร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดย พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผบ.ทร.ขณะนั้น ได้ผลักดันโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำวงเงิน งบประมาณ 7,500 ล้านบาท และในยุครัฐบาล คสช.ที่ พล.อ.ประวิตร รั้งตำแหน่งทั้งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็น “ป๋าป้อม” ผู้มากบารมีและมีผู้เกรงใจกันทั้งบ้านทั้งเมือง

ดังนั้น คงจะไม่เกินเลยไปนักที่จะกล่าวว่า พล.อ.ประวิตรคือ The Mask Submarine หรือหน้ากากเรือดำน้ำ ตัวจริงเสียงจริง และไม่ได้เป็นคนผลักดันแบบปิดๆ หากแต่เปิดหน้ากากให้เห็นกันจะๆ เลยทีเดียว

แต่ช้าก่อน การจัดซื้ออาวุธของกองทัพไทยไม่ได้มีแค่เรือดำน้ำเท่านั้น หากแต่ยังมีอีกหลายรายการ โดยล่าสุดที่เพิ่งได้รับการเปิดเผยสดๆ ร้อนๆ ก็คือ ข้อมูลที่เผยแพร่โดย “ทาสส์นิวส์” สื่อจากแดนหมีขาว ซึ่งอ้างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรอสเทค กลุ่มอุตสาหกรรมกลาโหมของรัสเซียที่มีรัฐบาลเป็นเจ้าของ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวในวันพุธ (22 มี.ค.) ว่าไทยกำลังแสดงความสนใจในยานยนต์หุ้มเกราะผลิตโดยมอสโก ขณะที่การเจรจาส่งมอบเฮลิคอปเตอร์ Mi-17V5 อยู่ในขั้นสุดท้าย

        “ผมไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้สำหรับความร่วมมือในสนามของยานยนต์หุ้มเกราะ เนื่องด้วยไทยกำลังแสดงความสนใจมันอย่างมาก” วิคเตอร์ คลาดอฟ ประธานคณะผู้แทนร่วมของรอสเทคและทรอสโซบอโรเน็กซ์พอร์ต ผู้ส่งออกอาวุธในสังกัดกระทรวงกลาโหม เปิดเผยระหว่างร่วมงานนิทรรศการกำลังทางเรือและการบินนานาชาติ Langkawi International Maritime & Aerospace Exhibition 2017 ในมาเลเซีย

คลาดอฟอ้างด้วยว่าไทยยังแสดงความสนใจในยุทโธปกรณ์อื่นๆ ของรัสเซีย โดยเฉพาะระบบป้องกันทางอากาศ ไม่ว่าจะเป็นเฮลิคอปเตอร์ Mil Mi-17, เครื่องบินขับไล่ Yakovlev Yak-130, ซุคอย ซู-30 และ Beriev Be-200

     นอกจากนี้ ทาสส์นิวส์ ยังอ้างแหล่งข่าววงในของหน่วยงานความร่วมมือทางเทคนิคทหารของรัฐบาลกลางรัสเซีย ระบุว่า อาจมีการลงนามจัดหาเฮลิคอปเตอร์ Mil Mi-17V-5 แก่ไทยอีกชุดในเร็วๆ นี้ “การเจรจาส่งมอบเฮลิคอปเตอร์ลำเลียง Mi-17V-5 แก่ไทย อยู่ในขั้นสุดท้าย มีความเห็นพ้องในร่างสัญญาแล้ว เราหวังว่าจะมีการลงนามในสัญญาในอนาคตอันใกล้นี้”

“กองทัพไทยเคยจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ Mi-17V-5 ของรัสเซียมาแล้ว ขณะที่สื่อมวลชนบางแห่งระบุว่ากรุงเทพฯ แสดงความพึงพอใจต่อศักยภาพของมัน และตัวแทนของไทยแสดงความตั้งใจว่าจะซื้อเพิ่มเติม” รายงานของทาสส์นิวส์ระบุ

ส่วนยุทโธปกรณ์จากจีนนั้น กองทัพบกได้ลงนามซื้อรถถัง VT-4 จากจีน จำนวน 28 คัน วงเงิน 4,900 ล้านบาท ในสมัย พล.อ.ธีรชัย นาควานิช องคมนตรี เป็นผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และเมื่อเดือนมกราคม 2560 ที่ผ่านมา พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ระบุถึงการจัดหาต่อในระยะ 2อีก 20 คัน เพื่อให้ครบ1 กองพัน (กองพันละ 49 คัน) ในปีงบประมาณ 2560 โดยผูกพันงบประมาณ 3 ปี

สำหรับการซื้อเรือดำน้ำ ที่ยังมีเสียงท้วงติงของหลายฝ่าย ส่วนหนึ่งก็ด้วย เกรงว่าจะมีปัญหาเช่นเดียวกันกับยุทโธปกรณ์ของกองทัพที่เคยมีปัญหาก่อนหน้านี้ เช่น “เรือเหาะตรวจการณ์” มูลค่ากว่า 450 ล้านบาท ที่สุดท้ายไม่ได้ใช้ประโยชน์ใดๆ เลย ก่อนซุ่มเงียบแทงจำหน่ายเป็นของชำรุด หลังซื้อมาเพียงไม่กี่ปี หรือ “ไม้ล้างป่าช้า” เครื่อง CT 2000 ที่มีต้นทุนไม่ถึงพันบาท แต่กลับซื้อกันหลักล้าน ที่สุดความแตกว่าไม่ได้มีคุณสมบัติตรวจหาวัตถุระเบิดได้เลย

รวมกระทั่งถึงรถถัง OPLOT ที่ยูเครนส่งมอบให้ไม่ทันตามสัญญา จนกองทัพบกจึงหันไปซื้อรถถัง VT-4 จากจีนมาเสริมทัพแทน

แต่สุดท้ายของคำถามและข้อกังวลก็คือจะซื้อเรือดำน้ำไปทำอะไร?

ถ้ากองทัพเรือและรัฐบาลตอบว่า บอกว่า ซื้อมาปกป้องทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทย คุณสมบัติของเรือดำน้ำก็ไม่เหมาะสมด้วย ประการทั้งปวง เพราะทะเลอ่าวไทยตื้นเขินเกินไป

ถ้ากองทัพเรือและรัฐบาลตอบว่า จะนำไปใช้ประโยชน์ในฝั่งทะเลอันดามัน เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติตามที่กล่าวอ้าง ใช้เรือรบตรวจการณ์บนผิวน้ำธรรมดาๆ ไม่ดีกว่าหรือ ส่วนถ้าจะซื้อมาเพื่อแสดงแสนยานุภาพของกองทัพ ให้เห็น ก็ไม่รู้ว่า เอาเข้าจริงแล้วจะไปรบกับใคร แล้วเรือดำน้ำแค่ 3 ลำจะไปทำอะไรได้

ดังนั้น ด้วยความเคารพจึงอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คิดทบทวนให้รอบคอบอีกครั้ง

.........................................................
พระราชดำรัส
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
พระราชทานแก่ คณะรัฐมนตรี และ ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม พ.ศ.2550

“...เราสร้างเรือให้พอเพียง เรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งนั่นนะ มันไม่พอเพียง มันเล็กเกินไป ยังเล็กเกินไป ก็อาจจะควรจะใหญ่กว่าหน่อย แต่ถ้าใหญ่เกินไปไม่พอเพียง ถ้าเล็กเกินไปก็ไม่พอเพียง เรือที่เขาจะทำเรือดำน้ำ เรือดำน้ำดำลงไป ไป ปักเลนเลย ไอ้นี่เขาโกรธ เดี๋ยวเขาโกรธเอาว่า เรือแล่นๆไป ดำน้ำไม่พอ ใครมาเครื่องบินเห็นแจ๋วเลยต้องไปจมเลน ถึงจะไม่เห็น แล่นๆไปปักเลน ถ้าอยากไปที่ที่ลึก ก็ไปอยู่นอกเส้น ก็รู้สึกว้าเหว่ไกลกัน ไอ้เรือดูแลใกล้ฝั่งนี่ดีกว่า แต่ลำที่เราทำเราสร้างก็ใช้ได้ดีแล้ว แต่ควรจะสร้างต่อไปให้ใหญ่กว่านี้ ใหญ่กว่านี้หน่อย ...”


กำลังโหลดความคิดเห็น