ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - คดีคนร้ายลอบวางระเบิดหมายสังหาร พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิ์บุตร อดีตรองจเรตำรวจฯเมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผกก.สภ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 10 ต.ค. พ.ศ.2548 แม้จะมีการสั่งไม่ฟ้องในขั้นของพนักงานสอบสวนไปแล้วแต่เวลาล่วงเลยผ่านมานานถึง 12 ปีคดีพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่โดนไตร่ตรองไว้ก่อน-มีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ยังไม่จบลงง่ายๆเพราะมีเรื่องไม่ชอบมาพากลมากมายโดยเฉพาะเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวน
ในฐานะเจ้าพนักงานที่ตกเป็นเหยื่อ และในฐานะผู้เสียหายที่ได้รับผลจากการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจด้วยกัน พ.ต.อ.วิรุตม์ จึงทำหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษพนักงานสอบสวนในคดีดังกล่าวมากถึง 13 คนซึ่ง 1 ในจำนวนนั้นมีพล.ต.ต.วันชัย ถนัดกิจตำแหน่งรองผบช.ภ.1ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนปฏิบัติตามคำสั่งของพล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผบช.ภ.1 รวมอยู่ด้วย กับพนักอัยการการฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งรายละเอียดต่างๆเชื่อว่าคอข่าวอาชญากรรมคงผ่านตากันไปบ้างโดยเฉพาะคอลัมน์สังเวียนตำรวจ ได้นำเสนอมาแล้วครั้งหนึ่ง
วันนี้มีความคืบหน้ามาแจ้งให้สังคมและท่านผู้อ่านได้ทราบกันอีกกล่าวคือ หลังเกิดเหตุมีพยานปากสำคัญคือ นางไพริน หาญเชิงค้า หรือ น.ส.นันทา ชมกุล ทราบข่าวจากทางโทรทัศน์และได้ยินการพูดคุยของ 2 คนร้าย ทีเข้ามาดื่มเหล้าติดห้องพักพูดคุยกัน แต่ในที่สุดไม่ทราบด้วยเหตุผลกลใดพยานปากนี้กลับกลายเป็นผู้ต้องหาเสียเองในความผิดให้การเท็จต้องถูกออกหมายจับ และมีผลต่อเป็นอย่างยิ่งเช่นหมายจับผู้ต้องหาวางระเบิดที่ศาลออกมาแล้วมีการขีดฆ่าทิ้ง และยุติกระบวนการสืบค้นความจริงทั้งหมดส่วนพยานปากเอกคือนางไพริน หาญเชิงค้า หรือน.ส.นันทา ชมกุล กลับเป็นผู้ต้องหาแจ้งความเท็จถูกศาลออกหมายจับแทน
คดีทำท่าจะโอละพ่อ กลายเป็นว่า พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีต ผกก.สภ.ลำลูกกา ซึ่งเป็นทั้งผู้เสียหายจัดฉาก-สร้างเรื่อง บ้างก็ว่าเป็นเรื่องชู้สาว-ส่วนตัวไม่เกี่ยวกับขบวนการยาเสพติด หรือแก๊งตู้คาราโอเกะ ที่เจ้าตัวปักใจเชื่อ
ผลัดกันกล่าวหาแต่ทว่าในที่สุดหลังพนักงานสอบสวนชุดของ พล.ต.ต.วันชัย ถนัดกิจ อดีตรองผบช.ภ.1 สั่งไม่ฟ้องกลุ่มผู้ต้องหาคดีลอบวางระเบิดไปแล้ว ปรากฏว่าต่อมาไม่นานนักอัยการ ได้มีคำสั่งไม่ฟ้องนางไพริน หาญเชิงค้า หรือ น.ส.นันทา ชมกุล ในข้อหาแจ้งความเท็จ กลายเป็นว่ากลุ่มคนที่ได้ประโยชน์จากการกระทำของทีมพนักงานสอบสวนรวม 13 คนก็คือ นายสมศักดิ์ พลอยพริ้ง กับจ่าทหารบกคนหนึ่งที่ศาลได้ออกหมายจับไปแล้วแต่มีการขีดฆ่าทิ้ง ส่วนคนที่เสียประโยชน์คงเป็นใครไม่ได้นอกจากพ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เหยื่อระเบิดนั่นเอง
ในฐานะมือสอบสวนที่ผ่านเรื่องราวต่างๆ มาอย่างโชกโชน พ.ต.อ.วิรุตม์ มองเห็นว่าคดีของเขาย่อมมีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นแน่นอน ส่วนเบื้องหน้าเบื้องหลังจะมีใครเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย...ทำไมตำรวจด้วยกันเองจึงไม่ปกป้องคนสีเดียวกัน และที่สำคัญเขาคือเหยื่ออาชญากรรมที่เห็นกันอยู่โทนโท่ว่ามีการประสงค์ต่อชีวิตจริงๆโดยการยืนยันจากสภาพบ้านพักที่พังเสียหายเกือบทั้งหลัง รวมไปทั้งอาการบาดเจ็บขั้นสาหัสเจียนตายต้องนอนพักรักษาตัวเกือบ 1 เดือนแต่ในรายงานข้อเท็จจริงและความเห็นประกอบสำนวนการสอบสวนเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพนักงานสอบสวนพยายามใช้ถ้อยคำโน้มน้าวทิ้งเป็นจังหวะ- วรรคตอน
เช่น ช่วงพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างนางไพริน หาญเชิงค้า หรือน.ส.นันทา ชมกุล กับนายสมศักดิ์ พลอยพริ้ง ผู้ต้องสงสัยโดยการยืนยันของนางวันเพ็ญ พลอยพริ้ง ภรรยานายสมศักดิ์ ระบุว่าแท้จริงแล้วนางไพริน หรือน.ส.นันทา คือภรรยาน้อยให้การปลักปรำเพราะแค้นใจที่ถูกนายสมศักดิ์ ทิ้ง.... “นายสมศักดิ์ พยาน(คดีให้การเท็จ)ให้การว่าตนเองรู้จักกับนางนันทา จริงและได้มีความสัมพันธ์ทางเพศกัน ต่อมานายสมศักดิ์ ด้พานางนันทา ไปเที่ยวที่จ.อุทัยธานี ซึ่งเป็นบ้านของนายสมศักดิ์ เพื่อให้รู้จักกัน ต่อมานายสมศักดิ์ ได้โทรศัพท์บอกเลิกตัดสัมพันธ์สวาทกับนางนันทา......”
หรือกระทั่งการสอบสวนจุดเกิดเหตุตามรายละเอียดคือ.... “คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ความว่าตามวันเวลาสถานที่เกิดเหตุ พ.ต.อ.วิรุตม์ฯ ได้เดินทางกลับเข้าบ้านพักราชการที่เกิดเหตุโดยก่อนเข้าบ้านได้พูดคุยกับ พ.ต.ท.สาโรจน์ จากนั้นก็เดินเข้าไปบริเวณหน้าบ้านจากนั้นก็ไขกุญแจประตูทางเข้า ในทันทีทันใดนั้นเองได้เกิดระเบิดขึ้นอย่างแรง เป็นเหตุให้ตัว พ.ต.อ.วิรุตม์ กระเด็นติดรั้วบ้านได้รับบาดเจ็บไม่มากเท่าใด ส่วนบ้านพักได้รับความเสียหายทั้งหลัง...”
อ่านบางช่วงบางตอน บางลีลาของพนักงานสอบสวน เราพอจะมองเห็นอะไรบ้างซึ่งขอย้ำว่าอาการบาดเจ็บของ พ.ต.อ.วิรุตม์ ถือว่าสาหัสเจียนตาย ทั้งช้ำใน กระดูกแตกนอนอยู่ในโรงพยาบาลไม่ต่ำกว่า 3 สัปดาห์ บ้านพักพังทั้งหลังแต่ความเห็นของพนักงานสอบสวนระบุว่า “บาดเจ็บไม่มากเท่าใด”
วันนี้ผ่านมาถึง 12 ปีแล้ว แม้คดีจะสั่งไม่ฟ้องแต่ พ.ต.อ.วิรุตม์ ขอใช้สิทธิ์ปกป้องตัวเองด้วยการร้องทุกข์-กล่าวโทษผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดอันประกอบด้วยเจ้าพนักงานสอบสวนจำนวน 13 คนและเจ้าพนักงานอัยการ..เอกสารการกล่าวโทษส่งไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งหมดซึ่งหลักๆ ก็คือสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. และสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน
เฉพาะ ป.ป.ช. มีหนังสือถึง นายวิชา มหาคุณ ถึง 6 ฉบับ และเมื่อสอบถามความคืบหน้าก็ทราบว่าเรื่องได้ไปตกอยู่ที่ ป.ป.ช.จังหวัดปทุมธานี พื้นที่เกิดเหตุเมื่อปี 2556 ล่าสุดทาง ป.ป.ช.แจ้งข้อมูลมาว่าเนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่เกิดมานานแล้วข้อมูลต่างๆไม่สดการสอบสวนจึงมีปัญหาล่าช้า และไม่สามารถให้คำตอบเรื่องกรอบเวลาได้ แต่ยังคงอยู่ตามอายุความของ ป.ป.ช.คือ 20 ปี
หมายความว่า ถ้านับอายุตั้งแต่วันที่พ.ต.อ.วิรุตม์ ได้ส่งเรื่องร้องทุกข์-กล่าวโทษผู้เกี่ยวข้อง กว่า ป.ป.ช.จะ “ฟันธง”ผิดหรือถูกก็สามารถ “ดึงเช็ง-หมัก-ดองเรื่อง”ได้นานตามอายุความนั่นคือ 20 ปีดั่งที่ว่า...12 ปียังนานไม่พอต้องรอไปอีก 8 ปี !!??
ส่วนสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ผลการสอบสวนของคณะกรรมการได้ชี้ออกมาแล้วว่าเรื่องดังกล่าวผู้เกี่ยวข้องตามคำร้องมีความผิดจริง แต่ด้วยความบังเอิญหรือไรไม่ทราบได้แม้คณะกรรมการจะสรุปความผิดมาแล้วแต่เรื่องยังคาอยู่หน้าห้องพล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ ผู้ตรวจการแผ่นดินคนใหม่ที่มาแทนนายศรีราชา วงศรยางกูร ซึ่งเพิ่งพ้นตำแหน่งไป
12 ปีแห่งความล่าช้า....ป.ป.ช. มีมาตรฐานการปฏิบัติตรงไปตรงมาสามารถพึ่งได้ หรือ2-3 มาตรฐานตามที่สังคมกล่าวหา
อย่าลืมว่าภาพลักษณ์ขององค์กรอิสระที่ชื่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. นั้นทำท่าจะเป็นหน่วยงานที่มีปัญหา มีเสียงล่ำลือในทางลบและทำท่าจะกลายเป็นองค์กรส่งเสริมการคอรัปชันในมุมกลับ...นั่นเพราะขั้นตอนของเวลาที่ไม่มีการกำหนดชัดเจน บ้างก็อ้างความไม่สดของข้อมูล อ้างความยาก อ้างจำนวนคำร้องที่มีมากมายหรือสารพัดที่จะอ้างจนหลายคดีมีข้าราชการได้รับอนิสสงค์ บ้างเกษียณฯ เสียชีวิต บางคนลอยนวลไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ปัญหาเช่นนี้ทำให้คะแนนนิยมและความหวังของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลชุดคืนความสุข หรือแม้แต่ “คนดีไม่มีวันตาย”ที่มีภาพพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ หัวหน้า.คสช.ทับซ้อนอยู่ต้องคลายมนต์ขลัง คะแนนนิยมตกต่ำลงเรื่อยๆ แม้แต่ฝ่ายการเมืองยังนำมาตรฐานการทำงานของ ป.ป.ช. มาเป็นข้ออ้างในการปรองดอง....หยุด 2 มาตรฐานเมื่อไหร่สามัคคีจึงจะเกิด...ขนาดนั้นเลยหรือ !!??