ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -วันนี้ขออนุญาตออกนอกสังเวียนสีกากีมาดูเรื่องร้อนๆในกรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธ์พืช ซึ่งคงหนีไม่พ้นการแถลงผลตรวจ DNA ช้างพังทีจี กับช้างพลายเกาะพยาเพ็ชร ที่นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าชุดเฉพาะกิจพญาเสือ เป็นทีมขุดคุ้ยและตรวจอายัด จนมีปัญหาเปิดศึกวิวาทะกับนายทองเหรียญ มีพันธ์ เจ้าของวังช้างอยุธยาแลเพนียด แบบถึงพริกขิงและค่อนมาในแนว “ล่อแหลม”นั่นคือช้างพัง 5 เชือกที่วังช้างฯส่งไปยังสวนสัตว์เก่าแก่เมืองโคโลญ ประเทศเยอรมนี ตั้งแต่ พ.ศ.2549 กำหนดเวลา 1 ปีแต่ผ่านไปกว่า 10 ปีจนบัดนี้ยังไม่กลับบ้าน
ก็คงต้องลำดับความเป็นมาเป็นไปของขบวนการ “สวมตั๋ว”หรือกลุ่มบุคคลที่ทำมาหากินกับการค้าช้างซึ่งมีทั้งนายพรานคนล่า คนคล้องช้าง พ่อค้าคนกลางและนายทุนเจ้าของปางช้าง หรือเพนียดช้างๆต่างๆ แน่นอนว่าในแวดวงนี้ย่อมมีทั้งคนทำถูกกฎหมาย เลี่ยงกฎหมายและผิดกฏหมายเช่นเดียวกันกลุ่มอาชีพอื่นๆ
มีข้อมูลน่าสนใจว่าช้างป่าที่คนไทยคุ้นเคยกันดีนั้นปัจจุบันแม้จะมีกฎหมายควบคุมอย่างดี มีมาตรการต่างๆมารองรับค่อนข้างแน่นหนาแต่มิได้หมายความว่าจะหยุดยั้งขบวนการทำผิดกฏหมายเหล่านี้ได้ เหตุผลคือช้างไทยยังเป็นที่ต้องการของบรรดาผู้ประกอบการสวนสัตว์ และเพื่อการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ
การซื้อ-ขายช้างตั้งราคากันตามความสูง ตามอายุของช้างตกราคาฟุตละ 1 แสนบาท ไซด์หรือขนาดต้องมีความสูงไม่ต่ำกว่า 4-5 ฟุตขึ้นไปเนื่องจากจะช้างลักษณะนี้จะต้องมีอายุราว 2 ปีซึ่งหย่านมแม่แล้ว ไม่มีปัญหาการดูแล หากเป็นลูกช้างอายุต่ำกว่า 2 ปีหรือจะมีความสูงที่ 2-3 ฟุตมีความยุ่งยากในการดูแล ปัญหาที่ตามมาส่วนใหญ่เกี่ยวกับความแข็งแรงของมวลกระดูก จึงมีข้อสังเกตว่าลูกช้างที่ยังไม่อดนมแล้วถูกนายพรานพรากมาจากแม่มักจะขี้โรคไม่แข็งแรง เลี้ยงยาก มีปัญหาที่ข้อเท้าทั้ง 4 ข้างในที่สุดอาจล้มตั้งแต่วัยเด็ก
นอกจากนั้นช้างที่ได้ราคาดี หรือช้างสวยอาจจะต้องดูจากลักษณะต่างๆประกอบไปด้วยเช่นหางดี หูดี ตาดี ปลายงวงมีความยาวแตะพื้น หางยาวสัมพันธ์กับงวง เล็กเท้าครบกล่าวคือเล็บหน้า 5 หลัง 5-5 หรือเล็บหน้า 5 หลัง 4-4 หน้า 5 หลัง 3-3 เป็นต้น รวมถึงผิวสีของช้างราคาลูกช้างในลักษณะนี้อาจพุ่งเป็น 1-2 ล้านแต่ถ้าเป็นช้างใหญ่แน่อนว่าราคาพุ่งเป็นหลักหลายล้านบาทจนถึง 10 ล้าน จากต้นทุนหลักแสนจึงถือว่าเป็นการสร้างกำไรอย่างงดงาม
ปัญหาการล่าช้าง การค้าช้าง และการสวมตั๋วช้างมีมานานแล้วโดยเป็นที่รู้กันว่าปางช้าง หรือเพนียด ช้างมักมีการ “สวมตั๋ว” เอาช้างป่ามาเป็นช้างบ้านเพื่อให้เกิดความถูกต้อง ถ้าให้เห็นภาพชัดๆก็คือกานนำรถเถื่อนมาสวมทะเบียนปลอมแต่สำหรับช้างเป็นสิ่งมีชีวิตวิธีตรวจสอบหากดูตามอัตลักษณ์ไม่ชัวร์ ไม่สามารถแยกแยะด้วยตาได้ก็จะตรวจพิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์สมัยใหม่นั่นคือการตรวจ DNA โดยใช้เครื่อง ABI Genefic Analyzer รุ่น 3500 สามารถตรวจเครื่องหมายไมโครเซ็ทเทิลไรท์ 13 ตำแหน่งซึ่งมีอยู่ในห้องปฏิบัติการของกรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธ์พืช
ความแม่นยำเป็นที่ยอมรับ และผลทางวิทยาศาสตร์ไม่เคยโกหกใคร
คราวนี้ลองมาดู “ตั๋วช้าง” หรือ “บัตรประชากรช้าง”ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ทำไมจึงมีปัญหาโดยไม่จบไม่สิ้น ลักษณะบัตรประชาชนช้างมีขนาดกว้างยาวประมาณกระดาษ A 4 มีการระบุรายละเอียดต่างๆอย่างครบถ้วนเช่นชื่อช้าง ชื่อพ่อ-แม่ ถิ่นกำเนิดและเจ้าของต่อมาได้ปรับปรุงเป็นใบสีชมพู หรือ สพ.5 แต่ถึงกระนั้นเมื่อมีการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่มักมีเรื่องจุกจิกตามมาเนื่องจากเจ้าของช้างไม่ยอมให้ตรวจใบจริง 100ทั้ง 100 ให้ตรวจสำเนาที่ถ่ายเอกสารไว้ซึ่งส่วนใหญ่มีการแก้ไข หรือถึงขั้นปลอม
ขบวนการปลอม หรือ “สวมตั๋ว”มีการเปิดโปงขึ้นแล้วเมื่อชุดเฉพาะกิจพญาเสือ แจ้งความดำเนินคดี 157 แก่นายรัฐนันท์ ภัทรรัฐนันท์ ปลัดอำเภอไทรโยค จ.กาญจนบุรี เนื่องจากพบว่าหลังจากเจอพิรุธจนต้องอายัดช้างพังทีจี และช้างพลายเกาะพยาเพ็ชร ซึ่งครอบครองโดยนายประกอบ ชำนาญกิจ เจ้าของสวนสัตว์หัวหินซู จ.ประจวบคีรีขันธ์ แล้วปรากฏว่ามีการนำไปแก้ไขโดยปลัดอำเภอไทรโยค โดยไม่มีการนำช้างไปถ่ายรูป 3 ด้านตามระเบียบของกรมการปกครอง นอกจากนั้นยังเป็นที่น่าสังเกตว่ามีการนำช้างต่างถิ่นจาก จ.สุรินทร์ และจ.พระนครศรีอยุธยา มาให้แก้ไขที่ จ.กาญจนบุรี เป็นประจำ จึงเมื่อผนวกกับรายของช้างพังทีจี และช้างพลายเกาะพยาเพ็ชร จึงเชื่อว่ามีขบวนการสวมตั๋วจากที่นี่อย่างแน่นอน
จากปมพิรุธ และปัญหาต่างๆที่กำลังเป็นข่าวร้อนในแวดวง “คนเลี้ยงช้าง” ถึงกับมีคำขู่ว่าหากยังคงมีความพยายามจะดำเนินคดีกับเพนียดช้างอยุธยา ก็จะยกทัพช้าง 100 เชือกมาปิดล้อมทำเนียบฯระดับบริหารโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.จะมีมุมมองในเรื่องนี้อย่างไร
หากไม่มีการดำเนินคดีกับขบวนการ “สวมตั๋ว” ทั้งที่มีพยาน-หลักฐาน สอดคล้องชัดเจนมีใครรับรองหรือไม่ว่าเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานอย่างตรงไปตรงมาจะไม่โดนแว้งกลับในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือ 157 เสียเอง
สำคัญที่สุดเจตนาอันแน่วแน่ของรัฐ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่จะรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย อาจจะต้องพ่ายแพ้ต่อกฎหมู่ ล้มและแพ้ทีละเรื่องจนกลายเป็นโดมิโน่ ถึงขั้นประชาชนหมดความหวังและเกิดภาพเก่าๆผุดขึ้นมาหลอกหลอนกันอีก