ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ภาพลักษณ์ของ “วัดพระธรรมกาย” และเหล่าศิษยานุศิษย์ในเวลานี้ แม้จะมองด้วยใจเป็นธรรมอย่างไร ก็ไม่เหมือน “สถานที่และคนปฏิบัติธรรม” เลยแม้แต่น้อย เพราะผลการกระทำที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นชัดเจนว่า พวกเขาถูก “ปลุกระดม” หรือถ้าจะใช้คำว่า ถูก “ล้างสมอง” ให้เชื่อ โดยไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักเหตุและผล ก็คงไม่ผิดไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก
แม้จะไม่ได้เป็นเช่นนั้นทั้งหมด แต่ก็สามารถพบเห็นกันโดยทั่วไปจนกลายเป็น “อุปทานหมู่” ซึมลึกจนยากยิ่งที่จะรับฟังความเป็นจริงซึ่งไม่ตรงกับที่ตนเองได้รับรู้
ทั้งนี้ ภายหลังจาก “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ประกาศใช้ ม.44 เพื่อค้นหาตัว “พระเทพญาณมหามุนี(ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)” เจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์ วัดพระธรรมกาย ที่กระทำผิดกฎหมายบ้านเมือง จนถูกฟ้องร้องและถูกออกหมายจับในหลายคดี เครือข่ายวัดพระธรรมกายก็ร้อนเป็นไฟในทุกองคาพยพ มีการสร้างวาทกรรมเพื่อปลุกระดมมวลชนออกมาเป็นชุดๆ และเป็นระยะๆ โดยที่มิได้ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่า เหล่าศิษยานุศิษย์ก็พากันเชื่อเป็นตุเป็นตะจนเป็นที่รับรู้ได้ว่า ความเชื่อและศรัทธาของพวกเขาอยู่เหนือเหตุผลทั้งปวง
มิหนำซ้ำยังมั่นใจในตัวเองสุดๆ ดังเช่นที่ “อ้อ-ศศินา วิมุตตานนท์” ผู้ประกาศข่าวช่อง 7 โพสต์แสดงความคิดเห็นเอาไว้ว่า “คำถามถึงชาวพุทธที่ไม่ใช่ธรรมกาย(ไม่ได้ว่าใคร อย่าร้อนตัวนะคะ พูดตามความเป็นจริง) คนบุญในตัวไม่พอ ไม่ได้ดู ไม่เข้าใจหรอก ทำไมเราจึงรักและศรัทธาในวิธีของวัดพระธรรมกาย....บุญ ใครทำใครได้ บาป ก็เช่นกันค่ะ” ซึ่งมิอาจตีความเป็นอย่างอื่นว่า คนที่บุญไม่พอจะไม่มีทางเข้าใจในวิธีของวัดพระธรรมกาย หรือแปลไทยเป็นไทยอีกทีได้หรือไม่ว่า กำลังดูหมิ่นดูแคลนคนที่ไม่ใช่ธรรมกาย
พวกเขาลืมคิดไปว่า ในขณะที่พวกเขายอมทุ่มกายถวายชีวิต พระเดชพระคุณหลวงพ่อของพวกเขากลับมิได้สนใยดีในการตกระกำลำบากของเหล่าศิษยานุศิษย์แม้แต่กระผีกเดียว
และที่สำคัญที่สุดที่เหล่าศิษยานุศิษย์ไม่สามารถอธิบายให้สังคมได้เข้าใจได้ก็คือ พระเดชพระคุณหลวงพ่อหายไปไหน พระเดชพระคุณหลวงพ่ออยู่ในวัดหรือไม่ และทำไมพระเดชพระคุณหลวงพ่อถึงไม่มามอบตัว และทำตัวประหนึ่ง “กบฏผีบุญ” ผู้อยู่เหนือกฎหมายของรัฐไทย
จากการตรวจสอบข้อมูลนับเนื่องตั้งแต่การประกาศใช้ ม.44 จะเห็นว่า ทางวัดพระธรรมกายหยิบโยงเรื่องราวต่างๆ มาสร้างวาทกรรมสารพัดสารพันเพื่อกระตุ้นความฮึกเหิมของเหล่าศิษยานุศิษย์ และปลุกระดมมวลชนเพื่อให้เข้ามาเป็น “กำแพงมนุษย์” ปกป้องต้นธาตุต้นธรรมของตนเอง หรือที่เรียกกันว่า ปฏิบัติการ IO(Information Operations)
ไล่เรียงมาตั้งแต่การกล่าวหาว่า รัฐบาลประกาศใช้ ม.44 กับวัดพระธรรมกายเพื่อกลบกระแสข่าวเรื่องการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่จังหวัดกระบี่
จากนั้นก็ตามมาด้วยการเผยแพร่ข้อมูลเป็นตะเป็นตะว่า รัฐบาลกำลังจะยกเลิกบัตรทอง ตัดเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุ
“ได้ยินว่า ใช้ข่าววัดพระธรรมกาย กลบข่าว ยกเลิกบัตรทอง คนจนแย่แน่”
“เขาโหมข่าววัดสามวันมานี้ เขาตัดงบบัตรทองไปแล้วนะ ป่วยก็ต้องเสียตังค์หาหมอรัฐบาลและนะ เบี้ยผู้สูงอายุคนแก่ก็ตัดไปแล้ว นี้จะมายึดวัดอีกทั้งๆที่หลวงพ่อก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผิดหรือไม่ผิดแต่เขาทำการยึดศรัทธาญาติโยมไปแล้ว ตรองดีๆ พี่โตแล้วพี่รู้กำลังทำอะไรอยู่ ถ้าพี่ตายเพราะปกป้องศาสนาก็ยอม ไม่ต้องกลัวพี่ทำประกันแล้วถ้าตายเรียกเอาประกันได้เลย...”
ทั้งๆ ที่ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย แต่ก็มิอาจหยุดการโหมกระพือข่าวได้จนรัฐบาลต้องออกมาแถลงข่าวชี้แจงอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
“ปีงบประมาณ 2561 กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้รับการจัดสรรงบประมาณ เป็นจำนวนเงิน 128,533 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3,197.32 ต่อหัวประชากร เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2560 จำนวน 87.75 บาทต่อหัว และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดช่วง 2-3 ปีนี้ โดยพี่น้องประชาชนยังคงได้รับสิทธิเช่นเดิม และมีส่วนที่จะได้รับเพิ่มขึ้น คือ ค่าบริการวัคซีนมะเร็งปากมดลูก ค่าบริการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ และค่าบริการเจ็บป่วยฉุกเฉิน รัฐบาลอยากให้พี่น้องประชาชนตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องถ้วนถี่ เมื่อได้รับข่าวสารจากแหล่งต่างๆ โดยเฉพาะโซเชียลมีเดีย เพราะมีหลายครั้งที่ข้อมูลถูกบิดเบือนเพื่อทำให้สังคมหลงเชื่อ เช่น มีการแชร์ข่าวต่อกันว่า ประชาชนถูกหลอกให้สนใจข่าวตามจับพระธัมมชโย แต่รัฐบาลได้ตัดงบโครงการบัตรทองไปเรียบร้อยแล้ว เป็นต้น”พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งโต๊ะแถลงข่าว
ปลุกระดมกันแม้กระทั่งนำภาพ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาใส่ “หมวกกะปิเยาะห์” แล้วโมเมมั่วนิ่มไปว่า นายกฯ ลุงตู่นับถือศาสนาอิลลามไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และปฏิบัติการตรวจค้นวัดพระธรรมกายเพื่อหาตัวพระธมฺมชโยก็คือแผนการของศาสนาอิสลามที่ต้องการทำลายพุทธศาสนา ทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย ซึ่งก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ก็เคยปฏิเสธมาแล้วครั้งหนึ่ง
ที่สำคัญคือ ภาพ พล.อ.ประยุทธ์ใส่หมวกกะปิเยาะห์นั้น เป็นเหตุการณ์เมื่อครั้งที่พล.อ.ประยุทธ์เปิดโอกาสให้นายฮาซัน สาเมาะ เยาวชนผู้ชนะการแข่งขันการท่องจำอัลกุรอาน ระดับนานาชาติ ณ ประเทศซูดาน เข้าพบที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมานี้นี่เอง
ขณะเดียวกันก็พยายามโยงให้เห็นว่า การตรวจค้นวัดพระธรรมกายเพื่อหาตัวพระธมฺมชโยนั้น ไม่ใช่แค่เรื่องของวัดพระธรรมกายเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นเรื่องของพุทธศาสนา เป็นการทำลายพุทธศาสนา โดยที่ไม่ได้เคยตระหนักรู้เลยว่า คำสอนของวัดพระธรรมกายนั้นผิดเพี้ยนไปจากพระไตรปิฎกหรือพระธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างไร
เพียงแค่เรื่องนิพพานเป็นอัตตาตามที่พระธมฺมมชโยสั่งสอน ก็ถือเป็นการทำให้พระธรรมวิบัติโดยที่ไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว
ยัง....ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น
การปลุกระดมเพื่อเรียกมวลชนเข้ามาในวัดยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่หนักข้อที่สุดก็คือ การอ้างว่า ดีเอสไอจะมาอายัดหรือยึด “พระทองคำ” และศาสนสมบัติ ศาสนสถานต่างๆ ให้ตกเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินหรือไม่ก็เข้ากระเป๋าตนเอง
“หลวงปู่วัดปากน้ำทองคำพันกิโล แปดองค์ รูปหล่อคุณยายอีก สององค์
ทองคำมากขนาดนี้ ก็มูลค่า หมื่นกว่าล้านบาทเข้าไปแล้ว เงินคงคลังหมด ทองหลวงตาก็ไม่รู้ไปไหนหมด ปล้นวัดกันเลยดีกว่า ง่ายดี”
งานนี้เล่นเอา พล.อ.ประยุทธ์ปรี๊ดแตกจนต้องตอบโตแบบไม่ไว้หน้าว่า “...อย่ามาบอกว่าผมจะไปยึดพระทองคำ เพราไม่รู้อะไรอยู่ไหน มีหรือเปล่าก็ไม่รู้ และแน่ใจอย่างไรว่าเป็นพระแท้ เป็นไปได้หรือที่นำทองคำไปหล่อพระขนาดนั้น เพราะขนาดสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นยังรั่วเลย คิดแบบนี้ก็จะรู้คำตอบเอง”
นอกจากนี้ ยังเผยแพร่ความคิดที่ชวนให้ขำต่อกรณีการดำเนินคดีกับพระธมฺมชโยว่า “วัดไม่ได้ใช้เงินของรัฐสักนิด ถามหน่อยเถอะหลวงพ่อผิดรึยัง ยังไม่รับทราบข้อกล่าวหาด้วยซ้ำหลักฐานอะไรก็ไม่มีมีแต่ด่ากันลอยๆพวก ปฏิบัติการปล้นวัดคงต้องเป็นเปรตกันไปอีกหลายชาติแน่นอนจะจับผิดพระบริสุทธิ์นี่เป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศเชียวหรออออออ”
ตามต่อด้วยการดิสเครดิตของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐว่า ใช้ความรุนแรง ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นผู้ยั่วยุ มีการล็อกคอทำร้ายเจ้าหน้าที่ดีเอสไอผู้หญิง กล่าวหาเรื่องการอมเงินเบี้ยเลี้ยงตำรวจที่มาปฏิบัติงาน กล่าวหาว่าทหารที่ปิดล้อมวัดพระธรรมกาย ได้กลายเป็นกองโจรปล้นเสบียงประชาชนที่ผ่านจุดตรวจต่างๆ
และหลังจากอ้อมไปอ้อมมาว่า ไม่ได้เป็นการปลุกระดม ในที่สุดเมื่อสถานการณ์คับขันเจียนตัว ก็ต้องออกมาประกาศสัญญาณ
ธงแดงเพื่อระดมศิษยานุศิษย์เข้ามาในวัด และเช่นเคยก็ใช้ถ้อยคำที่บิดเบือนเหมือนเดิมว่า รัฐจะยึดวัดและจัดพระสึกให้หมด ใครรักวัดรักหลวงพ่อก็ให้เข้ามา กระทั่งนำมาซึ่งการตัดสินใจทุบกำแพงวัดเพื่อระดมคนเข้าไปปกป้องพระธมฺมชโยที่ล่องหนหายตัวไปตามความเชื่อของลูกศิษย์
นี่นับเป็น “อวิชชาแห่งความรักและความศรัทธา” อย่างแท้จริง
และที่ขาดเสียไม่ได้คือ การใช้ยุทธศาสตร์ดึงมวลชนรอบวัด เด็ก เยาวชน สามเณร และคนชราเข้ามาร่วมต่อสู้ ให้กลุ่มคณะสงฆ์จาก 3 จังหวัดชายแดนใต้ซึ่งทางวัดได้ไปสร้างแนวร่วมเอาไว้ด้วยการบริจาคเงินและสิ่งของตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ใช้สันติวิธี รวมถึงยุทธศาสตร์ “โลกล้อมประเทศ” ซึ่งเป็นงานถนัดของวัดแห่งนี้ ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรไปจากแนวร่วมทางอุดมการณ์ของพวกเขาคือระบบทักษิณและคนเสื้อแดงเลยแม้แต่น้อย
วัดพระธรรมกายอ้างว่า ไม่ได้เป็นเอกเทศ และไม่ได้ปกครองตนเอง เพราะเคารพต่อกระบวนการยุติธรรม และให้ความร่วมมือกับราชการด้วยดี แต่ในความเป็นจริงคือ วัดพระธรรมกายไม่เคยให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐในการดำเนินคดีกับพระธมฺมชโย
ศิษยานุศิษย์เคยถามใจของตนเองบ้างหรือไม่ว่า ทำไมรัฐบาลถึงต้องใช้ ม.44 ก็เพราะในการขอความร่วมมือตรวจค้นวัดพระธรรมกาย 2 ครั้งที่ผ่านมา วัดพระธรรมกายไม่เคยให้ความร่วมมือ เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปในวัด มีการใช้กำแพงมนุษย์ มีวางรั้วลวดหนาม
ถ้าพระธมฺมชโยมั่นใจในความบริสุทธิ์ ทำไมถึงไม่มอบตัวตามกระบวนการของกฎหมาย
ถ้ากลุ่ม 5 เสือวัดพระธรรมกายไม่คิดแข็งขืนต่ออำนาจรัฐ ทำไมพระวัดพระธรรมกายตลอดรวมถึงมวลชนถึงต้องใส่ “หน้ากากอนามัย” เพื่อปิดบังใบหน้า ซึ่งไม่อาจตีความเป็นอย่างอื่นว่า ต้องการอำพรางใบหน้า จากนั้นก็ใช้มุขเดิมว่า มีมือที่ 3 เข้ามายุยงให้เกิดความรุนแรง นัยว่า พระหรือศิษยานุศิษย์ที่ใช้ความรุนแรงนั้นไม่ใช่คนของธรรมกาย จะบอกว่า คนพวกนั้นเป็น “ธรรมกายทียม” เหมือน “แดงเทียม” เช่นนั้นหรือ
แล้วทำไมทางวัดพระธรรมกายถึงยังปราศรัยปลุกปั่นศิษยานุศิษย์ภายในวัดให้ต่อสู้กับอำนาจรัฐที่กระทำตามกฎหมาย รวมทั้งมีการใช้สื่อสังคมออนไลน์ปลุกระดมคนให้เข้ามาภายในวัด กระทั่งทางดีเอสได้ต้องไปแจ้งความดำเนินคดีผู้ที่ใช้เฟซบุ๊กส่วนตัวชื่อ Viro Cano โพสต์ข้อความปลุกระดมให้คนเสื้อสีต่างๆ ที่เคยชุมนุมทางการเมืองให้เขามาร่วมชุมนุมที่วัดพระธรรมกาย
ศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายจะยังคงยืนยันคำประกาศเรื่อง “สงบ สันติ อหิงสา” ของพระสนิทวงศ์ วุฑฺฒิวํงโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกายได้อย่างไร ในเมื่อ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกมายืนยันชัดเจนว่า “เจ้าหน้าที่ไปทำงานมือเปล่าไม่ได้มีอาวุธติดตัวไปเลย ที่จริงวัดพระธรรมกายต่างหากมีอาวุธ วันก่อนยังค้นเจอปืนกับมีดของลูกศิษย์วัดได้เลย”
ปฏิบัติการ IO ที่วัดพระธรรมกายใช้ล้วนแล้วแต่ถอดมาจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปฏิบัติการล่าสุด นั่นก็คือการที่พระ 7 รูปประกาศอดข้าวเพื่อเรียกร้องให้ยุติการใช้ ม.44
โลกจะเชื่อหรือไม่ สังคมไทยโดยรวมจะเชื่อหรือไม่ ไม่สำคัญ เพราะเป้าหมายที่แท้จริงก็คือขอให้ชาวธรรมกายเชื่อก็เพียงพอแล้ว