xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

อย่างนี้ก็ได้เหรอ?? “สนช.บิ๊กติ๊ก” ทำงานพาร์ทไทม์ รับเงินเดือนประจำ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - รอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ชื่อของ “บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม น้องชาย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ห่างหายจากหน้าสื่อไปสักพักใหญ่ หลังเกษียณอายุราชการไปเมื่อหลายเดือนก่อน กลับมาดังเปรี้ยงปร้างอีกครั้ง

แล้วก็ไม่ใช่แค่ข่าวเดียว แต่เป็น 2 ข่าวซ้อนๆ ในเวลาไล่เลี่ยกัน ที่สำคัญยังเป็นข่าวที่ไม่ค่อยสู้ดีนักทั้งคู่ ในทำนอง “ข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีเสียตังค์”

ข่าวแรกยังแค่เฉียดๆถากๆ เป็นประเด็นติดตามความคืบหน้ากรณี “ห้างหุ้นส่วนจำกัด คอนเทมโพลารี คอนสตรัคชั่น” ซึ่งมี “หนุ่มกบ” ปฐมพล จันทร์โอชา บุตรชายคนโตของ “พ่อติ๊ก” เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ และไปรับงานก่อสร้างของกองทัพภาคที่ 3 ครั้งแต่เดือนธันวาคม 2557 ถึงเดือนเมษายน 2559 หลายโครงการ มูลค่ากว่าร้อยล้านบาท ซึ่งมีการยื่นเรื่องร้องเรียนอยู่ในชั้น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อยู่ในขณะนี้

เป็นประเด็นร้อนที่เคยหวด “บิ๊กติ๊ก” จนซวนซัดซวนเซ แต่โชคดีที่ “ระฆังช่วย” เจ้าตัวเกษียณอายุราชการไปก่อน

ล่าสุดมีข่าวออกมาจาก ป.ป.ช.ว่า คณะทำงานแสวงหาข้อเท็จจริงของ ป.ป.ช.ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบที่ตั้งของบริษัทที่ตั้งอยู่ในค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ จ.พิษณุโลก อีกทั้งยังมีข้อมูลเบื้องต้นว่า หจก.คอนเทมโพรารีฯ ส่วนนี้ไม่ค่อยน่าตื่นเต้นเท่าไร เพราะเรื่องที่ตั้งก็มีเปิดโปงมาตั้งแต่เกิดเรื่องใหม่ๆแล้ว มีหลักฐานโทนโท่ว่า เป็นบริษัทฯที่ตั้งอยู่ในค่ายทหาร ซึ่งเป็นบ้านพักของ “พ่อติ๊ก” เมื่อครั้งรับราชการในกองทัพภาคที่ 3

แต่ที่ดูจะชัดเจนขึ้นหน่อยก็รายงานข่าวจาก ป.ป.ช.ที่ระบุว่า “...หจก.คอนเทมโพรารีฯ เข้าข่ายไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะรับงานในฐานะคู่สัญญากับภาครัฐ เนื่องจากไม่มีทั้งเครื่องมืออุปกรณ์ที่เพียงพอ ที่สำคัญยังไร้ผลงาน แต่กลับรับงานภาครัฐวงเงินสูงหลักร้อยล้านบาท”

แต่ไม่ทันไรก็ทำท่าจะมี “ขบวนการอุ้มสม” กันออกมาเมื่อมีการส่งสัญญาณออกจาก ป.ป.ช.อีกว่า การตรวจสอบ หจก.คอนเทมโพรารีฯเกิดความล่าช้า เนื่องจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ฉบับแก้ไขใหม่ เพิ่งประกาศใช้เมื่อก่อนสิ้นปีก่อน จึงเกิด “ขัดข้องทางเทคนิค” เพราะต้องปรับปรุงระเบียบ ป.ป.ช.ในเรื่องที่เกี่ยวกับการทำงานในชั้นของการแสวงหาข้อเท็จจริง

จนป่านนี้ยังไม่สามารถตั้งอนุกรรมการไต่สวนได้ ทั้งที่สื่อมวลชนโดย “หัวหอก” อย่าง สำนักข่าวอิศราฯ ลากไส้กรณีนี้จนรู้เช่นเห็นชาติไปถึงไหนๆ แล้ว

ซึ่งอันที่จริงสังคมก็ไม่ค่อยคาดหวังว่า จะมีการเล่นงานเรื่อง “บริษัทลูกบิ๊กติ๊ก” ได้ตามกฎหมาย แม้หลักฐานจะคาตาว่า เป็นบริษัทของลูกอดีตแม่ทัพภาคที่ 3 ที่ตั้งบริษัทอยู่ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 และได้งานรับเหมาก่อสร้างจากกองทัพภาคที่ 3 มูลค่าเป็นร้อยล้าน ทั้งที่ไม่เคยมีผลงานใดๆ มาก่อน

ที่สำคัญยังสัมผัสได้ถึง “พลังงานบางอย่าง” ใน ป.ป.ช.ที่ตั้งแต่มีประธานชื่อ “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ก็ยังไม่เคยแตะต้องเรื่องใหญ่คดีดังๆ ได้เลย

ต่อเนื่องมาถึงกรณี โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือ “ไอลอว์” เผยผลสำรวจเกี่ยวกับการเข้าประชุมของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งพบว่า มีสมาชิกอย่างน้อยๆ 7 ราย ขาดประชุม-ไม่แสดงตัวลงมติ เป็นประจำ จนอาจทำให้สิ้นสภาพการเป็นสมาชิก สนช.

ซึ่งหากเป็นยุคของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งก็คงถือเป็นเรื่องปกติ ที่ “สมาชิกผู้ทรงเกียรติ” จะโดดร่มขาดประชุม หรือบางคนไม่เคยโผล่ไปที่รัฐสภาตลอดสมัยเลยก็มีมาแล้ว จนถูกนำมาประจานด่ากันแรงๆว่า “ส.ส.สันหลังยาว” ในเวลาที่องค์ประชุมไม่ครบ จนการประชุมต้องล่มไป

ทั้งนี้ในยุค คสช. ที่แต่งตั้ง สนช.ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่เสมือน สภาผู้แทนราษฎร คสช.จึงมีดำริให้ปิด “จุดบอด” เรื่ององค์ประชุม เพื่อไม่ให้ถูกตำหนิแบบที่เกิดกับนักเลือกตั้ง ถึงขนาดบัญญัติบทลงโทษเกี่ยวกับการขาดประชุมของสมาชิก สนช.ไว้ในมาตรา 9 (5) ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 อย่าง “เคร่งครัด” ที่กำหนดว่า “ถ้าสมาชิก ไม่มาแสดงตนเพื่อลงมติในที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติเกินจำนวนที่กำหนดไว้ในข้อบังคับการประชุม ให้สมาชิกภาพการเป็น สนช. สิ้นสุดลง”
“บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา
ไม่เพียงเท่านั้นยังไปกำหนดไว้ในข้อบังคับการประชุม สนช. พ.ศ.2557 ข้อ 82.ว่า “สมาชิกที่ไม่แสดงตนเพื่อลงมติในที่ประชุมสภาเกินกว่าหนึ่งในสามของจำนวนครั้งที่มีการแสดงตนเพื่อลงมติทั้งหมดในรอบระยะเวลาเก้าสิบวัน ให้สมาชิกภาพของสมาชิกสิ้นสุดลง กรณีที่สมาชิกไม่แสดงตนเพื่อลงมติตามวรรคหนึ่งเนื่องจากได้ลาการประชุม … มิให้ถือว่าสมาชิกผู้นั้นไม่แสดงตนเพื่อลงมติ…”

หรือหมายความว่า “ในรอบระยะเวลา 90 วัน” ถ้าสมาชิก สนช.คนใด “ไม่มาลงมติเกินกว่าหนึ่งในสาม” ของจำนวนการลงมติทั้งหมดในรอบระยะเวลานั้น จะต้องสิ้นสุดสมาชิกภาพความเป็น สนช.

แจ็คพอตอีกว่า 1 ใน 7 ท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติ ดันมีชื่อ “บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ร่วมกับอีก 6 ราย ประกอบด้วย พล.ร.อ.พัลลภ ตมิศานนท์ อดีตเสนาธิการทหารเรือ พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง ผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.ร.อ.ณะ อารีนิจ ผู้บัญชาการทหารเรือ สมศักดิ์ โชติรัตนะศิริ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการกฤษฎีกา และ สุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

รายงานของ “ไอลอร์” ครั้งนี้ถือเป็นการ “ตบหน้า” คสช.ฉาดใหญ่ เพราะก่อนหน้านี้ก็มีข้อครหาในการแต่งตั้งตัวบุคคลเข้ามาทำหน้าที่ต่างๆในแม่น้ำ 5 สายของ คสช. โดยส่วนมากมักจะเป็นในส่วนของทหาร ตำรวจ ข้าราชการประจำ ซึ่งก็เคยมีคำถามว่า บุคคลเหล่านี้มี “งานประจำ” ทำอยู่ อาจจะไม่สะดวกที่จำมารับงาน “พาร์ทไทม์” แต่ “บิ๊ก คสช.” ก็ไม่ยี่หระ ไม่ว่าแต่งตั้งกี่ครั้งกี่หนก็ยังมี “ล็อคสเปก” ไว้เช่นเดิม แถมยังเน้นไปที่ทหาร - ข้าราชการ เป็นส่วนใหญ่ด้วย

อย่างไรก็ตามเมื่อข้อมูลของ “ไอลอร์” ออกมา สปอตไลท์สาดส่องไปที่ “บิ๊กติ๊ก” เป็นพิเศษ ทั้งในฐานะน้องชายนายกฯ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีข่าวเสียๆหายๆไม่หยุดหย่อน โดยเฉพาะจากคนรอบข้าง ทั้งลูกชาย 2 คน คนหนึ่งมีเรื่องเกี่ยวกับ “สิทธิพิเศษ” ในการเข้ารับราชการทหาร อีกคนก็ตั้งบริษัทฯรับงานกองทัพภาคที่ 3 หรือย่างภรรยา “คุณนายอู๊ด” ผ่องพรรณ จันทร์โอชา ก็โด่งดังกับความเว่อร์วัง และวีรกรรมฝายแม่ผ่องพรรณพัฒนา

ที่สำคัญใน 7 รายชื่อ สนช.ผู้หมิ่นเหม่ต้องลุกจากตำแหน่ง “บิ๊กติ๊ก” ยังเป็นเจ้าของสถิติการลงมติน้อยที่สุด จากการสำรวจกาลงมติ 453 ครั้งในช่วงมกราคม - มิถุนายน 2559 ท่านปลัดกระทรวงกลาโหมในขณะนั้นมาลงมติเพียง 6 ครั้งเท่านั้น

แต่ก็เผอิญมี “ข้อแม้” ว่า ถ้าสมาชิกมาลงมติไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนด แต่ได้ลาประชุมไว้แล้ว ก็จะไม่ส่งผลให้สิ้นสุดสมาชิกภาพ และทาง “ไอลอร์” ก็ได้พยายามติดต่อขอข้อมูลใบลาจาก สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ที่ทำหน้าที่สักเลขาธิการ สนช. กลับได้รับการแจ้งว่า ข้อมูลเป็นความลับทางราชการ ไม่สามารถเปิดเผยได้

พอเรื่องแดงขึ้นมา “พี่ตู่” ก็ตอบประเด็น “น้องติ๊ก” โดยเน้นย้ำถึง “กติกา” ว่า หากตรวจสอบแล้ว ถ้าไม่ครบจริงเขาก็ต้องตัดชื่อออกและต้องพ้นหน้าที่ไป

ขณะที่ พรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. ก็รับหน้าที่ออกมาสยบควันไฟทันที โดยยืนยันว่า จะไม่มีการตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง เนื่องจากทุกรายที่ปรากฎชื่อมีการยื่นใบลาประชุมอย่างถูกต้อง

เช่นเดียวกับหน่วยงานที่ควรมีหน้าที่ตรวจสอบจริยธรรมของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ อย่าง ผู้ตรวจการแผ่นดิน โดย พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ รักษาการประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ก็ระบุว่า คงไม่เข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ เนื่องจาก สนช.มีการตรวจสอบกันเองอยู่แล้ว

นอกเหนือจากเรื่อง “ความรับผิดชอบ” ในตำแหน่งหน้าที่แล้ว ก็ยังลามไปถึงเรื่อง “ค่าตอบแทน” ด้วยว่า สมาชิก สนช.ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการประจำ ทำงานหลายตำแหน่ง ซึ่งได้ได้รับค่าตอบแทนจากทั้งตำแหน่งงานประจำ ทั้งเงินเดือนและค่าตอบแทนอื่นๆ และยังได้รับเงินเดือนจากการเป็นสมาชิก สนช. บวกกับเบี้ยประชุมกรรมาธิการและอื่นๆอีกตามสิทธิ

เฉพาะเงินเดือนสมาชิก สนช. ก็ได้รับกันอยู่ที่เดือนละ 113,560 บาท แม้จะไม่ได้ทำหน้าที่เข้าประชุมก็ยังได้รับเต็มจำนวน

และในขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางเฉย ก็เป็นคิวของภาคประชาชนอย่าง วีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน ที่ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คถึงกรณีที่พบว่าสมาชิก สนช.ขาดประชุมบ่อยว่า “ฉาวอีกแล้ว พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา น้องชาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และสมาชิก สนช. ขาดการประชุมเป็นประจำ แต่ยังรับเงินเดือนๆ ละ 120,000 บาท พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะพี่ชาย ซึ่งเป็นผู้เลือกน้องชายคนนี้มานั่งกินเงินเดือน สนช. อย่าบอกว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของน้องชายอีกนะ การมาทำหน้าที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว แล้วหน้าด้านมารับเงินเดือนในตำแหน่ง สนช.ทำไม”

นายวีระ สาธยายต่อว่า ตำแหน่งสมาชิก สนช.ถือเป็นตำแหน่งข้าราชการทางการเมือง เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ รัฐต้องจ่ายเงินเดือน เบี้ยประชุม รวมถึงผลประโยชน์ตอบแทนอื่นๆ อีกมากมาย ตั้งแต่มาเป็น สนช. พล.อ.ปรีชา ได้ใช้สิทธิเบิกค่าเครื่องบินไปกลับกรุงเทพ - พิษณุโลก จำนวนกี่ครั้ง เป็นจำนวนเงินเท่าใด ถ้าอ้างว่าติดราชการงานอื่น จนไม่มีเวลามาทำงาน ก็ควรมาลาออกไป อย่าเอาเปรียบสังคม กระทรวงการคลังจะได้ไม่ต้องเสียหาย ไม่ต้องเสียงบประมาณแผ่นดิน อันเป็นเงินภาษีอากรของประชาชน มาจ่ายเป็นเงินเดือนแสนสองหมื่นบาท ให้กับข้าราชการที่ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่เช่นนี้ คนที่ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่

พร้อมฝากคำถามไปว่า “มีเจ้าหน้าที่ของรัฐคนใดบ้าง ที่สามารถลางานได้มากถึง 394 วัน จากจำนวนวันทำงานทั้งหมด 400 วัน โดยไม่ถูกไล่ออกจากราชการ ก็คงมีแต่พล.อ.ปรีชา คนนี้คนเดียวเท่านั้น ประธาน สนช. ต้องไล่ออกสถานเดียว อยากจะดูว่านายกรัฐมนตรี จะแก้ตัว ปกป้อง ให้น้องชายคนนี้อย่างไร"

ถือเป็นการพูดแทนใจคนส่วนใหญ่ที่ได้ติดตามข่าวนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาหลายภาคส่วนก็ไม่สบายใจกับการที่ คสช.พยายามแต่งตั้งบุคคลที่เป็นข้าราชการ ทหาร หรือตำรวจ เข้ามาทำหน้าที่ต่างๆ นอกจากจะเบียดบังงานประจำที่กินภาษีประชาชนอยู่แล้ว ก็ยังอาจทำหน้าที่ได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งจากข้อมูลของ “ไอลอร์” ก็เป็นไปตามที่คาดจริงๆ

ก็ต้องถามใน “บิ๊ก คสช.” โดยเฉพาะ “บิ๊กตู่” หัวหน้า คสช. จะมองเรื่องของ “บิ๊กติ๊ก” หนนี้เป็นเรื่องส่วนตัวอีกหรือไม่ เพราะการเป็นผู้นำสูงสุดแต่ไม่ทำอะไรกับกรณีเช่นนี้ ก็อาจจะสร้างคำครหาในสังคมได้ เพราะไม่นานก็เป็นคิวของ “เดอะปึ้ง” สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล แกนนำพรรคเพื่อไทย ที่แม้ประกาศสนับสนุนการดำเนินงานเรื่องปรองดองของ คสช.ในขณะนี้ ก็ไม่พลาดที่จะออกมาร่วมถล่มกับเขาด้วย ที่ฟังผ่านๆคล้ายจะหวังดี แต่ก็เหน็บไปอย่างแสบๆคันๆว่า “พล.อ.ปรีชา มีศักดิ์เป็นน้องชายนายกรัฐมนตรีสังคมจึงจับตา พฤติกรรมจะส่งผลกระทบถึงตัวนายกฯแน่ ทางที่ดีคือ ต่อไปนี้ควรมาทำงานทุ่มเทเวลาให้เต็มกำลัง หรือไม่ถ้าเห็นว่า ไม่มีเวลาก็ควรลาออกไป เพื่อไม่ให้กระทบภาพลักษณ์ที่ดีของพี่ชาย ... หากปล่อยเรื่องเอาไว้ไม่แก้ไข อาจจะเป็นปมชนวนให้ฝ่ายไม่หวังดีกับรัฐบาลนี้ หยิบยกเป็นประเด็นเล่นงานนายกฯกระจายข่าวแพร่ไปยังสื่อต่างประเทศ ทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลจนอาจเสียคะแนนนิยมได้”

เช่นเดียวกับ วิรัตน์ กัลยาศิริ แห่งค่ายประชาธิปัตย์ ที่แนะนำว่า พล.อ.ปรีชา ควรลาออกจากสนช. เพราะมีศักดิ์เป็นน้องชายนายกฯ สังคมจึงจับตาพฤติกรรมจะส่งผลกระทบถึงตัวนายกฯ แน่

สรุปความประมาณว่าหาก “บิ๊กติ๊ก” ยังดันทุรังอยู่ใน สนช.ต่อไป ก็จะเป็นตัวกระชากเรตติ้ง คสช.ให้ดำดิ่งลง เพราะขัดแย้งกับภารกิจของ คสช.ที่ประกาศเข้ามาจัดระเบียบ ปฏิรูประบบต่างๆให้เข้ารูปเข้ารอย หากแต่ที่ผ่านมา “บิ๊กติ๊ก” ผู้มีนามสกุลต่อท้ายเดียวกับหัวหน้า คสช.กลับมีแต่ข่าวค (ร) าวออกไปในทางฉาวโฉ่มากกว่าที่จะส่งเสริมบารมีของ คสช. และผู้เป็นพี่ชายอย่าง “นายกฯตู่”

ไม่เพียงแต่ต้องเสียสละสลัดตัวเองให้หลุดจากสถานภาพ สนช. เท่านั้น ยังควรให้เกียรติฐานะ “น้องชายนายกฯ” ที่ติดตัวไปตลอดชีวิตด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น