ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - จริงๆ แล้วชื่อของ “เสี่ยชัย อุทัย” วิชัย ปั้นงาม แห่งอาณาจักร วี 8 เป็นที่รู้จักในฐานะ “เจ้าพ่อเงินกู้ดอกโหด” มาระยะเวลาหนึ่งแล้ว โดยเฉพาะเมื่อช่วงปลายปี 2557 หลังจากที่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามายึดอำนาจใหม่ๆ “เสี่ยชัย” ผู้นี้ก็เคยเป็นเป้าหมายสำคัญในการปราบปรามตามนโยบายจัดระเบียบสังคมและขจัดผู้มีอิทธิพล จนมีข่าวว่าเจ้าตัวต้องหนีหัวซุกหัวซุนมาครั้งหนึ่งแล้ว
แต่ด้วยวิทยายุทธ์อันเหนือชั้น หรือคอนเนคชั่นสายแข็ง มิทราบได้ จู่ๆปฏิบัติการไล่ล่า “เสี่ยชัย” กลับหยุดชะงักไปเฉยๆ แถมไม่กี่เดือนต่อมา “วิชัย” และภรรยา “ศรีนวล ปั้นงาม” ยังมีชื่อไปปรากฏ และออกอีเว้นท์หลายครั้ง ในฐานะผู้อำนวยการสร้างหนังโรงอย่าง “367 วัน Him&Her” ภายใต้บริษัท 108 สยามฟิล์ม จำกัด อีกต่างหาก
พอถึงเดือนมีนาคม 2558 “วิชัย-ศรีนวล ปั้นงาม” ก็ประกาศศักดาความยิ่งใหญของตัวเองอีกครั้ง เมื่อจัดเลี้ยงโต๊ะจีน 1,000 โต๊ะ และเชิญดารา-ศิลปินเบอร์ใหญ่ๆ มาฉลองงานบวชลูกชาย จนเป็นข่าวใหญ่ไปทั้งประเทศ
ชื่อของ “เสี่ยชัย” กลับมาอยู่ในข่าวการกวาดล้างผู้มีอิทธิพลอีกครั้ง เมื่อช่วงก่อนสงกรานต์ 2559 ที่ทหาร-ตำรวจร่วมกันเข้าตรวจค้นเครือข่าย ชาดา ไทยเศรษฐ์ อดีต ส.ส.อุทัยธานี พรรคชาติไทยพัฒนา พร้อมเครือข่าย รวม 11 จุด ในพื้นที่ จ.อุทัยธานี ซึ่งเป็นผลมาจากการสืบสวนหาข่าวของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ที่พบว่าในพื้นที่อุทัยธานี มีบุคคลที่มีพฤติการณ์มีอาวุธปืน อาวุธสงครามไว้ในความครอบครอง เจ้ามือหวยใต้ดิน และการปล่อยเงินกู้นอกระบบ ซึ่งหนึ่งในเป้าหมายตรวจค้นก็คือ บ้านเลขที่ 94 ม.7 ต.ท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี ซึ่งมีชื่อ “เสี่ยวิชัย” เป็นเจ้าของด้วย
แม้ของกลางที่ตรวจพบจะมีเพียงเหล้า-ไวน์แสตมป์นอก อุปกรณ์เล่นพนัน และอาวุธปืนจำนวนหนึ่งเท่านั้น แต่อย่างน้อยก็เป็นการยืนยันชัดเจนว่า “วิชัย ปั้นงาม” มีชื่อติดอยู่ในลิสต์ลำดับต้นๆของการปราบปรามผู้มีอิทธิพลของ คสช.
เสี่ยวิชัย ปั้นงาม
แต่ก็น่าแปลกไม่น้อยที่ยังไม่มีการดำเนินคดีกับ “เสี่ยวิชัย” เป็นเรื่องเป็นราว
ทั้งที่ “MGR ผู้จัดการ” ก็เคยเปิดโปงความเป็นมาของธุรกิจปล่อยกู้ดอกขูดเลือดของ “บริษัท วี 8 จำกัด” ของ “เสี่ยวิชัย อุทัย” ไว้อย่างละเอียดยิบว่า ธุรกิจเงินกู้ดอกโหดของบริษัทนี้มีมาอย่างยาวนานนับสิบปี โดยถือกำเนิดขึ้นที่ จ.อุทัยธานี บ้านเกิดของนายวิชัย ก่อนขยับมาตั้งอยู่หมู่บ้านสมโภชรัตนโกสินทร์ 200 ปี จ.ปทุมธานี และขยายเครือข่ายในลักษณะแฟรนไชส์ไปทั่วประเทศ จนปัจจุบันมีอยู่ราว 60 สาขา
นอกเหนือจากความเป็นมาแล้ว ก็ยังสาวลึกไปถึงรูปแบบการทำธุรกิจ ที่มีการตั้งโต๊ะปล่อยเงินกู้ตามแหล่งชุมชนต่างๆอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย และมีวิธีในการจัดการกับสายเงินกู้ หรือลูกค้า ด้วยมาตรการรุนแรง หรือที่รู้จักกันดีว่า “เงินกู้หมวกกันน็อก” ทั้งการข่มขู่ หรือจัดชุดนักเลงไปรุมซ้อม สร้างความหวาดผวาให้กับทั้งเครือข่าย และลูกค้าที่ผิดนัดชำระเงิน จนมักมีข่าวว่าลูกค้าของบริษัท วี 8 เลือกที่จะทำร้าย หรือจบชีวิตตัวเอง มากกว่าจะรอให้ “ทีมหมวกกันน็อก” มาทวงถาม
กิจการของบริษัท วี 8 เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยไร้การเข้าควบคุมหรือดำเนินการตามกฎหมายจากเจ้าหน้าที่รัฐ มีรายงานว่าเดือนๆนึง ผลประกอบการของบริษัท วี 8 มีเงินหมุนเวียนมากกว่า 4 พันล้านบาท รายได้เฉลี่ยมากกว่า 100 ล้านบาทต่อเดือน หรือเป็นหลักพันล้านบาทต่อปี
ทั้งนี้มีการวิเคราะห์ว่าสาเหตุที่ “เสี่ยวิชัย” อยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ก็ด้วยอำนาจเงินในลักษณะ “ส่วย” ที่ส่งให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองทั้งในและนอกราชการโดยเฉพาะ “ตำรวจ” อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง รวมทั้งยังมี “บิ๊กคนมีสี” รับเป็นที่ปรึกษาให้บริษัท วี 8 โดยมีหน้าที่คอยเคลียร์คดี หรือตัดตอนความผิดต่างๆที่จะมาถึงตัวบริษัท และนายวิชัย
แม้จะใหญ่คับฟ้าเพียงใด ด้วยความเอาจริงของ คสช.ในการกวาดล้าง “ผู้มีอิทธิพล” เป็นที่มาของปฏิบัติการทลายเครือข่ายบริษัทเงินกู้ วี 8 อีกครั้งเมื่อช่วงเดือนธันวาคม 2559 ที่ผ่านมา โดยครั้งนี้เป็นคิวของ “กรมสอบสวนคดีพิเศษ” หรือ “ดีเอสไอ” ภายใต้การนำของ พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ สั่งการเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติการจู่โจมตรวจค้นเป้าหมายสถานที่ และจับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายบริษัทเงินกู้ วี 8 ครั้งใหญ่ในพื้นที่ จ.ปทุมธานี, เชียงใหม่, สงขลา และขอนแก่น จนได้ของกลางและหลักฐานสำคัญเป็นจำนวนมาก ที่น่าตกตะลึงคือ ข้อมูลที่ระบุว่า มีเครือข่ายผู้ร่วมขบวนการกว่า 2 พันคน มีลูกหนี้ราว 2 แสนคนทั่วประเทศ และมีรายชื่อเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องถึง 1 พันราย
อย่างไรก็ตามปฏิบัติการครั้งนั้น ถือเป็นครั้งแรกที่มีการดำเนินคดีตามกฎหมายกับ “เสี่ยชัย อุทัย” โดยเป็นผู้ต้องหาคดีพิเศษที่ 99/2559 หากแต่ระหว่างนั้นเจ้าตัวได้เดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่นก่อนหน้านั้นเพียงวันเดียว จึงรอดพ้นการถูกจับกุมตัวไปได้ และมีกระแสข่าวว่านายวิชัยพร้อมเดินทางกลับประเทศเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองด้วย พร้ออมยืนยันว่านายวิชัยจะเดินทางกลับมามอบตัวที่สนามบินสุวรรณภูมิในช่วงก่อนสิ้นปี แต่สุดท้ายก็ไม่ปรากฏตัว พร้อมกับกระแสข่าวที่ว่า “เสี่ยชัย” ไปกบดานอยู่ที่ประเทศเพื่อนบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เจ้าหน้าที่ดีเอสไอติดป้ายอายัดทรัพย์
ความยิ่งใหญ่ของ “เสี่ยวิชัย” ปรากฏชัดจากคำพูดของ พ.ต.อ.ดุษฎีที่ระบุว่า “นายวิชัยมีปลอกคอ (คนคุ้มครอง) และคนที่คิดว่าเป็นปลอกคอ แต่หลักฐานไปไม่ถึง เข้ามาถามผมเหมือนกันว่า มีชื่อนายวิชัยเข้าไปเกี่ยวข้องไหม คนนี้ไม่ใช่สีกากี พูดอย่างนี้คงจะทราบแล้วว่าเป็นสีอะไร เขาถามผมว่า จะให้ดูแลยังไง ผมบอกว่า ดูแลไม่ไหวหรอก อย่ามาดูแลเลย ให้ผมทำงานเถอะ ถ้าจะดูแลต้องดูแลลูกหนี้ทั้งหมด 2 แสนคน ก็ต่างคนต่างอยู่กันไป”
คำพูดของ พ.ต.อ.ดุษฎี เป็นเครื่องยืนยันว่า ไม่เพียงแต่ “สีกากี” ที่ดูแลให้ความคุ้มครองอยู่ ยังมี “สีเขียว” เป็นปลอกคออยู่อีกชั้นหนึ่งด้วย สรุปได้ว่าคนๆนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ไม่ธรรมดาขนาดต่อรองกับทางดีเอสไอว่า หากเข้ามอบตัวต้องได้รับการประกันตัวอย่างไม่มีเงื่อนไข
และเมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2560 เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ทหารจากกรมทหารราบที่ 4 ก็ได้เข้าปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นสถานที่เป้าหมายจำนวน 10 แห่งใน จ.อุทัยธานีอีกครั้ง ครั้งนี้เน้นไปที่เครือข่ายของ “เสี่ยวิชัย” โดยเฉพาะ และได้ทำการอายัดที่ดิน-สิ่งปลูกสร้างที่เกี่ยวข้องมูลค่ากว่า 400 ล้านบาทเลยทีเดียว
นับวันความยิ่งใหญ่ของ “อาณาจักรเสี่ยวิชัย” ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ คำถามมีว่า เครือข่ายเงินกู้ระดับประเทศที่แผ่กิ่งก้านสาขามานานร่วม 20 ปี เหตุใดจึงไม่เตะหูเตะตาเจ้าหน้าที่บ้านเมืองบ้างหรืออย่างไร ถือเป็นเครื่องยืนยันน้ำหนักกระแสข่าวที่ระบุว่า “เสี่ยวิชัย” การใช้อำนาจเงินเลี้ยงดูปูเสื่อ “สีกากี - สีเขียว” ซึ่งขณะนี้ไม่ต่ำกว่า 1 พันรายปรากฏอยู่ในโพย และตอนนี้ก็ได้ไปอยู่ในมือของดีเอสไอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตลอดจนมี “ปลอกคอระดับบิ๊ก” คุ้มกะลังหัวอยู่
ทำให้ตลอดระยะเวลากว่า 2 ทศวรรษ “เสี่ยวิชัย” แคล้วคลาด ไม่เคยต้องคดีร้ายแรงแต่อย่างใด
นอกเหนือจากเจ้าหน้าที่บ้านเมืองแล้ว ฝ่ายการเมืองก็น่าจะเป็น “แบ็ค” ที่สำคัญของ “เสี่ยวิชัย” ตั้งแต่พื้นที่บ้านเกิด จ.อุทัยธานี ที่รู้ๆกันอยู่ว่ามีเจ้าถิ่นเป็น “อดีต ส.ส.ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอุทัยธานี” ซึ่งมีคอนเนคชั่นกับแทบทุกกลุ่มทุกพรรคการเมือง สำทับกับรายงานข่าวที่ว่าเครือข่ายวี 8 เป็น “แหล่งฟอกเงิน” ที่ได้รับความนิยมของฝ่ายการเมือง จนมีข่าวว่า “เจ๊ใหญ่แถววังทองหลาง” มักใช้บริการอยู่บ่อยๆ
รายงานข่าวยังแจ้งด้วยว่า นอกเหนือจาก “สีกากี - สีเขียว - นักการเมือง” แล้ว ยังมีข้อมูลเชื่อมโยง “เสี่ยวิชัย” ไปถึงเครือข่ายของ “ไซซะนะ แก้วพิมพา” พ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ชาวลาว ต่อติดได้ครบวงจรก็ท่าจะสนุกสนานน่าดู
แล้วหากครั้งนี้ คสช.ทุบโต๊ะเอาจริงกับการกวาดล้างเครือข่ายผู้มีอิทธิพลก็น่าจะทำได้ไม่ยาก อาศัยการแกะรอยขยายผลจาก “วงจรอุบาทว์” จากเครือข่าย “วิชัย ปั้นงาม” ยาวไปถึงเครือข่าย “ไซซะนะ” ที่ไม่เพียงแต่เจ้าหน้าที่นอกรีตเท่านั้นที่จะถูกหางเลขนับร้อยๆรายเท่านั้น นักการเมืองระดับ “เจ้าพ่ออุทัยฯ” หรือ “เจ้าแม่นครบาล” ก็ไม่น่ารอดสันดอนต้องอาญาแผ่นดินไปด้วย.