ปัญญาพลวัตร
โดย พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐกำลังเดินหน้าดำเนินการตามนโยบายชุดต่างๆ ตามที่ประกาศหาเสียงเอาไว้ นโยบายชุดแรกเกี่ยวกับผู้อพยพเข้าเมือง ตั้งแต่การลงนามในคำสั่งสร้างกำแพงกั้นชายแดนประเทศสหรัฐอเมริกากับประเทศเม็กซิโก การควบคุมผู้อพยพลี้ภัยจากตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ การปรามเมืองต่างๆของสหรัฐที่ช่วยเหลือผู้อพยพ และนโยบายชุดที่สอง อันได้แก่ การส่งเสริมกลุ่มทุนและธุรกิจพลังงาน โดยลดระเบียบที่เป็นภาระต่อผู้ผลิตภายในประเทศ และการเห็นชอบในการก่อสร้างท่อลำเลียงน้ำมัน 2 แห่ง
เมื่อเริ่มแรกที่ได้ยินนโยบายสร้างกำแพงเพื่อกั้นผู้อพยพของนายทรัมป์ ก็อดขำไม่ได้กับความคิดแบบนั้นของเขา ชวนให้คิดไปว่านายทรัมป์อาจได้ความคิดนี้จากประเทศจีนในสมัยโบราณ ที่มีการสร้างกำแพงเมืองจีนเพื่อป้องกันชนเผ่าต่างๆที่เข้าไปรุกรานประเทศจีน นายทรัมป์คงมองว่าชาวเม็กซิโกเป็นชนเผ่าที่กำลังเข้าไปรุกรานประเทศสหรัฐอมริกากระมัง จึงคิดที่จะสร้างกำแพงอันยาวเหยียดเพื่อกั้นเขตแดนของสองประเทศ เห็นข่าวว่ายาวตั้ง 1,600 กิโลเมตร
วันหนึ่งในอนาคตกำแพงเมืองสหรัฐอเมริกาอาจกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอีกสิ่งหนึ่ง เช่นเดียวกับกำแพงเมืองจีนก็ได้ และชื่อของนายทรัมป์คงจะได้รับการจารึกลงไปในประวัติศาสตร์โลกในฐานะที่เป็นผู้สร้างสิ่งมหัศจรรย์เยี่ยงนี้ขึ้นมา
นายทรัมป์ยังประกาศว่าจะลงมือสร้างกำแพงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ประมาณการว่าค่าก่อสร้างกำแพงประมาณ 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และสิ่งที่ชวนหัวเป็นอย่างยิ่งคือ สหรัฐอเมริกาจะออกเงินก่อสร้างไปก่อน โดยนายทรัมป์กล่าวอย่างแข็งกร้าวว่า ประเทศเม็กซิโกจะต้องจ่ายเงินค่ากำแพงคืนในภายหลัง แต่ทางฝ่ายประเทศเม็กซิโกก็บอกอย่างชัดเจนแล้วว่าไม่มีวันที่พวกเขาจะจ่ายเงินค่ากำแพง
ด้วยนิสัยแบบนายทรัมป์ ผมคิดว่าเขาคงจะออกมาตรการบางอย่างมาบีบบังคับให้ประเทศเม็กซิโกจ่ายเงินค่ากำแพงในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง และหากประเทศเม็กซิโกปฏิเสธก็คงนำไปสู่ความตึงเครียดและความขัดแย้งระหว่างประเทศได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายทรัมป์พร้อมอยู่ทุกเวลาในการที่จะฉีกข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ระหว่างเม็กซิโก แคนาดา และสหรัฐฯ ซึ่งประเทศเม็กซิโกได้ประโยชน์จากข้อตกลงนี้มาก เพราะมีนักลงทุนจากหลายประเทศใช้ประเทศเม็กซิโกเป็นแหล่งลงทุนผลิตสินค้าและส่งไปขายในประเทศสหรัฐอเมริกา หากนายทรัมป์ฉีกข้อตกลงนี้ย่อมทำให้ประเทศเม็กซิโกสูญเสียประโยชน์อย่างมหาศาลทั้งในแง่ผลประโยชน์จากการลงทุนของต่างชาติและการจ้างงาน
ภายใต้การบริหารของนายทรัมป์ กระแสความรู้สึกของการกีดกันเชื้อชาติของประเทศสหรัฐอเมริกาคงจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับสูง ซึ่งส่งผลให้การกระทำที่รุนแรงต่อผู้อพยพต่างชาติโดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลและชาวอเมริกันผิวขาวคงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย และความขัดแย้งทางสังคมในประเทศสหรัฐอเมริกาคงจะขยายตัวอย่างกว้างขวางภายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ด้านนโยบายส่งเสริมนายทุนและธุรกิจที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แม้ว่าในระยะสั้นอาจทำให้ตลาดหุ้นดูคึกคัก และดัชนีหุ้นของประเทศสหรัฐพุ่งขึ้นสูงสุดในประวัติศาสตร์ แต่สิ่งที่จะตามมาในอนาคตคือจะยิ่งไปเพิ่มความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม และการขยายวงของความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับนักเสรีนิยม นักสิทธิสตรีและนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ดังที่กระแสการไม่ยอมรับว่านายทรัมป์เป็นประธานาธิบดี และการชุมนุมคัดค้านนายทรัมป์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศสหรัฐตั้งแต่วันที่เขาชนะการเลือกตั้ง จนกระทั่งวันที่รับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ มีประชาชนชาวสหรัฐเมริกาจำนวนหลายแสนคนในหลายเมืองชุมนุมต่อต้านนายทรัมป์ การชุมนุมประท้วงมีทั้งที่เป็นไปอย่างสันติ และชุมนุมด้วยความรุนแรง ซึ่งมีการทุบทำลายกระจกหน้าต่างอาคารร้านค้า จุดไฟเผารถยนต์ และปะทะกับตำรวจ และผู้ชุมนุมถูกจับตัวไปสองร้อยกว่าคน
การชุมนุมต่อต้านผลการเลือกตั้งย่อมบ่งบอกว่าคนในสหรัฐอเมริกา หาได้ยึดหลักประชาธิปไตยแบบเสียงข้างมากเสียทั้งหมด ส่วนการชุมนุมด้วยความรุนแรงก็ย่อมบ่งบอกว่า มีคนอเมริกันไม่น้อยที่ไม่ยึดหลักประชาธิปไตยแบบสันติวิธี อันที่จริงในทุกสังคมก็มีคนประเภทนี้อยู่ไม่น้อย ไม่เว้นแม้แต่สหรัฐอเมริกาที่ชอบยกตัวเองว่ามีระดับการพัฒนาประชาธิปไตยสูงกว่าประเทศอื่นๆ
ความคิดในเชิงใช้ความรุนแรงในการต่อต้านรัฐบาลของชาวอเมริกันได้ก่อตัวเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก แม้กระทั่งนักร้องดังอย่าง มาดอนน่า ก็ได้กล่าวว่า เธอรู้สึกโมโห เจ็บแค้น และคิดจะใช้ความรุนแรงหลายครั้งในเรื่องการวางระเบิดทำเนียบขาว ถึงแม้ว่ามาดอนน่าไม่ได้กระทำดังที่เธอกล่าวเอาไว้ แต่ก็ชี้ให้เห็นว่ากระแสความคิดแบบนี้ดำรงอยู่ในความคิดของประชาชนจำนวนมาก
หากตัวตนของนักการเมืองคือภาพสะท้อนตัวตนของประชาชน การได้นายทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงความคิดและอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญของประชาชนชาวสหรัฐอมริกา เรียกได้ว่าคนอเมริกาสวิงกลับไปสู่อีกขั้วหนึ่งอย่างหน้ามือเป็นหลังเท้า
จากเดิมที่ได้นายโอบามา เป็นประธานาธิบดี ซึ่งทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ว่าคนอเมริกันเชิดชูความเสมอภาค เสรีภาพ และสิทธิมนุษยชน แต่เมื่อได้นายทรัมป์มาเป็นประธานาธิบดีภาพลักษณ์ของคนอเมริกาก็กลายเป็นอีกแบบหนึ่ง กลายเป็นว่าคนสหรัฐในเวลานี้ เชิดชู ลัทธิเหยียดเชื้อชาตินิยม บูชาลัทธิชาตินิยมแบบสุดขั้ว และอำนาจนิยมแบบสุดโต่ง ซึ่งคุณลักษณะแบบนี้ทำให้คนอเมริกาดูไม่แตกต่างจากประเทศอื่นๆจำนวนมากที่รัฐบาลสหรัฐเคยตำหนิมาก่อน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นบทเรียนว่า แต่ละประเทศย่อมมีปัญหาของตนเอง ดังนั้นการที่ประเทศใดประเทศหนึ่งที่คิดทำตัวเป็นลูกพี่ใหญ่ หรือเป็นผู้นำด้านคุณธรรมของโลก และเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงประเทศอื่นๆ ก็ควรจะนำมาเป็นศึกษาและทบทวนตัวเองให้ดี มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นตัวตลกในเวทีโลกอย่างที่ประเทศสหรัฐอมริกากำลังเป็นอยู่ในเวลานี้ เพราะในอดีตชอบทำตัวเป็นผู้ผูกขาดความถูกต้องและตัดสินประเทศอื่นตามความคิดความเชื่อของตนเองเป็นหลักนั่นเอง
โดย พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐกำลังเดินหน้าดำเนินการตามนโยบายชุดต่างๆ ตามที่ประกาศหาเสียงเอาไว้ นโยบายชุดแรกเกี่ยวกับผู้อพยพเข้าเมือง ตั้งแต่การลงนามในคำสั่งสร้างกำแพงกั้นชายแดนประเทศสหรัฐอเมริกากับประเทศเม็กซิโก การควบคุมผู้อพยพลี้ภัยจากตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ การปรามเมืองต่างๆของสหรัฐที่ช่วยเหลือผู้อพยพ และนโยบายชุดที่สอง อันได้แก่ การส่งเสริมกลุ่มทุนและธุรกิจพลังงาน โดยลดระเบียบที่เป็นภาระต่อผู้ผลิตภายในประเทศ และการเห็นชอบในการก่อสร้างท่อลำเลียงน้ำมัน 2 แห่ง
เมื่อเริ่มแรกที่ได้ยินนโยบายสร้างกำแพงเพื่อกั้นผู้อพยพของนายทรัมป์ ก็อดขำไม่ได้กับความคิดแบบนั้นของเขา ชวนให้คิดไปว่านายทรัมป์อาจได้ความคิดนี้จากประเทศจีนในสมัยโบราณ ที่มีการสร้างกำแพงเมืองจีนเพื่อป้องกันชนเผ่าต่างๆที่เข้าไปรุกรานประเทศจีน นายทรัมป์คงมองว่าชาวเม็กซิโกเป็นชนเผ่าที่กำลังเข้าไปรุกรานประเทศสหรัฐอมริกากระมัง จึงคิดที่จะสร้างกำแพงอันยาวเหยียดเพื่อกั้นเขตแดนของสองประเทศ เห็นข่าวว่ายาวตั้ง 1,600 กิโลเมตร
วันหนึ่งในอนาคตกำแพงเมืองสหรัฐอเมริกาอาจกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอีกสิ่งหนึ่ง เช่นเดียวกับกำแพงเมืองจีนก็ได้ และชื่อของนายทรัมป์คงจะได้รับการจารึกลงไปในประวัติศาสตร์โลกในฐานะที่เป็นผู้สร้างสิ่งมหัศจรรย์เยี่ยงนี้ขึ้นมา
นายทรัมป์ยังประกาศว่าจะลงมือสร้างกำแพงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ประมาณการว่าค่าก่อสร้างกำแพงประมาณ 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และสิ่งที่ชวนหัวเป็นอย่างยิ่งคือ สหรัฐอเมริกาจะออกเงินก่อสร้างไปก่อน โดยนายทรัมป์กล่าวอย่างแข็งกร้าวว่า ประเทศเม็กซิโกจะต้องจ่ายเงินค่ากำแพงคืนในภายหลัง แต่ทางฝ่ายประเทศเม็กซิโกก็บอกอย่างชัดเจนแล้วว่าไม่มีวันที่พวกเขาจะจ่ายเงินค่ากำแพง
ด้วยนิสัยแบบนายทรัมป์ ผมคิดว่าเขาคงจะออกมาตรการบางอย่างมาบีบบังคับให้ประเทศเม็กซิโกจ่ายเงินค่ากำแพงในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง และหากประเทศเม็กซิโกปฏิเสธก็คงนำไปสู่ความตึงเครียดและความขัดแย้งระหว่างประเทศได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายทรัมป์พร้อมอยู่ทุกเวลาในการที่จะฉีกข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ระหว่างเม็กซิโก แคนาดา และสหรัฐฯ ซึ่งประเทศเม็กซิโกได้ประโยชน์จากข้อตกลงนี้มาก เพราะมีนักลงทุนจากหลายประเทศใช้ประเทศเม็กซิโกเป็นแหล่งลงทุนผลิตสินค้าและส่งไปขายในประเทศสหรัฐอเมริกา หากนายทรัมป์ฉีกข้อตกลงนี้ย่อมทำให้ประเทศเม็กซิโกสูญเสียประโยชน์อย่างมหาศาลทั้งในแง่ผลประโยชน์จากการลงทุนของต่างชาติและการจ้างงาน
ภายใต้การบริหารของนายทรัมป์ กระแสความรู้สึกของการกีดกันเชื้อชาติของประเทศสหรัฐอเมริกาคงจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับสูง ซึ่งส่งผลให้การกระทำที่รุนแรงต่อผู้อพยพต่างชาติโดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลและชาวอเมริกันผิวขาวคงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย และความขัดแย้งทางสังคมในประเทศสหรัฐอเมริกาคงจะขยายตัวอย่างกว้างขวางภายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ด้านนโยบายส่งเสริมนายทุนและธุรกิจที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แม้ว่าในระยะสั้นอาจทำให้ตลาดหุ้นดูคึกคัก และดัชนีหุ้นของประเทศสหรัฐพุ่งขึ้นสูงสุดในประวัติศาสตร์ แต่สิ่งที่จะตามมาในอนาคตคือจะยิ่งไปเพิ่มความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม และการขยายวงของความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับนักเสรีนิยม นักสิทธิสตรีและนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ดังที่กระแสการไม่ยอมรับว่านายทรัมป์เป็นประธานาธิบดี และการชุมนุมคัดค้านนายทรัมป์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศสหรัฐตั้งแต่วันที่เขาชนะการเลือกตั้ง จนกระทั่งวันที่รับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ มีประชาชนชาวสหรัฐเมริกาจำนวนหลายแสนคนในหลายเมืองชุมนุมต่อต้านนายทรัมป์ การชุมนุมประท้วงมีทั้งที่เป็นไปอย่างสันติ และชุมนุมด้วยความรุนแรง ซึ่งมีการทุบทำลายกระจกหน้าต่างอาคารร้านค้า จุดไฟเผารถยนต์ และปะทะกับตำรวจ และผู้ชุมนุมถูกจับตัวไปสองร้อยกว่าคน
การชุมนุมต่อต้านผลการเลือกตั้งย่อมบ่งบอกว่าคนในสหรัฐอเมริกา หาได้ยึดหลักประชาธิปไตยแบบเสียงข้างมากเสียทั้งหมด ส่วนการชุมนุมด้วยความรุนแรงก็ย่อมบ่งบอกว่า มีคนอเมริกันไม่น้อยที่ไม่ยึดหลักประชาธิปไตยแบบสันติวิธี อันที่จริงในทุกสังคมก็มีคนประเภทนี้อยู่ไม่น้อย ไม่เว้นแม้แต่สหรัฐอเมริกาที่ชอบยกตัวเองว่ามีระดับการพัฒนาประชาธิปไตยสูงกว่าประเทศอื่นๆ
ความคิดในเชิงใช้ความรุนแรงในการต่อต้านรัฐบาลของชาวอเมริกันได้ก่อตัวเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก แม้กระทั่งนักร้องดังอย่าง มาดอนน่า ก็ได้กล่าวว่า เธอรู้สึกโมโห เจ็บแค้น และคิดจะใช้ความรุนแรงหลายครั้งในเรื่องการวางระเบิดทำเนียบขาว ถึงแม้ว่ามาดอนน่าไม่ได้กระทำดังที่เธอกล่าวเอาไว้ แต่ก็ชี้ให้เห็นว่ากระแสความคิดแบบนี้ดำรงอยู่ในความคิดของประชาชนจำนวนมาก
หากตัวตนของนักการเมืองคือภาพสะท้อนตัวตนของประชาชน การได้นายทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงความคิดและอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญของประชาชนชาวสหรัฐอมริกา เรียกได้ว่าคนอเมริกาสวิงกลับไปสู่อีกขั้วหนึ่งอย่างหน้ามือเป็นหลังเท้า
จากเดิมที่ได้นายโอบามา เป็นประธานาธิบดี ซึ่งทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ว่าคนอเมริกันเชิดชูความเสมอภาค เสรีภาพ และสิทธิมนุษยชน แต่เมื่อได้นายทรัมป์มาเป็นประธานาธิบดีภาพลักษณ์ของคนอเมริกาก็กลายเป็นอีกแบบหนึ่ง กลายเป็นว่าคนสหรัฐในเวลานี้ เชิดชู ลัทธิเหยียดเชื้อชาตินิยม บูชาลัทธิชาตินิยมแบบสุดขั้ว และอำนาจนิยมแบบสุดโต่ง ซึ่งคุณลักษณะแบบนี้ทำให้คนอเมริกาดูไม่แตกต่างจากประเทศอื่นๆจำนวนมากที่รัฐบาลสหรัฐเคยตำหนิมาก่อน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นบทเรียนว่า แต่ละประเทศย่อมมีปัญหาของตนเอง ดังนั้นการที่ประเทศใดประเทศหนึ่งที่คิดทำตัวเป็นลูกพี่ใหญ่ หรือเป็นผู้นำด้านคุณธรรมของโลก และเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงประเทศอื่นๆ ก็ควรจะนำมาเป็นศึกษาและทบทวนตัวเองให้ดี มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นตัวตลกในเวทีโลกอย่างที่ประเทศสหรัฐอมริกากำลังเป็นอยู่ในเวลานี้ เพราะในอดีตชอบทำตัวเป็นผู้ผูกขาดความถูกต้องและตัดสินประเทศอื่นตามความคิดความเชื่อของตนเองเป็นหลักนั่นเอง