ปัญญาพลวัตร
โดย พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
เห็นการประชาสัมพันธ์เรื่อง “ประเทศไทย 4.0 และคนไทย 4.0” โดยเชื่อมโยงการพัฒนาประเทศกับระบบเศรษฐกิจและเทคโนโลยีดิจิตอลแล้ว ผมคิดว่าสิ่งที่สังคมไทยต้องการพัฒนาควบคู่ไปด้วยคือการพัฒนาเพื่อยกระดับเหตุผลทางจริยธรรมเชิงปฏิบัติของสังคมไทยให้สูงขึ้น เพราะการเป็นมนุษย์เศรษฐกิจหรือ “มนุษย์ดิจิตอล” อย่างเดียวคงไม่เพียงพอที่จะทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้าอย่างมีสันติสุข จำเป็นต้องพัฒนาสังคมไทยและคนไทยให้มีจริยธรรมควบคู่กันไปด้วย ซึ่งตัวแบบจริยธรรมที่จะเสนอถัดไปนี้ผมขอเรียกว่า “ตัวแบบมนุษย์จริยธรรม 5.0”
ตัวแบบมนุษย์จริยธรรม 5.0 เป็นตัวแบบที่ผมเขียนขึ้นมาโดยนำแนวคิดพัฒนาการเหตุผลทางจริยธรรมของนักวิชาการชื่อ ลอเรนซ์ โคลเบอร์ก (Lawrence Kohlberg) ผสมผสานกับแนวคิดของนักปรัชญา จริยศาสตร์สำนักอรรถประโยชน์นิยมอย่าง จอห์น สจวร์ต มิลล์ (John Stuart Mill) และแนวคิดนักปรัชญาสำนักกรณียธรรมหรือเจตจำนงแห่งหน้าที่อย่าง อิมมานูเอล คานท์ ( Immanuel Kant) แต่ในที่นี้จะเขียนแบบง่ายๆไม่ซับซ้อนมากนัก เอาเป็นแบบพอเข้าใจครับ
เริ่มต้นจากเหตุผลทางจริยธรรมของการกระทำในระดับต่ำสุด ซึ่งมนุษย์จะแสดงพฤติกรรมหรือกระทำโดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ตัวเองและเอาตัวเองเป็นใหญ่ ผมเรียกคนแบบนี้ว่า “มนุษย์จริยธรรม 1.0” มนุษย์พวกนี้จะแสดงพฤติกรรมด้วยเหตุผลที่พวกเขาคาดหวังว่าจะได้รับตอบแทนจากสิ่งที่เขากระทำ การกระทำที่ถูกต้องสำหรับคนพวกนี้คือ การกระทำที่ส่งผลให้พวกเขารับรางวัลหรือตอบสนองสนองความพอใจของตนเองได้ ส่วนการกระทำที่ผิดคือ การกระทำที่ส่งผลให้ต้องถูกลงโทษ พวกเขาจะไม่รับรู้ว่าสังคมมีกฎเกณฑ์เชิงคุณธรรมดำรงอยู่ พวกเขากระทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้ได้รับรางวัล หรือตอบสนองความต้องการของตนเอง และหลีกเลี่ยงการลงโทษเป็นหลัก
การพัฒนาการเหตุผลเชิงจริยธรรมของคนบางคนอาจมีปัญหาได้ หากในวัยเด็ก เขาได้รับรางวัลแต่เพียงอย่างเดียวไม่ว่าจะแสดงพฤติกรรมแบบใดก็ตาม และไม่เคยถูกลงโทษจากการกระทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเลย คนแบบนี้ก็จะเรียนรู้ว่าการกระทำของตนเองถูกต้องทุกอย่าง และนับวันก็ยิ่งเพิ่มความเข้มข้นของการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลมากขึ้น
หากใครมีประสบการณ์แบบนี้จากวัยเด็กต่อเนื่องจนเป็นผู้ใหญ่ จะทำให้เขาไม่สามารถแยกแยะได้ว่า การกระทำใดเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และการกระทำใดเป็นสิ่งที่ผิดจริยธรรม พวกเขามีแนวโน้มกระทำตามความพึงพอใจของตนเองเป็นหลัก โดยไม่สนใจว่าพฤติกรรมของตนเองจะสร้างผลกระทบหรือสร้างความเสียหายแก่บุคคลหรือสังคมอย่างไร
ปัญหาสังคมจำนวนมากเกิดจากคน ซึ่งชีวิตในวัยเด็กถูกเลี้ยงดูโดยการปล่อยปละละเลย หรือถูกเลี้ยงดูแบบตามใจ โดยไม่ได้รับการกล่อมเกลาหรือสั่งสอนอย่างเหมาะสมจากครอบครัวหรือผู้เลี้ยงดู และหากบังเอิญว่า คนผู้นั้นไปทำงานที่เกี่ยวข้องกับงานสาธารณะ ศักยภาพในการสร้างปัญหาต่อสังคมก็ยิ่งมากตามไปด้วย
สำหรับคนส่วนใหญ่ของสังคมที่ได้รับการกล่อมเกลาทางจริยธรรมในช่วงวัยเด็ก ก็จะมีการพัฒนาเหตุผลทางจริยธรรมสูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง นั่นคือการกระทำเพื่อตอบสนองความคาดหวังของผู้อื่นตั้งแต่คนในครอบครัว ผู้เลี้ยงดู กลุ่มเพื่อนและครูที่โรงเรียน ซึ่งผมเรียกว่า “มนุษย์จริยธรรม 2.0”
มนุษย์จริยธรรม 2.0 จะสังเกตว่าคนรอบข้างคาดหวังให้เขาแสดงพฤติกรรมอะไรบ้าง จากนั้นเขาก็แสดงพฤติกรรมตามมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับของครอบครัว กลุ่ม และสังคม คนเหล่านี้พยายามทำตัวเป็นคนดี โดยยึดมาตรฐานการปฏิบัติที่พวกเขาเรียนรู้จากครอบครัว โรงเรียน วัดหรือโบสถ์ บุคคลที่พัฒนาเหตุผลทางจริยธรรมในระดับนี้จะยึดว่า การกระทำที่ถูกต้องทางจริยธรรมคือ การกระทำที่ตอบสนองความคาดหวังของผู้อื่น โดยเฉพาะคนใกล้ชิด หรือคนที่มีอิทธิพลสูงต่อชีวิตเขา
ศูนย์กลางจักรวาลของมนุษย์จริยธรรม2.0 คือ ครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อน หากสังคมใดที่คนส่วนใหญ่ในสังคมพัฒนาเหตุผลทางจริยธรรมเพียงในระดับนี้ และหยุดชะงักไม่พัฒนาต่อในระดับที่สูงขึ้น สังคมนั้นจะเปี่ยมไปด้วยระบบอุปถัมภ์ การเล่นพรรคเล่นพวกจะแพร่หลาย ความเกรงใจจะกลายเป็นมาตรฐานทางจริยธรรมหลักที่คนส่วนใหญ่ยึดถือ ผู้คนจะระมัดระวังการกระทำ โดยพยายามไม่สร้างความขุ่นข้องหมองใจ หรือทำให้คนใกล้ชิดไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือเพื่อนฝูงผิดหวัง การกระทำใดที่ทำให้ผู้ใกล้ชิดผิดหวังมักถูกมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง
แต่หากสังคมใดที่คนส่วนใหญ่พัฒนาเหตุผลทางจริยธรรมขึ้นไปอีกระดับหนึ่งโดยเรียนรู้เชื่อมโยงเหตุผลทางจริยธรรมไปสู่สาธารณะ พวกเขาก็จะพบและตระหนักว่า ในสังคมมีอำนาจและระเบียบสังคมบางอย่างที่อยู่นอกเหนือครอบครัว กลุ่มเพื่อน และโรงเรียน พวกเขาจะเรียนรู้และเข้าใจถึงความหมายของการเป็น “พลเมืองดี” (good citizen) และเข้าใจความสำคัญของการปฏิบัติตามแบบแผน/ธรรมเนียมของสังคม ความคิดเกี่ยวกับ “หน้าที่” (duty) และ การยึดมั่นในความดี/ความถูกต้อง (honor)” เป็นคุณธรรมสำคัญที่บุคคลพึงปฏิบัติ
ศูนย์กลางทางความคิดเชิงจริยธรรมของคนเหล่านี้ได้เคลื่อนตัวไปเชื่อมโยงกับกฎหมายและธรรมเนียม/บรรทัดฐานของสังคม การกระทำที่ที่และถูกต้องคือการกระทำในสิ่งที่กฎหมายและกฎเกณฑ์ของสังคมโดยรวม ส่วนการกระทำที่ผิดคือคือการกระทำที่ละเมิดกฎหมาย หรือละเมิดกฎเกณฑ์ หรือแบบแผนการปฏิบัติที่สังคมยึดถือร่วมกัน ขอเรียกคนกลุ่มนี้ว่า “มนุษย์จริยธรรม 3.0”
สังคมใดที่คนส่วนใหญ่พัฒนาเหตุผลทางจริยธรรมมาถึงระดับนี้จะเป็นสังคมที่ผู้คนจะปฏิบัติโดยยึดระเบียบกฎหมาย เคารพกฎเกณฑ์ของสังคม และมีวินัย การบังคับใช้กฎหมายก็จะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง ขณะที่พฤติกรรมการทุจริตคดโกง การหลอกลวง การขโมย การทำร้ายผู้อื่น เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายและจริยธรรมจะมีแนวโน้มลดลง
ในสังคมมีบุคคลบางคนส่วนสามารถพัฒนาเหตุผลทางจริยธรรมสูงขึ้นไปอีกระดับ โดยตระหนักถึงประโยชน์ของสังคมส่วนรวม และมองว่ามนุษย์มีสิทธิและเสรีภาพเสมอเหมือนกัน เหตุผลทางจริยธรรมที่พวกเขายึดถือคือการกระทำเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ในสังคม และพวกเขาเชื่อว่าบุคคลมีเสรีภาพในการกระทำสิ่งใด ตราบเท่าที่การกระทำนั้นไม่ไปละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น รวมทั้งตระหนักว่ากฎหมายย่อมเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ ตามการเปลี่ยนแปลงของสังคม คนกลุ่มนี้เป็น “มนุษย์จริยธรรม 4.0”
ยิ่งกว่านั้น มีความเป็นไปได้ว่าบางสังคม บุคคลบางกลุ่มสามารถพัฒนาเหตุผลทางจริยธรรมขึ้นไปสู่ขั้นสูงสุด พวกเขาจะกระทำสิ่งใดโดยยึดหน้าที่ตาม “กฎทางจริยธรรม” ที่ตนเองตั้งขึ้นมาภายใต้ความเป็นอิสระอย่างแท้จริง โดยกฎจริยธรรมนี้จะไม่ขึ้นกับระเบียบกฎเกณฑ์ทางสังคม ความปรารถนาและผลประโยชน์ของตนเอง กฎทางจริยธรรมได้รับการตั้งขึ้นมาโดย “การใช้เหตุผลเชิงปฏิบัติอย่างบริสุทธิ์” ซึ่งเป็นเหตุผลที่ตั้งใจให้กฎจริยธรรมที่เขาตั้งเป็น “กฎสากล” ที่ทุกคนปฏิบัติร่วมกันและเป็นกฎที่ “ยึดมนุษย์เป็นเป้าหมายในตัวเอง” โดยตระหนักว่ามนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรีและมีคุณค่าของความเป็นมนุษย์เท่ากันทุกคนในฐานะที่เป็นมนุษยชาติซึ่งมีศักยภาพในการใช้เหตุผลเหมือนกัน คนกลุ่มนี้คือ “มนุษย์จริยธรรม 5.0”
มนุษย์จริยธรรม5.0 จะไม่ยอมรับการกระทำใดที่ใช้มนุษย์เป็นเครื่องมือ ไม่ว่าจะโดยรัฐหรือปัจเจกบุคคล หรือ แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่สามารถใช้ตัวเองเป็นเครื่องมือได้ พวกเขาไม่ยอมรับการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าการกระทำแบบนั้นจะเป็นไปเพื่อความสุขของคนส่วนใหญ่ หรือเพื่อความมั่นคงของชาติ หรือในนามของสิ่งอื่นใดก็ตาม
สังคมใดที่มีคนส่วนใหญ่พัฒนาเหตุผลเชิงจริยธรรมถึงระดับนี้ จะเป็นสังคมที่อยู่บนฐานของการเคารพสิทธิมนุษยชน ผู้คนจะมีการปฏิบัติต่อกันอย่างเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น สังคมจะดำรงอยู่อย่างสงบสันติ และมนุษย์สามารถพัฒนาศักยภาพได้อย่างเต็มที่ โดยมีมนุษยชาติเป็นศูนย์กลางนั่นเอง
สำหรับสังคมไทยนั้นผมคิดว่า คนส่วนใหญ่ยังมีการพัฒนาเหตุผลทางจริยธรรมอยู่ในระดับเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางหรือระดับมนุษย์จริยธรรม 1.0 ผสมกับการเอาครอบครัวเพื่อนพ้องเป็นศูนย์กลางหรือมนุษย์จริยธรรม 2.0 มีบุคคลเพียงบางส่วนเท่านั้นที่เริ่มใช้กฎหมายและระเบียบของสังคมเป็นศูนย์กลางหรือระดับมนุษย์จริยธรรม 3.0 ส่วนบุคคลที่กระทำโดยยึดผลประโยชน์ของส่วนรวม หรือมนุษย์จริยธรรม 4.0 ก็มีไม่มากนัก และบุคคลที่ยึดมนุษยชาติเป็นศูนย์กลาง หรือมนุษย์จริยธรรม 5.0นั้นมีน้อยเป็นอย่างยิ่ง
ผมเห็นว่า รัฐบาลไม่ควรประโคมโหมการพัฒนาประเทศไทยและคนไทยให้เป็นมนุษย์เศรษฐกิจ 4.0 แต่เพียงอย่างเดียว เพราะจะทำให้สังคมไปไม่รอดและยิ่งนำความเสื่อมทรามทางจริยธรรมมากขึ้น และจะยิ่งทำให้คนไทยติดอยู่ในกับดักแต่เพียงมนุษย์จริยธรรม1.0 และ 2.0 เท่านั้น รัฐบาลควรมีแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาจริยธรรมของสังคมไทยขึ้นมาอย่างเป็นระบบ โดยมีเป้าหมายยกระดับมนุษย์จริยธรรมให้สูงขึ้น อย่างน้อยก็น่าจะเป็นระดับ 3.0 และหากทำได้จนไปถึงระดับ 4.0 และ 5.0 ก็ยิ่งดี
เริ่มที่คณะรัฐมนตรีและสนช.ก่อนก็ได้ โดยให้พัฒนาตนเองเพื่อข้ามพ้นจากจริยธรรมแบบเอาตัวเองและพวกพ้องเป็นศูนย์กลาง ไปสู่จริยธรรมแบบการยึดกฎหมาย ระเบียบสังคม และผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นศูนย์กลางของการกระทำให้ได้ครบทุกคนภายใน 2-3 ปีนี้ สำหรับจริยธรรมขั้นสูงสุดซึ่งยึดมนุษยชาติเป็นศูนย์กลางนั้น ก็ค่อยๆพัฒนาต่อไปในระยะยาว
โดย พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
เห็นการประชาสัมพันธ์เรื่อง “ประเทศไทย 4.0 และคนไทย 4.0” โดยเชื่อมโยงการพัฒนาประเทศกับระบบเศรษฐกิจและเทคโนโลยีดิจิตอลแล้ว ผมคิดว่าสิ่งที่สังคมไทยต้องการพัฒนาควบคู่ไปด้วยคือการพัฒนาเพื่อยกระดับเหตุผลทางจริยธรรมเชิงปฏิบัติของสังคมไทยให้สูงขึ้น เพราะการเป็นมนุษย์เศรษฐกิจหรือ “มนุษย์ดิจิตอล” อย่างเดียวคงไม่เพียงพอที่จะทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้าอย่างมีสันติสุข จำเป็นต้องพัฒนาสังคมไทยและคนไทยให้มีจริยธรรมควบคู่กันไปด้วย ซึ่งตัวแบบจริยธรรมที่จะเสนอถัดไปนี้ผมขอเรียกว่า “ตัวแบบมนุษย์จริยธรรม 5.0”
ตัวแบบมนุษย์จริยธรรม 5.0 เป็นตัวแบบที่ผมเขียนขึ้นมาโดยนำแนวคิดพัฒนาการเหตุผลทางจริยธรรมของนักวิชาการชื่อ ลอเรนซ์ โคลเบอร์ก (Lawrence Kohlberg) ผสมผสานกับแนวคิดของนักปรัชญา จริยศาสตร์สำนักอรรถประโยชน์นิยมอย่าง จอห์น สจวร์ต มิลล์ (John Stuart Mill) และแนวคิดนักปรัชญาสำนักกรณียธรรมหรือเจตจำนงแห่งหน้าที่อย่าง อิมมานูเอล คานท์ ( Immanuel Kant) แต่ในที่นี้จะเขียนแบบง่ายๆไม่ซับซ้อนมากนัก เอาเป็นแบบพอเข้าใจครับ
เริ่มต้นจากเหตุผลทางจริยธรรมของการกระทำในระดับต่ำสุด ซึ่งมนุษย์จะแสดงพฤติกรรมหรือกระทำโดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ตัวเองและเอาตัวเองเป็นใหญ่ ผมเรียกคนแบบนี้ว่า “มนุษย์จริยธรรม 1.0” มนุษย์พวกนี้จะแสดงพฤติกรรมด้วยเหตุผลที่พวกเขาคาดหวังว่าจะได้รับตอบแทนจากสิ่งที่เขากระทำ การกระทำที่ถูกต้องสำหรับคนพวกนี้คือ การกระทำที่ส่งผลให้พวกเขารับรางวัลหรือตอบสนองสนองความพอใจของตนเองได้ ส่วนการกระทำที่ผิดคือ การกระทำที่ส่งผลให้ต้องถูกลงโทษ พวกเขาจะไม่รับรู้ว่าสังคมมีกฎเกณฑ์เชิงคุณธรรมดำรงอยู่ พวกเขากระทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้ได้รับรางวัล หรือตอบสนองความต้องการของตนเอง และหลีกเลี่ยงการลงโทษเป็นหลัก
การพัฒนาการเหตุผลเชิงจริยธรรมของคนบางคนอาจมีปัญหาได้ หากในวัยเด็ก เขาได้รับรางวัลแต่เพียงอย่างเดียวไม่ว่าจะแสดงพฤติกรรมแบบใดก็ตาม และไม่เคยถูกลงโทษจากการกระทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเลย คนแบบนี้ก็จะเรียนรู้ว่าการกระทำของตนเองถูกต้องทุกอย่าง และนับวันก็ยิ่งเพิ่มความเข้มข้นของการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลมากขึ้น
หากใครมีประสบการณ์แบบนี้จากวัยเด็กต่อเนื่องจนเป็นผู้ใหญ่ จะทำให้เขาไม่สามารถแยกแยะได้ว่า การกระทำใดเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และการกระทำใดเป็นสิ่งที่ผิดจริยธรรม พวกเขามีแนวโน้มกระทำตามความพึงพอใจของตนเองเป็นหลัก โดยไม่สนใจว่าพฤติกรรมของตนเองจะสร้างผลกระทบหรือสร้างความเสียหายแก่บุคคลหรือสังคมอย่างไร
ปัญหาสังคมจำนวนมากเกิดจากคน ซึ่งชีวิตในวัยเด็กถูกเลี้ยงดูโดยการปล่อยปละละเลย หรือถูกเลี้ยงดูแบบตามใจ โดยไม่ได้รับการกล่อมเกลาหรือสั่งสอนอย่างเหมาะสมจากครอบครัวหรือผู้เลี้ยงดู และหากบังเอิญว่า คนผู้นั้นไปทำงานที่เกี่ยวข้องกับงานสาธารณะ ศักยภาพในการสร้างปัญหาต่อสังคมก็ยิ่งมากตามไปด้วย
สำหรับคนส่วนใหญ่ของสังคมที่ได้รับการกล่อมเกลาทางจริยธรรมในช่วงวัยเด็ก ก็จะมีการพัฒนาเหตุผลทางจริยธรรมสูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง นั่นคือการกระทำเพื่อตอบสนองความคาดหวังของผู้อื่นตั้งแต่คนในครอบครัว ผู้เลี้ยงดู กลุ่มเพื่อนและครูที่โรงเรียน ซึ่งผมเรียกว่า “มนุษย์จริยธรรม 2.0”
มนุษย์จริยธรรม 2.0 จะสังเกตว่าคนรอบข้างคาดหวังให้เขาแสดงพฤติกรรมอะไรบ้าง จากนั้นเขาก็แสดงพฤติกรรมตามมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับของครอบครัว กลุ่ม และสังคม คนเหล่านี้พยายามทำตัวเป็นคนดี โดยยึดมาตรฐานการปฏิบัติที่พวกเขาเรียนรู้จากครอบครัว โรงเรียน วัดหรือโบสถ์ บุคคลที่พัฒนาเหตุผลทางจริยธรรมในระดับนี้จะยึดว่า การกระทำที่ถูกต้องทางจริยธรรมคือ การกระทำที่ตอบสนองความคาดหวังของผู้อื่น โดยเฉพาะคนใกล้ชิด หรือคนที่มีอิทธิพลสูงต่อชีวิตเขา
ศูนย์กลางจักรวาลของมนุษย์จริยธรรม2.0 คือ ครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อน หากสังคมใดที่คนส่วนใหญ่ในสังคมพัฒนาเหตุผลทางจริยธรรมเพียงในระดับนี้ และหยุดชะงักไม่พัฒนาต่อในระดับที่สูงขึ้น สังคมนั้นจะเปี่ยมไปด้วยระบบอุปถัมภ์ การเล่นพรรคเล่นพวกจะแพร่หลาย ความเกรงใจจะกลายเป็นมาตรฐานทางจริยธรรมหลักที่คนส่วนใหญ่ยึดถือ ผู้คนจะระมัดระวังการกระทำ โดยพยายามไม่สร้างความขุ่นข้องหมองใจ หรือทำให้คนใกล้ชิดไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือเพื่อนฝูงผิดหวัง การกระทำใดที่ทำให้ผู้ใกล้ชิดผิดหวังมักถูกมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง
แต่หากสังคมใดที่คนส่วนใหญ่พัฒนาเหตุผลทางจริยธรรมขึ้นไปอีกระดับหนึ่งโดยเรียนรู้เชื่อมโยงเหตุผลทางจริยธรรมไปสู่สาธารณะ พวกเขาก็จะพบและตระหนักว่า ในสังคมมีอำนาจและระเบียบสังคมบางอย่างที่อยู่นอกเหนือครอบครัว กลุ่มเพื่อน และโรงเรียน พวกเขาจะเรียนรู้และเข้าใจถึงความหมายของการเป็น “พลเมืองดี” (good citizen) และเข้าใจความสำคัญของการปฏิบัติตามแบบแผน/ธรรมเนียมของสังคม ความคิดเกี่ยวกับ “หน้าที่” (duty) และ การยึดมั่นในความดี/ความถูกต้อง (honor)” เป็นคุณธรรมสำคัญที่บุคคลพึงปฏิบัติ
ศูนย์กลางทางความคิดเชิงจริยธรรมของคนเหล่านี้ได้เคลื่อนตัวไปเชื่อมโยงกับกฎหมายและธรรมเนียม/บรรทัดฐานของสังคม การกระทำที่ที่และถูกต้องคือการกระทำในสิ่งที่กฎหมายและกฎเกณฑ์ของสังคมโดยรวม ส่วนการกระทำที่ผิดคือคือการกระทำที่ละเมิดกฎหมาย หรือละเมิดกฎเกณฑ์ หรือแบบแผนการปฏิบัติที่สังคมยึดถือร่วมกัน ขอเรียกคนกลุ่มนี้ว่า “มนุษย์จริยธรรม 3.0”
สังคมใดที่คนส่วนใหญ่พัฒนาเหตุผลทางจริยธรรมมาถึงระดับนี้จะเป็นสังคมที่ผู้คนจะปฏิบัติโดยยึดระเบียบกฎหมาย เคารพกฎเกณฑ์ของสังคม และมีวินัย การบังคับใช้กฎหมายก็จะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง ขณะที่พฤติกรรมการทุจริตคดโกง การหลอกลวง การขโมย การทำร้ายผู้อื่น เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายและจริยธรรมจะมีแนวโน้มลดลง
ในสังคมมีบุคคลบางคนส่วนสามารถพัฒนาเหตุผลทางจริยธรรมสูงขึ้นไปอีกระดับ โดยตระหนักถึงประโยชน์ของสังคมส่วนรวม และมองว่ามนุษย์มีสิทธิและเสรีภาพเสมอเหมือนกัน เหตุผลทางจริยธรรมที่พวกเขายึดถือคือการกระทำเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ในสังคม และพวกเขาเชื่อว่าบุคคลมีเสรีภาพในการกระทำสิ่งใด ตราบเท่าที่การกระทำนั้นไม่ไปละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น รวมทั้งตระหนักว่ากฎหมายย่อมเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ ตามการเปลี่ยนแปลงของสังคม คนกลุ่มนี้เป็น “มนุษย์จริยธรรม 4.0”
ยิ่งกว่านั้น มีความเป็นไปได้ว่าบางสังคม บุคคลบางกลุ่มสามารถพัฒนาเหตุผลทางจริยธรรมขึ้นไปสู่ขั้นสูงสุด พวกเขาจะกระทำสิ่งใดโดยยึดหน้าที่ตาม “กฎทางจริยธรรม” ที่ตนเองตั้งขึ้นมาภายใต้ความเป็นอิสระอย่างแท้จริง โดยกฎจริยธรรมนี้จะไม่ขึ้นกับระเบียบกฎเกณฑ์ทางสังคม ความปรารถนาและผลประโยชน์ของตนเอง กฎทางจริยธรรมได้รับการตั้งขึ้นมาโดย “การใช้เหตุผลเชิงปฏิบัติอย่างบริสุทธิ์” ซึ่งเป็นเหตุผลที่ตั้งใจให้กฎจริยธรรมที่เขาตั้งเป็น “กฎสากล” ที่ทุกคนปฏิบัติร่วมกันและเป็นกฎที่ “ยึดมนุษย์เป็นเป้าหมายในตัวเอง” โดยตระหนักว่ามนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรีและมีคุณค่าของความเป็นมนุษย์เท่ากันทุกคนในฐานะที่เป็นมนุษยชาติซึ่งมีศักยภาพในการใช้เหตุผลเหมือนกัน คนกลุ่มนี้คือ “มนุษย์จริยธรรม 5.0”
มนุษย์จริยธรรม5.0 จะไม่ยอมรับการกระทำใดที่ใช้มนุษย์เป็นเครื่องมือ ไม่ว่าจะโดยรัฐหรือปัจเจกบุคคล หรือ แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่สามารถใช้ตัวเองเป็นเครื่องมือได้ พวกเขาไม่ยอมรับการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าการกระทำแบบนั้นจะเป็นไปเพื่อความสุขของคนส่วนใหญ่ หรือเพื่อความมั่นคงของชาติ หรือในนามของสิ่งอื่นใดก็ตาม
สังคมใดที่มีคนส่วนใหญ่พัฒนาเหตุผลเชิงจริยธรรมถึงระดับนี้ จะเป็นสังคมที่อยู่บนฐานของการเคารพสิทธิมนุษยชน ผู้คนจะมีการปฏิบัติต่อกันอย่างเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น สังคมจะดำรงอยู่อย่างสงบสันติ และมนุษย์สามารถพัฒนาศักยภาพได้อย่างเต็มที่ โดยมีมนุษยชาติเป็นศูนย์กลางนั่นเอง
สำหรับสังคมไทยนั้นผมคิดว่า คนส่วนใหญ่ยังมีการพัฒนาเหตุผลทางจริยธรรมอยู่ในระดับเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางหรือระดับมนุษย์จริยธรรม 1.0 ผสมกับการเอาครอบครัวเพื่อนพ้องเป็นศูนย์กลางหรือมนุษย์จริยธรรม 2.0 มีบุคคลเพียงบางส่วนเท่านั้นที่เริ่มใช้กฎหมายและระเบียบของสังคมเป็นศูนย์กลางหรือระดับมนุษย์จริยธรรม 3.0 ส่วนบุคคลที่กระทำโดยยึดผลประโยชน์ของส่วนรวม หรือมนุษย์จริยธรรม 4.0 ก็มีไม่มากนัก และบุคคลที่ยึดมนุษยชาติเป็นศูนย์กลาง หรือมนุษย์จริยธรรม 5.0นั้นมีน้อยเป็นอย่างยิ่ง
ผมเห็นว่า รัฐบาลไม่ควรประโคมโหมการพัฒนาประเทศไทยและคนไทยให้เป็นมนุษย์เศรษฐกิจ 4.0 แต่เพียงอย่างเดียว เพราะจะทำให้สังคมไปไม่รอดและยิ่งนำความเสื่อมทรามทางจริยธรรมมากขึ้น และจะยิ่งทำให้คนไทยติดอยู่ในกับดักแต่เพียงมนุษย์จริยธรรม1.0 และ 2.0 เท่านั้น รัฐบาลควรมีแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาจริยธรรมของสังคมไทยขึ้นมาอย่างเป็นระบบ โดยมีเป้าหมายยกระดับมนุษย์จริยธรรมให้สูงขึ้น อย่างน้อยก็น่าจะเป็นระดับ 3.0 และหากทำได้จนไปถึงระดับ 4.0 และ 5.0 ก็ยิ่งดี
เริ่มที่คณะรัฐมนตรีและสนช.ก่อนก็ได้ โดยให้พัฒนาตนเองเพื่อข้ามพ้นจากจริยธรรมแบบเอาตัวเองและพวกพ้องเป็นศูนย์กลาง ไปสู่จริยธรรมแบบการยึดกฎหมาย ระเบียบสังคม และผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นศูนย์กลางของการกระทำให้ได้ครบทุกคนภายใน 2-3 ปีนี้ สำหรับจริยธรรมขั้นสูงสุดซึ่งยึดมนุษยชาติเป็นศูนย์กลางนั้น ก็ค่อยๆพัฒนาต่อไปในระยะยาว