ผู้จัดการรายวัน360-"พระวิเทศภาวนาจารย์" รักษาการเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหา ที่สภ.คลองหลวงแล้ว 19 คดี ก่อนตำรวจปล่อยตัวกลับ ด้าน กสท. มีมติเป็นเอกฉันท์สั่งยกเลิกใบอนุญาตออกอากาศ ดีเอ็มซี ทีวี ของมูลนิธิศึกษาธรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม ชี้ชัดมีพฤติกรรมยุยง ปลุกปั่น ระดมสาวกมาต่อต้านเจ้าหน้าที่ และเป็นภัยต่อสังคม ขณะที่ "ศรีวราห์"บุกสอบนิติกรกรมโยธาธิการและผังเมือง เอาผิดวัดพระธรรมกายก่อสร้างผิดกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (26 ธ.ค.) พระวิเทศภาวนาจารย์ รักษาการเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ได้เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหา ตามหมายเรียกของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในข้อหาให้ที่พักพิงกับพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย ผู้ต้องหาตามหมายจับของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และข้อหาอื่น ที่ สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดยมีทนายความ พระสนิทวงศ์ วุฒิวังโส ผู้อำนวยการสื่อสารองค์กรวัดพระธรรมกาย พระมหานพพร ปุญฺญชโย ผู้ช่วยสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย และศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย เดินทางมาด้วย
นายพิสิฐชัย สว่างวัฒนากร พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ชำนาญการพิเศษ ดีเอสไอ กล่าวว่า ในชั้นพนักงานสอบสวนมีความเห็นว่า ไม่ให้ประกันตัว หากศาลมีดุลยพินิจไม่ให้ประกันตัว ก็จะต้องสึกตามขั้นตอนในการดำเนินคดี
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ พระวิเทศภาวนาจารย์ ได้พบพนักงานสอบสวน เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ตำรวจได้ปล่อยตัวกลับ โดยพระวิเทศภาวนาจารย์ได้เดินทางกลับโดยไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ และระหว่างเดินทางกลับบรรดาคณะศิษยานุศิษย์ ที่สวมผ้าปิดจมูกและหมวกปิดบังใบหน้าประสานมือทำแนวป้องกัน ได้เกิดการกระทบกระทั่งกับผู้สื่อข่าวที่มารอทำข่าวตั้งแต่เช้า ก่อนจะขึ้นรถกลับไปยังวัดพระธรรมกาย
ในเวลาต่อมาพระมหานพพร ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า พระวิเทศภาวนาจารย์ ได้มารับทราบข้อกล่าวหา ส่วนที่มาช้า เพราะต้องมีการเตรียมตัว ซึ่งกระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้นไปด้วยดี ทางวัดพระธรรมกาย ต้องขอขอบคุณตำรวจ สภ.คลองหลวง ที่อำนวยความสะดวกและช่วยเหลือจนกระบวนการเสร็จสิ้น และขอบคุณสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และพระพุทธศาสนาจังหวัดปทุมธานี ที่มาช่วยเหลือดูแลพระในการรับทราบข้อกล่าวหาครั้งนี้ รวมทั้งตัวแทนดีเอสไอทั้งหมด โดยได้รับทราบทั้งหมด 19 คดี ใน 19 คดี จะเป็นคดีในเรื่องของการรุกล้ำพื้นที่ราชการ ซึ่งได้ลงบันทึกประจำวัน และทำเอกสารในการรับทราบข้อกล่าวหาเรียบร้อย และได้รับการปล่อยตัว โดยจะมีการนัดสอบปากคำวันใดนั้น ขึ้นอยู่กับพนักงานสอบสวน จากนี้ไปก็เป็นขั้นตอนของกระบวนการตามกฎหมาย เป็นการใช้สิทธิ์ทางกฎหมายในทางต่อสู้ทางกฎหมาย ในเรื่องของคดีความ ไม่ขอให้รายละเอียด
วันเดียวกันนี้ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ กรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้แถลงผลการประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) ว่า ที่ประชุมได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ยกเลิกใบอนุญาตของสถานีโทรทัศน์วัดพระธรรมกาย หรือดีเอ็มซี ทีวี ของมูลนิธิศึกษาธรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยเห็นว่าสถานีมีพฤติกรรมออกอากาศในลักษณะเชิญชวนให้ประชาชนมารวมตัวกันที่วัดพระธรรมกาย แม้จะอ้างว่าเป็นพิธีกรรมทางศาสนา แต่อาจทำให้เกิดเหตุเผชิญหน้ากันจากการปกป้องการปฎิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย อันจะเป็นผลเสียหายแก่ประโยชน์สาธารณะ และยากต่อการเยียวยา
ก่อนหน้านี้ กสท. ได้มีมติพักใช้ใบอนุญาตเมื่อวันที่ 7 ธ.ค.2559 เป็นเวลา 30 วัน โดยจะครบการพักใช้ใบอนุญาตในวันที่ 7 ม.ค.2560
สำหรับสถานีโทรทัศน์วัดพระธรรมกาย หรือดีเอ็มซี ทีวี (ย่อมาจาก ธรรมกาย ทีวี แชนแนล) ก่อตั้งโดยพระธัมมชโย โดยส่งสัญญาณผ่านดาวเทียมไทยคม เมื่อวันที่ 9 พ.ค.2546 ปัจจุบันผู้ถือใบอนุญาต คือ มูลนิธิศึกษาธรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันออกอากาศ 5 ช่องทาง ได้แก่ ผ่านกล่องรับสัญญาณดาวเทียม ผ่านอินเตอร์เน็ต เคเบิลทีวี ผ่านสถานีวิทยุ 50 คลื่น ครอบคลุม 76 จังหวัด และผ่านโทรศัพท์มือถือ
ด้านพล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และพนักงานสอบสวน จาก สภ.คลองหลวง ได้เดินไปพบเพื่อหารือกับอธิบดีกรมโยธาและผังเมือง พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่นิติกรของกรมโยธาและผังเมือง กรณีกองบังคับปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปทส.) ได้แจ้งความร้องให้เอาผิดกับวัดพระธรรมกาย ฐานกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.สร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างโดยไม่รับอนุญาต โดยทางวัดได้ออกมาแถลงโต้ตอบว่ามีการก่อสร้างทำอย่างถูกต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย
เบื้องต้น จากการสอบสวนปากคำ จากนิติกรของกรมโยธิการและผังเมือง ในข้อกฎหมาย พบว่า ตาม พ.ร.บ.ปี 2534 ทางกรมโยธาฯ ไม่ได้อนุญาตให้ก่อสร้างอาคารและต่อเติมสิ่งปลูกสร้าง (รั้ววัด) และนอกจากจะต้องขออนุญาต จากกรมโยธาและผังเมืองแล้ว ยังต้องขออนุญาตต่อสำนักพุทธฯ อีกด้วย แต่หลังจากมีการแจ้งความร้องทุกข์ พนักงานสอบสวนได้เข้าตรวจยึดเพียงรั้วของวัด ที่ได้มีการก่อสร้างต่อเติมที่ผิดตาม พ.ร.บ.ก่อสร้างฯ ปี 2534 ในส่วนอาคารอื่นๆ และอุโบสถ ยังไม่มีการตรวจยึดแต่อย่างใด