xs
xsm
sm
md
lg

รองนายกฯ แจงเปลี่ยนปลัดดีอี เหตุทำงานช้า ไม่เกี่ยวการทุจริต เร่งลุยอินเทอร์เน็ตหมู่บ้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง
“ประจิน” แจงเปลี่ยนตัวปลัดดีอี ไม่เกี่ยวทุจริต แต่ต้องการเร่งงานให้เร็วขึ้น รับมีปัญหาการประชาสัมพันธ์จัดงานโชว์เทคโนโลยีดิจิตอลระดับโลก เผยลุยโครงการอินเทอร์เน็ตหมู่บ้าน หลังไม่เป็นไปตามเป้า ส่วนการต่อสัญญาดาวเทียมไทยคม ตั้งทีมกฎหมายดูแล้ว

พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรักษาราชการแทน รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้มาตรา 44 ให้นางทรงพร โกมลสุรเดช พ้นจากตำแหน่งปลัดกระทรวงดีอีว่า พล.อ.ประยุทธ์ระบุว่าเป็นการปรับย้ายเพื่อให้เกิดความเหมาะสม มีประสิทธิภาพในการทำงาน ยืนยันว่านางทรงพรไม่มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตหรือประพฤติไม่ชอบ และอาจเป็นกลยุทธ์ที่จะทำให้การทำงานมีความพร้อมมากขึ้น เพราะ 1 ปีที่ผ่านมานายกฯ คาดหวังให้กระทรวงดีอีเดินหน้าตามภารกิจในวาระที่วางไว้เพื่อให้เป็นความหวังของรัฐบาลและประชาชน แต่เมื่อยังไม่บรรลุผลจึงทดลองเปลี่ยนหัวหน้าทีม และอยากให้โอกาสนางวิไลลักษณ์ ชุลีวัฒนกุล ปลัดดีอีคนใหม่ได้ลองทำงาน

ส่วนฟางเชือกสุดท้ายที่ทำให้ย้ายนางทรงพร โกมลสุรเดช พ้นจากตำแหน่งปลัดกระทรวงดีอี เพราะไม่เข้าร่วมประชุมเตรียมความพร้อมการจัดงานโชว์เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมระดับโลกหรือไม่ พล.อ.อ.ประจินกล่าวว่า ไม่จริง เพราะถ้าใครอยู่ในที่ประชุมจะรู้ว่าตนไม่เคยตำหนินางทรงพรเลย แต่มีเรื่องที่ค่อนข้างจะห่วงใยคือเรื่องการประชาสัมพันธ์ซึ่งในช่วงนี้การประชาสัมพันธ์เรื่องต่างๆ อยู่ในช่วงอ่อนไหวก็ให้มีการปรับเรื่องการประชาสัมพันธ์ให้ซอฟต์ลงตามเหตุการณ์ แต่จะทำอย่างไรให้ได้เป้าหมายใกล้เคียงกับเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 1 แสนคน แต่มีตัวบุคคลที่กระทบบางเรื่อง คืออุตส่าห์กำหนดเป็นวาระแห่งชาติ การจัดระดับชาติและระดับโลก แต่การประชาสัมพันธ์ไม่ได้เพราะช่วงนี้ไม่เหมาะ กำหนดเป้าหมายไว้ 1 แสนคนก็ไม่ได้ เรารู้สึกว่าตึงๆ นิดหน่อย และเกรงว่าจะเสียเงินโดยไม่ได้รับอะไร จึงปรับกลยุทธ์ตรงนี้ แต่ไม่เคยมีการกระทบกระทั่งกับบุคคล

พล.อ.อ.ประจินยังกล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินการโครงการอินเทอร์เน็ตหมู่บ้านว่า ถือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาล เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มขีดความสามารถในการวางโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ ก่อนหน้านี้เราคาดว่าจะเริ่มต้นโครงการดังกล่าวได้ในช่วงกลางปี 59 แต่เมื่อยังเริ่มต้นไม่ได้ก็ต้องมาดูปัญหา เพื่อแก้ไขให้บรรลุวัตถุประสงค์ ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่ามีปัญหาความซ้ำซ้อนในเรื่องของพื้นที่ แต่จากการประชุมครั้งล่าสุดเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบยืนยันไม่มีที่ซ้ำซ้อน

“คณะกรรมการเตรียมความพร้อมดิจิทัลเศรษฐกิจเพื่อสังคม เห็นชอบให้โอนงบประมาณในโครงการอินเทอร์เน็ตหมู่บ้าน 1.5 หมื่นล้านบาท ให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ดำเนินการ และในส่วนที่เป็นเคเบิลใต้น้ำอนุมัติให้บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือแคท ดำเนินการ โดยทั้ง 2 ส่วนนายกฯ ได้ตั้งคณะทำงานโดยมีนางวิไลลักษณ์เป็นประธาน จากนั้นจะกำหนดแนวทางและติดตามความพร้อม โดยจะเริ่มประชุมในสัปดาห์หน้า”

พล.อ.อ.ประจินกล่าวว่า โครงการอินเตอร์เน็ตหมู่บ้าน มีทั้งหมด 7 หมื่นหมู่บ้านทั่วประเทศ ในส่วนที่ไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติม มีโซนเอและโซนบี ส่วนโซนซีและโซนซีบวก มีจำนวน 40,432 หมู่บ้าน โดย 24,700 หมู่บ้าน แยกให้บริษัท ทีโอที ดำเนินการ ที่เหลืออีก 15,732 หมู่บ้าน ให้ กสทช.ดำเนินการ โดยรัฐบาลยืนยันว่าจะกำกับดูแลเพื่อให้เกิดความโปร่งใส งบประมาณไม่รั่วไหล หรือเกิดการทุจริตขึ้น และภายในวันที่ 25 ธันวาคมจะต้องมีข้อตกลงระหว่างรัฐบาลกับบริษัทผู้ให้บริการ

ส่วนระบบเคเบิลใต้น้ำคาดว่าจะต้องใช้เวลาอีก 2-3 เดือน เพราะต้องเชื่อมต่อทั้งภายในและภายนอกประเทศ และมีเป้าหมายเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยให้ไทยเป็นศูนย์กลาง รวมทั้งศึกษาการเชื่อมต่อกับประเทศจีนและอินเดีย โดยเบื้องต้นจะเชื่อมต่อจากประเทศสิงคโปร์ก่อน

พล.อ.อ.ประจิน ในฐานะรักษาราชการแทน รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวถึงการต่อสัญญาสัมปานดาวเทียมไทยคมดวงที่ 6 ที่กำลังหมดสัญญาสัมปทานว่า กำลังดำเนินการพิจารณา ส่วนดวงที่ 7 และ 8 มีการดำเนินการในลักษณะขอใบอนุญาต ซึ่งมีคำถามว่าจะถูกต้องตามกฎหมายอยู่หรือไม่ โดย ครม.รับทราบผลการดำเนินการที่ผ่านมา โดยให้กระทรวงดำเนินการให้เป็นตามกฎหมาย

ทั้งนี้ ตนได้เชิญหัวหน้าส่วนราชการของดีอี มาหารือแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและถูกต้องตามกฎหมายแล้ว และมีการรายงานความก้าวหน้าให้ ครม.ทราบเป็นระยะโดยตนได้มอบหมายให้ น.ส.วิไลลักษณ์ตั้งคณะทำงานชุดใหม่ เพื่อตรวจสอบดูบริบทที่เกี่ยวข้องทั้งกฎหมายการให้บริการ ผลประโยชน์ คาดว่าสัปดาห์หน้าคณะทำงานชุดดังกล่าวจะมีข้อเสนอมาให้ตนได้สั่งการ และรายงานต่อนายกฯได้ภายในต้นเดือน ธ.ค. และตั้งใจจะให้แล้วเสร็จไม่เกินเดือน ก.พ. 60

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการทักท้วงว่าการจัดเก็บค่าธรรมเนียมสัมปทานที่ออกให้ตามใบอนุญาต 6% ทำให้รัฐขาดรายได้ จึงควรเก็บค่าธรรมเนียมในรูปแบบสัญญาสัมปทานตามเดิม ซึ่งจะทำให้ไทยคมเสียค่าธรรมเนียม 20.5% พล.อ.อ.ประจินกล่าวว่า จะต้องมีฝ่ายกฎหมายเข้ามาดูเรื่องนี้ เพราะมีความซับซ้อนมาก และเกรงว่าจะกระทบต่อประชาชน ก่อนหน้านี้เคยคิดว่าควรจะต้องมีการเจรจากัน เพื่อประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย แต่ ครม.ยืนยันว่าต้องเป็นหน้าของกระทรวงดีอี ที่จะต้องดำเนินการตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เราต้องเอากฎหมายเป็นตัวตั้ง และเอารายละเอียดการดำเนินการที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มสัมปทานเมื่อปี 35 มาตรวจสอบดูถึงข้อตกลง และต้องดูเรื่องของเจตนาว่ามีอะไรบ้าง เราจะพยายามทำให้เร็วที่สุด ส่วนจะเรียกเก็บย้อนหลังตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการจัดเก็บค่าธรรมเนียมแบบใบอนุญาตเลยหรือไม่ ต้องดูกฎหมายทั้งหมดก่อน


กำลังโหลดความคิดเห็น