ผู้จัดการรายวัน360-"บิ๊กตู่"สั่งเดินหน้ามาตรการปราบโกง เน้นทำงานเชิงรุก ทั้งป้องกันและปราบปราม ควบคู่การสร้างความเข้าใจกับประชาชน ก่อนสั่งการรวบรวมรายชื่อนักธุรกิจที่มีพฤติกรรมทุจริตขึ้นบัญชีดำ ไม่ให้เข้าร่วมประมูลงานรัฐ พร้อมมอบ 3 หน่วยงานรัฐนำร่องพัฒนางานให้บริการประชาชน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (19 ธ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2559
นายกฯ กล่าวช่วงต้นการประชุมว่า ที่ผ่านมา การแก้ไขปัญหาทุจริตได้รับความร่วมมือทั้งจากภายใน และภายนอก อย่ามองว่าเป็นปัญหาเล็กน้อย และสามารถควบคุมได้ แต่ในความจริงกลับไม่ง่ายนัก แม้จะชี้แจงหรือ สั่งการแล้ว แต่อย่าลืมว่ายังมีคนบางกลุ่มเผยแพร่ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย เพียงไม่กี่นาที ก็มีผู้รับรู้ข้อมูลมากถึงหลายแสนคน ซึ่งภาครัฐต้องตระหนักว่าจะรับมือเท่าทันกลุ่มเหล่านี้หรือไม่
ดังนั้น สิ่งที่จะหารือในวันนี้ คือ การทำให้เกิดการทำงานเชิงรุก ต้องมองปัญหาไปข้างหน้า พร้อมเตรียมการรองรับ และ เตรียมมาตรการ ทั้งป้องกัน ป้องปราม และปราบปรามตามลำดับ แต่เน้นเรื่องการปราบปรามให้น้อยที่สุด ควบคู่กับมาตรการสร้างความเข้าใจ เพราะขณะนี้ เพียงแค่ชี้แจงไม่สามารถยุติปัญหาได้ ทั้งยังต้องติดตามความคืบหน้าของงานที่ได้รับมอบหมายอย่างต่อเนื่องด้วยว่าจะมีความขัดแย้งอะไรต่อไปหรือไม่ โดยอยากให้มองปัญหาในองค์รวม เพราะการแก้ปัญหาในองค์รวม คือ สิ่งสำคัญของรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งเป็นการทำงาน ระยะที่ 2 ต้องฝาก โฆษกคสช. และผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการในเรื่องนี้ด้วย
**"แบล็กลิสต์"นักธุรกิจโกงชาติ
ภายหลังการประชุม นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานอนุกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ แถลงว่า ดัชนีชี้วัดความโปร่งใสของประเทศไทยที่ประเมินโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติที่ทำมากว่า 10 ปี ซึ่งประเทศไทยสอบตกมาตลอด โดยคะแนนที่ดีที่สุด คือ 38 คะแนน จาก 100 คะแนน ซึ่งขณะนี้รัฐบาลได้จัดคณะทำงานที่มีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยคณะกรรมการชุดนี้ ได้ติดตามผลการปรับปรุงของแต่ละหน่วยงาน เพื่อเพิ่มความโปร่งใสของประเทศไทยให้ดีขึ้น
นอกจากนี้ นายกฯ ยังได้มีคำสั่งให้เร่งรัดคดีทุจริตที่สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศอย่างร้ายแรง เช่น โครงการบ้านเอื้ออาทร ให้มีการรายงานความคืบหน้าในการประชุมครั้งหน้า และสั่งให้มีการรวบรวมรายชื่อนักธุรกิจที่มีพฤติกรรมทุจริตขึ้นบัญชีดำเพื่อไม่ให้คนเหล่านี้เข้ามาทำธุรกิจ หรือประมูลงานของภาครัฐได้อีก โดยประสานข้อมูลกับกรมบัญชีกลาง ซึ่งมีข้อมูลเบื้องต้นอยู่แล้ว
**ให้3หน่วยงานต้นแบบบริการปชช.
นายมานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน กล่าวว่า พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกฯ ออกมาเพื่อกำจัดเงื่อนไขหรือปัจจัยการเรียกรับสินบน โดยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ คือ หน่วยงานของรัฐต้องให้บริการประชาชนโดยสะดวกและไม่เป็นภาระ เวลาประชาชนไปติดต่อ พ.ร.บ.ดังกล่าวออกมาบังคับใช้ 1 ปีครึ่ง แต่ยังมีข้อจำกัดการบังคับใช้อยู่พอสมควร โดยตามกฎหมายมีการบังคับให้ทุกหน่วยงานออกคู่มือสำหรับบริการประชาชน และมีการส่งคู่มือไปที่ กพร. แล้ว 870,000 คู่มือ แต่มีการอนุมัติและผ่านเพียง 35,000 คู่มือ ฉะนั้นในที่ประชุมจึงอนุมัติให้ทุกหน่วยงานประกาศใช้คู่มือที่ได้จัดเตรียมไว้ และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) ทำหน้าที่ตรวจสอบพิจารณาอีกครั้ง
"นายกฯ สั่งการในที่ประชุม ให้หน่วยงานเตรียมการเร่งรัดเข้าสู่ขั้นตอนที่ 2 โดยต้องคิดและพัฒนาการให้บริการประชาชน และสั่งการให้มีหน่วยงานตัวอย่าง เพื่อการพัฒนาให้บริการประชาชนเป็นการเร่งด่วน 3 หน่วย ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กรมที่ดิน และกรมศุลกากร ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ใกล้ชิดกับประชาชน และผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างประเทศ"นายมานะกล่าว
** จี้โชว์ผลงานภายใน 30 วัน
นายประยงค์ ปรียาจิตต์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) กล่าวว่า การตรวจสอบการกระทำที่ส่อทุจริตของข้าราชการตามคำสั่ง มาตรา 44 ที่ผ่านมา มีข้าราชการอยู่ในข่ายกระทำผิด 353 คน มีคำสั่งลงโทษแล้ว 81 ราย และ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดไปแล้ว 17 ราย ทำให้มีข้าราชการต้องพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว 98 ราย ต้นสังกัดดำเนินการตรวจสอบทางวินัยตามอำนาจแล้ว 41 ราย
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีมติให้นำ พ.ร.บ.อำนวยความสะดวก มาใช้ในทุกหน่วยงานของรัฐ และหน่วยงานรัฐบาลที่จะรับการประเมินจากต่างชาติ ต้องเผยแพร่ข้อมูลผ่านทางเว็บไซต์ 2 ภาษา เพราะ 2 ปีที่ผ่านมา หน่วยงานรัฐทำอะไรไปมาก แต่นักลงทุนต่างประเทศไม่ทราบ โดยเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานต้องดำเนินการให้เสร็จภายใน 30 วัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (19 ธ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2559
นายกฯ กล่าวช่วงต้นการประชุมว่า ที่ผ่านมา การแก้ไขปัญหาทุจริตได้รับความร่วมมือทั้งจากภายใน และภายนอก อย่ามองว่าเป็นปัญหาเล็กน้อย และสามารถควบคุมได้ แต่ในความจริงกลับไม่ง่ายนัก แม้จะชี้แจงหรือ สั่งการแล้ว แต่อย่าลืมว่ายังมีคนบางกลุ่มเผยแพร่ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย เพียงไม่กี่นาที ก็มีผู้รับรู้ข้อมูลมากถึงหลายแสนคน ซึ่งภาครัฐต้องตระหนักว่าจะรับมือเท่าทันกลุ่มเหล่านี้หรือไม่
ดังนั้น สิ่งที่จะหารือในวันนี้ คือ การทำให้เกิดการทำงานเชิงรุก ต้องมองปัญหาไปข้างหน้า พร้อมเตรียมการรองรับ และ เตรียมมาตรการ ทั้งป้องกัน ป้องปราม และปราบปรามตามลำดับ แต่เน้นเรื่องการปราบปรามให้น้อยที่สุด ควบคู่กับมาตรการสร้างความเข้าใจ เพราะขณะนี้ เพียงแค่ชี้แจงไม่สามารถยุติปัญหาได้ ทั้งยังต้องติดตามความคืบหน้าของงานที่ได้รับมอบหมายอย่างต่อเนื่องด้วยว่าจะมีความขัดแย้งอะไรต่อไปหรือไม่ โดยอยากให้มองปัญหาในองค์รวม เพราะการแก้ปัญหาในองค์รวม คือ สิ่งสำคัญของรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งเป็นการทำงาน ระยะที่ 2 ต้องฝาก โฆษกคสช. และผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการในเรื่องนี้ด้วย
**"แบล็กลิสต์"นักธุรกิจโกงชาติ
ภายหลังการประชุม นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานอนุกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ แถลงว่า ดัชนีชี้วัดความโปร่งใสของประเทศไทยที่ประเมินโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติที่ทำมากว่า 10 ปี ซึ่งประเทศไทยสอบตกมาตลอด โดยคะแนนที่ดีที่สุด คือ 38 คะแนน จาก 100 คะแนน ซึ่งขณะนี้รัฐบาลได้จัดคณะทำงานที่มีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยคณะกรรมการชุดนี้ ได้ติดตามผลการปรับปรุงของแต่ละหน่วยงาน เพื่อเพิ่มความโปร่งใสของประเทศไทยให้ดีขึ้น
นอกจากนี้ นายกฯ ยังได้มีคำสั่งให้เร่งรัดคดีทุจริตที่สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศอย่างร้ายแรง เช่น โครงการบ้านเอื้ออาทร ให้มีการรายงานความคืบหน้าในการประชุมครั้งหน้า และสั่งให้มีการรวบรวมรายชื่อนักธุรกิจที่มีพฤติกรรมทุจริตขึ้นบัญชีดำเพื่อไม่ให้คนเหล่านี้เข้ามาทำธุรกิจ หรือประมูลงานของภาครัฐได้อีก โดยประสานข้อมูลกับกรมบัญชีกลาง ซึ่งมีข้อมูลเบื้องต้นอยู่แล้ว
**ให้3หน่วยงานต้นแบบบริการปชช.
นายมานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน กล่าวว่า พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกฯ ออกมาเพื่อกำจัดเงื่อนไขหรือปัจจัยการเรียกรับสินบน โดยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ คือ หน่วยงานของรัฐต้องให้บริการประชาชนโดยสะดวกและไม่เป็นภาระ เวลาประชาชนไปติดต่อ พ.ร.บ.ดังกล่าวออกมาบังคับใช้ 1 ปีครึ่ง แต่ยังมีข้อจำกัดการบังคับใช้อยู่พอสมควร โดยตามกฎหมายมีการบังคับให้ทุกหน่วยงานออกคู่มือสำหรับบริการประชาชน และมีการส่งคู่มือไปที่ กพร. แล้ว 870,000 คู่มือ แต่มีการอนุมัติและผ่านเพียง 35,000 คู่มือ ฉะนั้นในที่ประชุมจึงอนุมัติให้ทุกหน่วยงานประกาศใช้คู่มือที่ได้จัดเตรียมไว้ และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) ทำหน้าที่ตรวจสอบพิจารณาอีกครั้ง
"นายกฯ สั่งการในที่ประชุม ให้หน่วยงานเตรียมการเร่งรัดเข้าสู่ขั้นตอนที่ 2 โดยต้องคิดและพัฒนาการให้บริการประชาชน และสั่งการให้มีหน่วยงานตัวอย่าง เพื่อการพัฒนาให้บริการประชาชนเป็นการเร่งด่วน 3 หน่วย ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กรมที่ดิน และกรมศุลกากร ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ใกล้ชิดกับประชาชน และผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างประเทศ"นายมานะกล่าว
** จี้โชว์ผลงานภายใน 30 วัน
นายประยงค์ ปรียาจิตต์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) กล่าวว่า การตรวจสอบการกระทำที่ส่อทุจริตของข้าราชการตามคำสั่ง มาตรา 44 ที่ผ่านมา มีข้าราชการอยู่ในข่ายกระทำผิด 353 คน มีคำสั่งลงโทษแล้ว 81 ราย และ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดไปแล้ว 17 ราย ทำให้มีข้าราชการต้องพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว 98 ราย ต้นสังกัดดำเนินการตรวจสอบทางวินัยตามอำนาจแล้ว 41 ราย
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีมติให้นำ พ.ร.บ.อำนวยความสะดวก มาใช้ในทุกหน่วยงานของรัฐ และหน่วยงานรัฐบาลที่จะรับการประเมินจากต่างชาติ ต้องเผยแพร่ข้อมูลผ่านทางเว็บไซต์ 2 ภาษา เพราะ 2 ปีที่ผ่านมา หน่วยงานรัฐทำอะไรไปมาก แต่นักลงทุนต่างประเทศไม่ทราบ โดยเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานต้องดำเนินการให้เสร็จภายใน 30 วัน
