“สอดแนมการเมือง”
โดย “ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
พ.ศ. 2559 ปีที่ปวงชนชาวไทยจมอยู่กับ “น้ำตา” ใน“อารมณ์”ที่แตกต่าง...
13 ตุลาคม 2559 “น้ำตาสุดอาดูร” ของปวงชนชาวไทยท่วมแผ่นดิน เมื่อ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช “พ่อของแผ่นดิน” เสด็จสู่สวรรคาลัย...
1 ธันวาคม 2559 “น้ำตามหาปิติ” ของปวงชนชาวไทยเปี่ยมท้น เพราะแผ่นดินไทยมี “ในหลวงรัชกาลที่ 10” สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ท่ามกลางเสียงแซ่ซ้อง ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ..ทรงพระเจริญ..ทรงพระเจริญ..
“ในหลวงรัชกาลที่ 9” ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ขณะที่“ในหลวงรัชกาลที่ 10”มีพระราชดำรัสในวันทรงตอบรับการขึ้นทรงราชย์ว่า “เพื่อสนองพระราชปณิธานของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และเพื่อประโยชน์ของประชาชนชาวไทยทั้งปวง”
หลังจากนั้น “ในหลวงรัชกาลที่ 10” ทรงแต่งตั้ง พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ให้กลับมาดำรงตำแหน่ง ประธานองคมนตรี อีกครา อีกทั้งยังทรงแต่งตั้งองคมนตรี 10 ท่าน ได้แก่ 1.พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ 2.นายเกษม วัฒนชัย 3.นายพลากร สุวรรณรัฐ 4.นายอรรถนิติ ดิษฐอำนาจ 5.นายศุภชัย ภู่งาม 6.นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ 7.พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข 8.พลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ 9.พลเอกธีรชัย นาควานิช 10.พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา
โดย “ในหลวงรัชกาลที่ 10” ทรงมีพระราชดำรัส ให้ “ป๋าเปรม” และองคมนตรีทุกคน ให้ช่วยกันดำรงความมั่นคงให้สถาบันของประเทศชาติ
เมื่อมีองคมนตรีใหม่ 2 ท่าน ต้องลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ทำให้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องปรับคณะรัฐมนตรีในเร็วๆนี้ ส่วนจะปรับเล็กหรือปรับใหญ่ ขึ้นกับนายกรัฐมนตรี “บิ๊กตู่” ตัดสินใจ
โดยเฉพาะการตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และกระทรวงดิจิตอลฯ ก็ถึงเวลาแล้วที่ต้องมีรัฐมนตรีว่าการ แถม “รัฐมนตรีโลกลืม” ในหลายกระทรวง ก็อาจจะถูกปรับ..โทษฐาน “ไร้ผลงาน” ด้วย
การปรับ ครม.สำหรับ “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” ไม่ว่าปรับเล็กหรือปรับใหญ่ เป็นเรื่องกล้วยๆ เพราะมิใช่รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งสกปรก ที่เต็มไปด้วยแก๊ง-ก๊วน-ก๊ก-กลุ่มผลประโยชน์ ที่ต้องมีการต่อรองตำแหน่งกันจนเวียนเกล้า ดังนั้น ครม.ใหม่ของรัฐบาลนี้น่าจะตั้งเสร็จก่อนวันขึ้นปีใหม่ 2560
ขณะที่ภารกิจแก้ต้นเหตุปัญหาของชาติไทย ที่ยืดเยื้อต่อเนื่องคาบเกี่ยวถึง“สองรัชกาล” เป็นเรื่องหนักใจสุดๆของ “รัฐบาลบิ๊กตู่” เพราะมีงานสำคัญเร่งด่วนมากมาย ที่รัฐบาลชุดนี้ต้องเร่งสะสาง และขจัดภัยร้ายจาก “กลุ่มคนชั่วทางการเมือง” ที่ทำร้ายทำลายความมั่นคงและศานติสุขของชาติไทย ทั้งในอดีตตราบปัจจุบัน
รวมทั้งนายกฯ “บิ๊กตู่” จะต้องใช้ความชาญฉลาด ผสานกับความเด็ดขาดในทุกมิติ เร่งทำให้ชาติศาสนา-พระมหากษัตริย์-มั่นคงสถาพร เคียงคู่ชาติและประชาชนไทยให้ได้โดยเร็วที่สุดอีกด้วย
รัฐบาลประยุทธ์-ต้องลดความเหลื่อมล้ำทุกมิติในสังคมไทยให้ได้ โดยเฉพาะช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน ที่ถ่างกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติเป็นลำดับ จนมิติความยากจนข้นแค้นของคนส่วนใหญ่ ได้กลายเป็นช่องทางให้ “กลุ่มทุนสามานย์ทางการเมือง” ฉวยโอกาสใช้เงินซื้อเสียงและโกงการเลือกตั้ง เข้ายึดรัฐสภาและอำนาจรัฐ เพื่อใช้ระบอบเผด็จการรัฐสภาโกงชาติบ้านเมือง
รัฐบาลประยุทธ์-ต้องเด็ดขาดกับการปิดตายช่องโหว่ ในระบอบประชาธิปไตยเลือกตั้งแบบตะวันตกที่เอื้อต่อกลุ่มคนชั่วให้ใช้ทั้งเงินและการโกง เข้ามายึดและใช้อำนาจรัฐโกงชาติ นั่นคือ ต้องกีดกันคนชั่วมิให้มีอำนาจทางการเมือง และต้องทำให้คนดีได้ขึ้นปกครองชาติบ้านเมืองให้สำเร็จ
ประวัติศาสตร์แห่งการปกครองของโลก พิสูจน์ชัดมาแล้วในทุกยุคสมัยว่า ยามใดที่กลุ่มคนชั่วได้ปกครองชาติ ได้ใช้อำนาจรัฐและกลไกรัฐอย่างต่อเนื่อง สังคมจะเต็มไปด้วยความอยุติธรรม อันจะนำพาชาติไปสู่ความแตกแยกร้าวฉานในทุกมิติ คนดีที่เป็นคนส่วนใหญ่ในชาติ จะเผชิญกับความทุกข์อย่างแสนสาหัส เพราะกลุ่มคนชั่วอยู่เหนือกลุ่มคนดีในสังคม ดังยุค “ทักษิณ” กับเครือข่ายได้ครองเมืองนั่นเอง
หากพลิกดูหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทย จะพบว่า “กลุ่มคนชั่วขายชาติ” ซึ่งเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง ได้กระทำชั่วต่างๆ นานาต่อชาติมากมาย กระทั่งเคยทำให้ไทยต้องเสียดินแดนแก่ต่างชาติอีกด้วย
ดังนั้น ทุกมิติแห่งการต่อสู้รักษาเอกราช และสร้างศานติสุขของชาติไทย ล้วนต้องแลกมาด้วยชีวิต-เลือดเนื้อ-น้ำตา ฯลฯ ของผู้คนนับไม่ถ้วนบนผืนแผ่นดินไทยทั้งสิ้น
โชคดีเหลือเกิน..ที่ชาติไทยมีพระมหากษัตริย์และประชาชน ร่วมกันต่อสู้อย่างกล้าหาญ กำจัดบรรดากลุ่มคนไทยขายชาติ และขับไล่ต่างชาติที่รุกรานและยึดครองแผ่นดินไทย จนสามารถกอบกู้เอกราช ให้กลับคืนสู่ชาติไทยได้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ดังนั้น พระมหากษัตริย์กับประชาชนชาวไทย ต่างผูกพันในกันและกันอย่างลึกซึ้ง ชนิดไม่มีวันที่ใครจะมายุแยงตะแคงรั่ว ให้พระมหากษัตริย์และประชาชนชาวไทยแตกแยกกันได้ เพราะปวงชนชาวไทยล้วนจงรักภักดีและเทิดทูน อีกทั้งพร้อมจะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยชีวิตและเลือดเนื้อ โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
นั่นมิใช่คำพูดที่เกินเลยไร้ความจริง ทั้งนี้..เพราะชาวไทยได้พิสูจน์ให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ใครก็ตามแม้จะมีอำนาจมหาศาลล้นฟ้า หากบังอาจทำร้ายทำลาย ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ อันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย ล้วนต้องประสบชะตากรรมอันเลวร้ายชนิดคาดไม่ถึงเสมอ
ดังเหตุการณ์จริงในยุค “เหลี่ยม” และเครือข่ายครองเมือง แต่กลับปล่อยให้พลพรรคปฏิบัติการโกงชาติและล้มเจ้า ผลสุดท้าย..นักธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ ที่เนรคุณทั้งต่อสถาบันพระมหากษัตริย์-ประชาชนคนไทย-แผ่นดินถิ่นเกิด ต้องระเหเร่ร่อนอยู่ในต่างแดนตราบจนทุกวันนี้
ณ วันนี้ “คอการเมืองบางคน ”จึงฟันธงว่า “นายทุนสามานย์ผู้นี้” กับพวกพ้องบางคน คงหมดโอกาสที่จะกลับมาตายบนแผ่นดินถิ่นเกิดเสียแล้ว
รัฐบาลประยุทธ์-ต้องเร่งทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ พ้นจากการกระทำอันชั่วช้าสามานย์ของ “เหลี่ยม” และเครือข่ายโดยเร็วที่สุด เพื่อสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักเทิดทูน ของปวงชนชาวไทยจะได้เข้มแข็งมั่นคงชั่วนิรันดร์
รัฐบาลประยุทธ์-ต้องเร่งปฏิรูปศาสนาให้มั่งคงด้วยศรัทธา โดยเฉพาะต้องปฏิรูปผู้คนที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา ให้ยึดมั่นและปฏิบัติในศีลและธรรมอันถูกต้อง ต้องกำจัด “ฝูงเหลือบศาสนา” ในคราบพระปลอม ซึ่งทำลายวิถีพุทธแท้ด้วยพุทธเทียม เพราะ“ฝูงเหลือบเหลือง” ลุ่มหลงในลาภ ยศ เงินทอง ดังเช่น พุทธปลอมในดินแดนอาณาจักรจานบิน
รัฐบาลประยุทธ์-ต้องใช้อำนาจรัฐกำกับให้เกิดความเป็นธรรม เกิดความเอื้ออาทร ทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง รวมทั้งค่านิยมทางสังคมที่ถูกต้อง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของผู้คนในชาติ โดยไม่ปล่อยให้ชาติไทยเป็น “สังคมคนกินคน” หรือสังคมคนรวยเอาเปรียบคนจนได้อย่างเสรี
ที่สำคัญ รัฐบาลประยุทธ์-ต้องไม่ปล่อยให้การเมืองไทย เป็นระบอบประชาธิปไตยที่โกงกินชาติได้ หากแต่ต้องทำให้ชาติไทยเป็นสังคมการเมืองธรรมาธิปไตยของคนส่วนใหญ่ในชาติให้ได้
ภารกิจอันยิ่งใหญ่และสำคัญยิ่ง ณ รอยต่อจาก “ในหลวงรัชกาลที่ 9” สู่ “ในหลวงรัชกาลที่ 10” ของรัฐบาลนี้ คือ
ต้องเร่งขจัด “กลุ่มคนชั่วทางการเมือง” เพื่อทำให้ ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์-ประชาชน มั่นคงแข็งแรงโดยเร็วที่สุด ซึ่งไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีอำนาจอยู่เต็มมือเลย..
โดย “ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
พ.ศ. 2559 ปีที่ปวงชนชาวไทยจมอยู่กับ “น้ำตา” ใน“อารมณ์”ที่แตกต่าง...
13 ตุลาคม 2559 “น้ำตาสุดอาดูร” ของปวงชนชาวไทยท่วมแผ่นดิน เมื่อ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช “พ่อของแผ่นดิน” เสด็จสู่สวรรคาลัย...
1 ธันวาคม 2559 “น้ำตามหาปิติ” ของปวงชนชาวไทยเปี่ยมท้น เพราะแผ่นดินไทยมี “ในหลวงรัชกาลที่ 10” สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ท่ามกลางเสียงแซ่ซ้อง ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ..ทรงพระเจริญ..ทรงพระเจริญ..
“ในหลวงรัชกาลที่ 9” ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ขณะที่“ในหลวงรัชกาลที่ 10”มีพระราชดำรัสในวันทรงตอบรับการขึ้นทรงราชย์ว่า “เพื่อสนองพระราชปณิธานของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และเพื่อประโยชน์ของประชาชนชาวไทยทั้งปวง”
หลังจากนั้น “ในหลวงรัชกาลที่ 10” ทรงแต่งตั้ง พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ให้กลับมาดำรงตำแหน่ง ประธานองคมนตรี อีกครา อีกทั้งยังทรงแต่งตั้งองคมนตรี 10 ท่าน ได้แก่ 1.พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ 2.นายเกษม วัฒนชัย 3.นายพลากร สุวรรณรัฐ 4.นายอรรถนิติ ดิษฐอำนาจ 5.นายศุภชัย ภู่งาม 6.นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ 7.พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข 8.พลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ 9.พลเอกธีรชัย นาควานิช 10.พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา
โดย “ในหลวงรัชกาลที่ 10” ทรงมีพระราชดำรัส ให้ “ป๋าเปรม” และองคมนตรีทุกคน ให้ช่วยกันดำรงความมั่นคงให้สถาบันของประเทศชาติ
เมื่อมีองคมนตรีใหม่ 2 ท่าน ต้องลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ทำให้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องปรับคณะรัฐมนตรีในเร็วๆนี้ ส่วนจะปรับเล็กหรือปรับใหญ่ ขึ้นกับนายกรัฐมนตรี “บิ๊กตู่” ตัดสินใจ
โดยเฉพาะการตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และกระทรวงดิจิตอลฯ ก็ถึงเวลาแล้วที่ต้องมีรัฐมนตรีว่าการ แถม “รัฐมนตรีโลกลืม” ในหลายกระทรวง ก็อาจจะถูกปรับ..โทษฐาน “ไร้ผลงาน” ด้วย
การปรับ ครม.สำหรับ “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” ไม่ว่าปรับเล็กหรือปรับใหญ่ เป็นเรื่องกล้วยๆ เพราะมิใช่รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งสกปรก ที่เต็มไปด้วยแก๊ง-ก๊วน-ก๊ก-กลุ่มผลประโยชน์ ที่ต้องมีการต่อรองตำแหน่งกันจนเวียนเกล้า ดังนั้น ครม.ใหม่ของรัฐบาลนี้น่าจะตั้งเสร็จก่อนวันขึ้นปีใหม่ 2560
ขณะที่ภารกิจแก้ต้นเหตุปัญหาของชาติไทย ที่ยืดเยื้อต่อเนื่องคาบเกี่ยวถึง“สองรัชกาล” เป็นเรื่องหนักใจสุดๆของ “รัฐบาลบิ๊กตู่” เพราะมีงานสำคัญเร่งด่วนมากมาย ที่รัฐบาลชุดนี้ต้องเร่งสะสาง และขจัดภัยร้ายจาก “กลุ่มคนชั่วทางการเมือง” ที่ทำร้ายทำลายความมั่นคงและศานติสุขของชาติไทย ทั้งในอดีตตราบปัจจุบัน
รวมทั้งนายกฯ “บิ๊กตู่” จะต้องใช้ความชาญฉลาด ผสานกับความเด็ดขาดในทุกมิติ เร่งทำให้ชาติศาสนา-พระมหากษัตริย์-มั่นคงสถาพร เคียงคู่ชาติและประชาชนไทยให้ได้โดยเร็วที่สุดอีกด้วย
รัฐบาลประยุทธ์-ต้องลดความเหลื่อมล้ำทุกมิติในสังคมไทยให้ได้ โดยเฉพาะช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน ที่ถ่างกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติเป็นลำดับ จนมิติความยากจนข้นแค้นของคนส่วนใหญ่ ได้กลายเป็นช่องทางให้ “กลุ่มทุนสามานย์ทางการเมือง” ฉวยโอกาสใช้เงินซื้อเสียงและโกงการเลือกตั้ง เข้ายึดรัฐสภาและอำนาจรัฐ เพื่อใช้ระบอบเผด็จการรัฐสภาโกงชาติบ้านเมือง
รัฐบาลประยุทธ์-ต้องเด็ดขาดกับการปิดตายช่องโหว่ ในระบอบประชาธิปไตยเลือกตั้งแบบตะวันตกที่เอื้อต่อกลุ่มคนชั่วให้ใช้ทั้งเงินและการโกง เข้ามายึดและใช้อำนาจรัฐโกงชาติ นั่นคือ ต้องกีดกันคนชั่วมิให้มีอำนาจทางการเมือง และต้องทำให้คนดีได้ขึ้นปกครองชาติบ้านเมืองให้สำเร็จ
ประวัติศาสตร์แห่งการปกครองของโลก พิสูจน์ชัดมาแล้วในทุกยุคสมัยว่า ยามใดที่กลุ่มคนชั่วได้ปกครองชาติ ได้ใช้อำนาจรัฐและกลไกรัฐอย่างต่อเนื่อง สังคมจะเต็มไปด้วยความอยุติธรรม อันจะนำพาชาติไปสู่ความแตกแยกร้าวฉานในทุกมิติ คนดีที่เป็นคนส่วนใหญ่ในชาติ จะเผชิญกับความทุกข์อย่างแสนสาหัส เพราะกลุ่มคนชั่วอยู่เหนือกลุ่มคนดีในสังคม ดังยุค “ทักษิณ” กับเครือข่ายได้ครองเมืองนั่นเอง
หากพลิกดูหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทย จะพบว่า “กลุ่มคนชั่วขายชาติ” ซึ่งเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง ได้กระทำชั่วต่างๆ นานาต่อชาติมากมาย กระทั่งเคยทำให้ไทยต้องเสียดินแดนแก่ต่างชาติอีกด้วย
ดังนั้น ทุกมิติแห่งการต่อสู้รักษาเอกราช และสร้างศานติสุขของชาติไทย ล้วนต้องแลกมาด้วยชีวิต-เลือดเนื้อ-น้ำตา ฯลฯ ของผู้คนนับไม่ถ้วนบนผืนแผ่นดินไทยทั้งสิ้น
โชคดีเหลือเกิน..ที่ชาติไทยมีพระมหากษัตริย์และประชาชน ร่วมกันต่อสู้อย่างกล้าหาญ กำจัดบรรดากลุ่มคนไทยขายชาติ และขับไล่ต่างชาติที่รุกรานและยึดครองแผ่นดินไทย จนสามารถกอบกู้เอกราช ให้กลับคืนสู่ชาติไทยได้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ดังนั้น พระมหากษัตริย์กับประชาชนชาวไทย ต่างผูกพันในกันและกันอย่างลึกซึ้ง ชนิดไม่มีวันที่ใครจะมายุแยงตะแคงรั่ว ให้พระมหากษัตริย์และประชาชนชาวไทยแตกแยกกันได้ เพราะปวงชนชาวไทยล้วนจงรักภักดีและเทิดทูน อีกทั้งพร้อมจะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยชีวิตและเลือดเนื้อ โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
นั่นมิใช่คำพูดที่เกินเลยไร้ความจริง ทั้งนี้..เพราะชาวไทยได้พิสูจน์ให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ใครก็ตามแม้จะมีอำนาจมหาศาลล้นฟ้า หากบังอาจทำร้ายทำลาย ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ อันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย ล้วนต้องประสบชะตากรรมอันเลวร้ายชนิดคาดไม่ถึงเสมอ
ดังเหตุการณ์จริงในยุค “เหลี่ยม” และเครือข่ายครองเมือง แต่กลับปล่อยให้พลพรรคปฏิบัติการโกงชาติและล้มเจ้า ผลสุดท้าย..นักธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ ที่เนรคุณทั้งต่อสถาบันพระมหากษัตริย์-ประชาชนคนไทย-แผ่นดินถิ่นเกิด ต้องระเหเร่ร่อนอยู่ในต่างแดนตราบจนทุกวันนี้
ณ วันนี้ “คอการเมืองบางคน ”จึงฟันธงว่า “นายทุนสามานย์ผู้นี้” กับพวกพ้องบางคน คงหมดโอกาสที่จะกลับมาตายบนแผ่นดินถิ่นเกิดเสียแล้ว
รัฐบาลประยุทธ์-ต้องเร่งทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ พ้นจากการกระทำอันชั่วช้าสามานย์ของ “เหลี่ยม” และเครือข่ายโดยเร็วที่สุด เพื่อสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักเทิดทูน ของปวงชนชาวไทยจะได้เข้มแข็งมั่นคงชั่วนิรันดร์
รัฐบาลประยุทธ์-ต้องเร่งปฏิรูปศาสนาให้มั่งคงด้วยศรัทธา โดยเฉพาะต้องปฏิรูปผู้คนที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา ให้ยึดมั่นและปฏิบัติในศีลและธรรมอันถูกต้อง ต้องกำจัด “ฝูงเหลือบศาสนา” ในคราบพระปลอม ซึ่งทำลายวิถีพุทธแท้ด้วยพุทธเทียม เพราะ“ฝูงเหลือบเหลือง” ลุ่มหลงในลาภ ยศ เงินทอง ดังเช่น พุทธปลอมในดินแดนอาณาจักรจานบิน
รัฐบาลประยุทธ์-ต้องใช้อำนาจรัฐกำกับให้เกิดความเป็นธรรม เกิดความเอื้ออาทร ทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง รวมทั้งค่านิยมทางสังคมที่ถูกต้อง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของผู้คนในชาติ โดยไม่ปล่อยให้ชาติไทยเป็น “สังคมคนกินคน” หรือสังคมคนรวยเอาเปรียบคนจนได้อย่างเสรี
ที่สำคัญ รัฐบาลประยุทธ์-ต้องไม่ปล่อยให้การเมืองไทย เป็นระบอบประชาธิปไตยที่โกงกินชาติได้ หากแต่ต้องทำให้ชาติไทยเป็นสังคมการเมืองธรรมาธิปไตยของคนส่วนใหญ่ในชาติให้ได้
ภารกิจอันยิ่งใหญ่และสำคัญยิ่ง ณ รอยต่อจาก “ในหลวงรัชกาลที่ 9” สู่ “ในหลวงรัชกาลที่ 10” ของรัฐบาลนี้ คือ
ต้องเร่งขจัด “กลุ่มคนชั่วทางการเมือง” เพื่อทำให้ ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์-ประชาชน มั่นคงแข็งแรงโดยเร็วที่สุด ซึ่งไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีอำนาจอยู่เต็มมือเลย..