ผู้จัดการรายวัน360-"สมคิด"นำคณะโรดโชว์จีน จ่อถก "แจ็กหม่า" ประสานดัน 100 แบรนด์ไทยขึ้นซื้อขายบนเว็บไซต์อาลีบาบา ฟรีค่าธรรมเนียม 1 ปี พร้อมลงนามความร่วมมือ 4 ด้าน ปั้นเอสเอ็มอีไทย 3 หมื่นรายทำธุรกิจค้าขายออนไลน์ อบรมบุคลากรด้านดิจิทัล ช่วยพัฒนาระบบโลจิสติกส์ให้กับไปรษณีย์ไทย และช่วยดันไทยเป็นฮับข้อมูลดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 7-11 ธ.ค.2559 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะนำคณะภาครัฐและเอกชนไทยเดินทางไปสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยวันที่ 8 ธ.ค. มีกำหนดจะไปเยือนสำนักงานใหญ่อาลีบาบา กรุ๊ป ณ เมืองหังโจว ตามคำเชิญของนายแจ็ค หม่า ประธานบริหารอาลีบาลา กรุ๊ป และจะมีการหารือเพื่อขยายความร่วมมือด้านการค้าและการพัฒนาช่องทางการขายสินค้าออนไลน์ (อี-คอมเมิร์ซ) ให้กับผู้ประกอบการไทย
โดยความร่วมมือที่จะเกิดขึ้น อาลีบาบาจะให้พื้นที่กับสินค้าไทย 100 แบรนด์ชั้นนำ เข้าไปขายสินค้าผ่านเว็บไซต์อาลีบาบาดอทคอม ใช้ชื่อว่าท็อปไทยแบรนด์ โดยจะไม่คิดค่าธรรมเนียม 12 เดือน หรือปีแรกของการขายสินค้า โดยขณะนี้กระทรวงพาณิชย์กำลังอยู่ระหว่างการคัดเลือกสินค้าไทยจำนวน 100 แบรนด์ ซึ่งจะมีทั้งกลุ่มอาหาร กลุ่มของใช้ ของที่ระลึก ที่เป็นนิยมของลูกค้าชาวจีนและนักท่องเที่ยว คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในไตรมาสแรกปี 2560
น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ กล่าวว่า ในการหารือครั้งนี้ จะมีการลงนามหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) ครอบคลุมความร่วมมือ 4 ด้าน มีกรอบระยะเวลาดำเนินงานในปี 2560 โดยด้านแรก จะเสริมสร้างความเข้มแข็งให้เอสเอ็มอีของไทย และการพัฒนาไทยแลนด์ เนชั่นแนล อี-คอมเมิร์ซ แพลตฟอร์ม ซึ่งจะมุ่งสร้างความรู้ด้านอี-คอมเมิร์ซให้กับเอสเอ็มอีของไทย ตั้งเป้าหมาย 3 หมื่นรายที่จะได้รับการส่งเสริม ครอบคลุมตั้งแต่ระดับฐานรากและผู้ประกอบการระดับกลางที่มีความพร้อมในการทำธุรกิจในประเทศไปจนถึงถึงเอสเอ็มอีที่สามารถส่งออกได้ และคาดหวังว่าภายใน 1 ปี เอสเอ็มอีไทยจะได้รับการพัฒนาศักยภาพให้ขึ้นมาทำการค้าออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ได้ไม่น้อยกว่า 1 หมื่นราย โดยอาลีบาบา กรุ๊ป จะร่วมกับลาซาด้า กรุ๊ป ช่วยเหลืออบรมให้กับเอสเอ็มอี
ด้านที่สอง อาลีบาบา กรุ๊ป จะให้การสนับสนุนอบรมบุคลากรจำนวน 1 หมื่นราย เกี่ยวกับการพัฒนาศักยภาพด้านดิจิทัลเทคโนโลยี และให้การอบรมแก่ผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล จำนวน 1,000 ราย และผลักดันแอปพลิเคชั่นที่ผลิตโดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลสู่ตลาดจีนผ่านอาลีบาบา คลาวด์ มาร์เก็ต เพลส รวมถึงส่งเสริมเจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐให้ได้รับการฝึกอบรมเทคโนโลยีบิ๊ก ดาต้า และปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ผ่านสถานบัน Thailand Digital Government Academy รวมทั้งจะสนับสนุนการอบรมเทรนเนอร์ที่จะมาทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงช่วยเอสเอมอีรายเล็กๆ ให้ขายออนไลน์ได้อีกจำนวน 2,000 ราย
ด้านที่สาม จะช่วยพัฒนาระบบโลจิสติกส์และซัปพลายเชนในประเทศไทย โดยอาลีบาบา กรุ๊ป และลาซาด้า กรุ๊ปพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์และให้คำแนะนำกับบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ในการขยายระบบเตรียมการฝากสินค้าในประเทศผ่านแอปพลิเคชั่น พร้อมโพสต์ ให้ใช้งานครอบคลุมทุกจังหวัด และจะมีการศึกษาระบบการจัดการคลังสินค้าและการให้บริการ Fulfillment สำหรับธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ระหว่างประเทศ ของกลุ่มธุรกิจในเครืออาลีบาบา เพื่อนำมาปรับใช้กับการวางระบบงานคลังสินค้าของไปรษณีย์ไทย
สำหรับความร่วมมือด้านสุดท้าย จะดึงอาลีบาบากรุ๊ป มาพิจารณาการร่วมลงทุนในโครงกาพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก พร้อมพัฒนาให้ไทยเป็นศูนย์กลางข้อมูลด้านดิจิทัลของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า นายสมคิดยังมีกำหนดการเดินทางไปยังนครเซี่ยงไฮ้ กรุงปักกิ่ง เซินเจิ้น และฮ่องกง เพื่อหารือกับนักธุรกิจชั้นนำของจีน เพื่อชักชวนให้เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย เช่น หัวเหว่ย และมีกำหนดการหารือร่วมกับหน่วยงานภาครัฐของจีน เพื่อขยายการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างกัน รวมถึงเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการความร่วมมือทางการค้าไทย-จีน (เจซี) โดยจะมีการหารือในเรื่องการผลักดันมูลค่าการค้าสองฝ่ายเพิ่มขึ้นเป็น 120,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายใน 5 ปี หรือภายในปี 2563 การทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจไทย-จีน ระยะ 5 ปี การหารือความร่วมมือโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน การเพิ่มความร่วมมือด้านการค้าสินค้าเกษตร การเงิน พลังงาน และการท่องเที่ยว
น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 7-11 ธ.ค.2559 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะนำคณะภาครัฐและเอกชนไทยเดินทางไปสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยวันที่ 8 ธ.ค. มีกำหนดจะไปเยือนสำนักงานใหญ่อาลีบาบา กรุ๊ป ณ เมืองหังโจว ตามคำเชิญของนายแจ็ค หม่า ประธานบริหารอาลีบาลา กรุ๊ป และจะมีการหารือเพื่อขยายความร่วมมือด้านการค้าและการพัฒนาช่องทางการขายสินค้าออนไลน์ (อี-คอมเมิร์ซ) ให้กับผู้ประกอบการไทย
โดยความร่วมมือที่จะเกิดขึ้น อาลีบาบาจะให้พื้นที่กับสินค้าไทย 100 แบรนด์ชั้นนำ เข้าไปขายสินค้าผ่านเว็บไซต์อาลีบาบาดอทคอม ใช้ชื่อว่าท็อปไทยแบรนด์ โดยจะไม่คิดค่าธรรมเนียม 12 เดือน หรือปีแรกของการขายสินค้า โดยขณะนี้กระทรวงพาณิชย์กำลังอยู่ระหว่างการคัดเลือกสินค้าไทยจำนวน 100 แบรนด์ ซึ่งจะมีทั้งกลุ่มอาหาร กลุ่มของใช้ ของที่ระลึก ที่เป็นนิยมของลูกค้าชาวจีนและนักท่องเที่ยว คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในไตรมาสแรกปี 2560
น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ กล่าวว่า ในการหารือครั้งนี้ จะมีการลงนามหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) ครอบคลุมความร่วมมือ 4 ด้าน มีกรอบระยะเวลาดำเนินงานในปี 2560 โดยด้านแรก จะเสริมสร้างความเข้มแข็งให้เอสเอ็มอีของไทย และการพัฒนาไทยแลนด์ เนชั่นแนล อี-คอมเมิร์ซ แพลตฟอร์ม ซึ่งจะมุ่งสร้างความรู้ด้านอี-คอมเมิร์ซให้กับเอสเอ็มอีของไทย ตั้งเป้าหมาย 3 หมื่นรายที่จะได้รับการส่งเสริม ครอบคลุมตั้งแต่ระดับฐานรากและผู้ประกอบการระดับกลางที่มีความพร้อมในการทำธุรกิจในประเทศไปจนถึงถึงเอสเอ็มอีที่สามารถส่งออกได้ และคาดหวังว่าภายใน 1 ปี เอสเอ็มอีไทยจะได้รับการพัฒนาศักยภาพให้ขึ้นมาทำการค้าออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ได้ไม่น้อยกว่า 1 หมื่นราย โดยอาลีบาบา กรุ๊ป จะร่วมกับลาซาด้า กรุ๊ป ช่วยเหลืออบรมให้กับเอสเอ็มอี
ด้านที่สอง อาลีบาบา กรุ๊ป จะให้การสนับสนุนอบรมบุคลากรจำนวน 1 หมื่นราย เกี่ยวกับการพัฒนาศักยภาพด้านดิจิทัลเทคโนโลยี และให้การอบรมแก่ผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล จำนวน 1,000 ราย และผลักดันแอปพลิเคชั่นที่ผลิตโดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลสู่ตลาดจีนผ่านอาลีบาบา คลาวด์ มาร์เก็ต เพลส รวมถึงส่งเสริมเจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐให้ได้รับการฝึกอบรมเทคโนโลยีบิ๊ก ดาต้า และปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ผ่านสถานบัน Thailand Digital Government Academy รวมทั้งจะสนับสนุนการอบรมเทรนเนอร์ที่จะมาทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงช่วยเอสเอมอีรายเล็กๆ ให้ขายออนไลน์ได้อีกจำนวน 2,000 ราย
ด้านที่สาม จะช่วยพัฒนาระบบโลจิสติกส์และซัปพลายเชนในประเทศไทย โดยอาลีบาบา กรุ๊ป และลาซาด้า กรุ๊ปพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์และให้คำแนะนำกับบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ในการขยายระบบเตรียมการฝากสินค้าในประเทศผ่านแอปพลิเคชั่น พร้อมโพสต์ ให้ใช้งานครอบคลุมทุกจังหวัด และจะมีการศึกษาระบบการจัดการคลังสินค้าและการให้บริการ Fulfillment สำหรับธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ระหว่างประเทศ ของกลุ่มธุรกิจในเครืออาลีบาบา เพื่อนำมาปรับใช้กับการวางระบบงานคลังสินค้าของไปรษณีย์ไทย
สำหรับความร่วมมือด้านสุดท้าย จะดึงอาลีบาบากรุ๊ป มาพิจารณาการร่วมลงทุนในโครงกาพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก พร้อมพัฒนาให้ไทยเป็นศูนย์กลางข้อมูลด้านดิจิทัลของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า นายสมคิดยังมีกำหนดการเดินทางไปยังนครเซี่ยงไฮ้ กรุงปักกิ่ง เซินเจิ้น และฮ่องกง เพื่อหารือกับนักธุรกิจชั้นนำของจีน เพื่อชักชวนให้เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย เช่น หัวเหว่ย และมีกำหนดการหารือร่วมกับหน่วยงานภาครัฐของจีน เพื่อขยายการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างกัน รวมถึงเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการความร่วมมือทางการค้าไทย-จีน (เจซี) โดยจะมีการหารือในเรื่องการผลักดันมูลค่าการค้าสองฝ่ายเพิ่มขึ้นเป็น 120,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายใน 5 ปี หรือภายในปี 2563 การทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจไทย-จีน ระยะ 5 ปี การหารือความร่วมมือโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน การเพิ่มความร่วมมือด้านการค้าสินค้าเกษตร การเงิน พลังงาน และการท่องเที่ยว