นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าว ถึงการหารือกับคสช. เมื่อวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมา ว่า ได้มีการหารือถึงเรื่องการจัดทำ ร่าง พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ โดยตนจะร่วมหารือกับสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในนามกฤษฎีกาด้วย ทั้งนี้หลังจากร่าง รธน.ถูกประกาศใช้แล้ว กฎหมายว่าด้วยวิธีจัดทำยุทธศาสตร์ และกฎหมายว่าด้วยวิธีจัดทำการปฏิรูปจะต้องออกมาภายในระยะเวลา 120 วัน เช่นกัน ดังนั้นคงต้องรีบจัดทำให้เสร็จ จากนั้นก็จะนำไปสู่การมียุทธศาสตร์ และวิธีการปฏิรูปภาย ในระยะเวลา 1 ปีหลังจากนั้น
ส่วนที่ฝ่ายการเมืองกลัวกันว่า ตรงนี้จะเหมือนกับสิ่งที่จะไปบังคับการทำงานของรัฐบาลชุดถัดๆมานั้น ตนขอเรียนว่า เวลาเขียนวิธีจัดทำกฎหมายต่างๆ รัฐบาลจะต้องรับฟังความเห็นจากประชาชน จากหลายๆ ฝ่าย และต้องคำนึงถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย ยุทธศาสตร์ชาตินั้นก็เปรียบเสมือนกับการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาถูกทอดทิ้งพอสมควร เวลาจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปี ถ้าหากรัฐบาลถัดๆมาไม่ทำตาม ก็เท่ากับว่าเสียของ ต้องมาเริ่มนับหนึ่งใหม่อยู่เรื่อยๆ
ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์ที่กำลังจะถูกกำหนดขึ้นมาใหม่นั้น ระยะเวลายาวถึง 20 ปี เพื่อกำหนดว่าอนาคตของประเทศไทยในภายภาคหน้า หน้าตาจะเป็นอย่างไร ซึ่งการกำหนดยุทธศาสตร์ ก็ไม่ได้คิดขึ้นมาได้เอง แต่เกิดจากการที่แม่น้ำสายต่างๆ อาทิ สปท. - สนช. ได้ไปรับฟังความเห็นจากภาคส่วนต่างๆมา แล้วนำมาจัดทำเป็นยุทธศาสตร์อนาคต
"สมมติว่า รัฐบาลนี้เขามีแผนกำหนดว่าประเทศไทยวันข้างหน้า ต้องเป็นแบบ 4.0 แต่พอรัฐบาลใหม่มา เขากลับกำหนดว่า ไม่เอา กลับไปขี่เกวียนดีกว่า เอาแค่ 1.0 พอ เขาก็ต้องไปทำกระบวนการถามความเห็นชาวบ้าน ถ้าชาวบ้านเห็นด้วยว่า ขี่เกวียน จะได้ไม่เหม็นน้ำมัน รัฐบาลก็ต้องไปปรับยุทธศาสตร์ว่าให้ขี่เกวียนแทน แล้วถ้าชาวบ้านเอาก็ไม่มีใครเขาห้าม" นายมีชัยกล่าว
ส่วนสภาพบังคับของกฎหมายเหล่านี้ นายมีชัย กล่าวว่า นี่เป็นกระบวนวิธีการ ไม่มีบทลงโทษ แต่ถ้ารัฐบาลไม่สนใจจะทำตามยุทธศาสตร์ เขาก็จะได้ชื่อว่า จงใจไม่ปฏิบัติตามรธน. ซึ่งแม้กฎหมายจะไม่มีโทษอะไร แต่ในรธน.ก็ได้กำหนดโทษของการไม่ปฏิบัติตามรธน.อยู่แล้ว เว้นแต่ว่ารัฐบาลนั้นได้เปลี่ยนยุทธศาสตร์ชาติ โดยผ่านการรับฟังความเห็นของประชาชนมาก่อน
ส่วนที่ฝ่ายการเมืองกลัวกันว่า ตรงนี้จะเหมือนกับสิ่งที่จะไปบังคับการทำงานของรัฐบาลชุดถัดๆมานั้น ตนขอเรียนว่า เวลาเขียนวิธีจัดทำกฎหมายต่างๆ รัฐบาลจะต้องรับฟังความเห็นจากประชาชน จากหลายๆ ฝ่าย และต้องคำนึงถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย ยุทธศาสตร์ชาตินั้นก็เปรียบเสมือนกับการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาถูกทอดทิ้งพอสมควร เวลาจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปี ถ้าหากรัฐบาลถัดๆมาไม่ทำตาม ก็เท่ากับว่าเสียของ ต้องมาเริ่มนับหนึ่งใหม่อยู่เรื่อยๆ
ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์ที่กำลังจะถูกกำหนดขึ้นมาใหม่นั้น ระยะเวลายาวถึง 20 ปี เพื่อกำหนดว่าอนาคตของประเทศไทยในภายภาคหน้า หน้าตาจะเป็นอย่างไร ซึ่งการกำหนดยุทธศาสตร์ ก็ไม่ได้คิดขึ้นมาได้เอง แต่เกิดจากการที่แม่น้ำสายต่างๆ อาทิ สปท. - สนช. ได้ไปรับฟังความเห็นจากภาคส่วนต่างๆมา แล้วนำมาจัดทำเป็นยุทธศาสตร์อนาคต
"สมมติว่า รัฐบาลนี้เขามีแผนกำหนดว่าประเทศไทยวันข้างหน้า ต้องเป็นแบบ 4.0 แต่พอรัฐบาลใหม่มา เขากลับกำหนดว่า ไม่เอา กลับไปขี่เกวียนดีกว่า เอาแค่ 1.0 พอ เขาก็ต้องไปทำกระบวนการถามความเห็นชาวบ้าน ถ้าชาวบ้านเห็นด้วยว่า ขี่เกวียน จะได้ไม่เหม็นน้ำมัน รัฐบาลก็ต้องไปปรับยุทธศาสตร์ว่าให้ขี่เกวียนแทน แล้วถ้าชาวบ้านเอาก็ไม่มีใครเขาห้าม" นายมีชัยกล่าว
ส่วนสภาพบังคับของกฎหมายเหล่านี้ นายมีชัย กล่าวว่า นี่เป็นกระบวนวิธีการ ไม่มีบทลงโทษ แต่ถ้ารัฐบาลไม่สนใจจะทำตามยุทธศาสตร์ เขาก็จะได้ชื่อว่า จงใจไม่ปฏิบัติตามรธน. ซึ่งแม้กฎหมายจะไม่มีโทษอะไร แต่ในรธน.ก็ได้กำหนดโทษของการไม่ปฏิบัติตามรธน.อยู่แล้ว เว้นแต่ว่ารัฐบาลนั้นได้เปลี่ยนยุทธศาสตร์ชาติ โดยผ่านการรับฟังความเห็นของประชาชนมาก่อน
