ผู้จัดการรายวัน360-เบิกตัว "นางไก่" ขึ้นศาล หลังศาลนัดตรวจพยานหลักฐานในคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง แอบอ้างให้บุคคลอื่นหลงเชื่อว่าเป็นคุณหญิง เจ้าตัวแถลงขอรับสารภาพ เพราะอยากให้เรื่องจบ แต่สุดท้ายปฏิเสธและขอสู้คดีต่อ ด้านอัยการจัดพยาน 11 ปากนำสืบคดี ศาลให้เวลาฝ่ายละ 2 นัด เริ่มสืบพยาน 6 มิ.ย.ปีหน้า ด้าน "บิ๊กป้อม"เผยเพื่อนบ้านให้ความร่วมมือห้ามพวกหมิ่น พวกโจมตีรัฐ เคลื่อนไหวในประเทศ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (21 พ.ย.) ที่ห้องพิจารณา 807 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดตรวจพยานหลักฐานในคดีหมายเลขดำที่ อ.3186/2559 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางมณตา หยกรัตนกาญ หรือนางไก่ อายุ 58 ปี เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
ทั้งนี้ คำร้องโจทก์สรุปว่า เมื่อเดือนพ.ค.2555-ส.ค.2556 เวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยได้บังอาจกระทำความผิดตามกฎหมายหลายกรรมต่างกัน คือ จำเลยได้แสดงตัวและกระทำการว่าได้รับการแต่งตั้งโปรดเกล้าฯ เป็นคุณหญิง และได้บอกต่อบุคคลที่สามในลักษณะว่าตนเป็นบุคคลใกล้ชิดเบื้องสูง ซึ่งข้อความที่จำเลยกล่าวนั้น จำเลยได้สื่อให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่าจำเลยได้ใกล้ชิดเบื้องสูง เป็นการกระทำจาบจ้วงล่วงเกิน แอบอ้างตนโดยกล่าวหาเบื้องสูง ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ โดยเจตนาทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพสักการะต่อสถาบันฯ เหตุเกิดที่แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ซึ่งพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาในจำเลยทราบเมื่อวันที่ 7 ก.ค.2559 ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ
โดยในวันนี้ศาลเบิกตัวนางมณตา จำเลยมาจากทัณฑสถานหญิงกลางในชุดนักโทษ และนางมณตาได้ยื่นคำร้องกลับคำให้การเป็นรับสารภาพ ศาลจึงได้ถามจำเลยว่าจะให้การรับสารภาพใช่หรือไม่ นางมณตาแถลงศาลว่าขอให้การรับสารภาพ เพราะอยากให้เรื่องจบ แต่ไม่ใช่เพราะตนผิด ถ้าสู้ไปตนต้องเป็นบ้าแน่เลย ทั้งยังรับไม่ได้ เพราะตนรักสถาบันฯ
ศาลพิจารณาคำแถลงของจำเลยแล้วเห็นว่าที่จำเลยแถลงว่าการรับสารภาพ เพื่อขอให้เรื่องจบ ไม่สามารถกระทำได้ เพราะความจริงจะต้องจบที่พยานหลักฐาน นางมณตาจึงให้การปฏิเสธขอต่อสู้คดี จากนั้นนางมณตาได้แถลงศาลขอให้ผู้สื่อข่าวออกจากห้องพิจารณาคดี ซึ่งศาลอนุญาต
จากนั้นอัยการโจทก์แถลงขอนำพยานเข้าสืบ 15 ปาก แต่ทั้งสองฝ่ายยอมรับข้อเท็จจริงกันได้ 4 ปาก จึงเหลือพยานเข้าสืบ 11 ปาก ส่วนทนายจำเลยขอนำพยานเข้าสืบ 6 ปาก ศาลพิจารณาแล้วอนุญาต โดยกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์จำเลย 4 นัดตั้งแต่วันที่ 6-9 มิ.ย.2560
วันเดียวกันนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวว่า กรณีที่มีกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมหมิ่นเบื้องสูงใช้ประเทศเพื่อนบ้านเคลื่อนไหวผ่านโซเชียลมีเดียและสถานีวิทยุนั้น ตนได้บอกประเทศเพื่อนบ้านไปแล้วว่าขอให้ช่วยดูแล ไม่ใช่ปล่อยให้มาโจมตีประเทศไทยได้ เพราะคนที่หลบหนีไป มีคดีติดตัวทั้งนั้น ซึ่งประเทศเพื่อนบ้าน ก็ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี น่าชื่นชม ถือว่าคุยกันรู้เรื่อง ส่วนการขอตัวกลับมาดำเนินคดีใทย เป็นเรื่องของเพื่อนบ้าน ถ้าได้ตัวเขาคงส่งตัวมา แต่จะได้หรือเปล่า ตนไม่ทราบ
ส่วนกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กองทัพจ้าง น.ส.อรพิมพ์ รักษาผล หรือเบสท์ อรพิมพ์ ไปบรรยายในหน่วยงานของทหาร ตนไม่รู้ ไม่เห็น และไม่ใช่ คสช. แต่คิดว่าตัวเบสท์ เป็นคนเก่ง ตนดูจากทีวี แต่ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่ากองทัพใช้งาน ไม่ได้มีการขออนุมัติเรื่องเหล่านี้ จะจริงเท็จอย่างไรยังไม่รู้ ซึ่งในส่วนของความมั่นคง ก็ไม่ได้คุย และตนก็ไม่รู้จักตัวเบสท์ และตนก็ยังไม่ได้ถามไปที่กองอำนวยการรักษาความั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) แต่ตนว่าเขาเจตนาดีต่อบ้านเมือง ดังนั้น ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (21 พ.ย.) ที่ห้องพิจารณา 807 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดตรวจพยานหลักฐานในคดีหมายเลขดำที่ อ.3186/2559 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางมณตา หยกรัตนกาญ หรือนางไก่ อายุ 58 ปี เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
ทั้งนี้ คำร้องโจทก์สรุปว่า เมื่อเดือนพ.ค.2555-ส.ค.2556 เวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยได้บังอาจกระทำความผิดตามกฎหมายหลายกรรมต่างกัน คือ จำเลยได้แสดงตัวและกระทำการว่าได้รับการแต่งตั้งโปรดเกล้าฯ เป็นคุณหญิง และได้บอกต่อบุคคลที่สามในลักษณะว่าตนเป็นบุคคลใกล้ชิดเบื้องสูง ซึ่งข้อความที่จำเลยกล่าวนั้น จำเลยได้สื่อให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่าจำเลยได้ใกล้ชิดเบื้องสูง เป็นการกระทำจาบจ้วงล่วงเกิน แอบอ้างตนโดยกล่าวหาเบื้องสูง ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ โดยเจตนาทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพสักการะต่อสถาบันฯ เหตุเกิดที่แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ซึ่งพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาในจำเลยทราบเมื่อวันที่ 7 ก.ค.2559 ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ
โดยในวันนี้ศาลเบิกตัวนางมณตา จำเลยมาจากทัณฑสถานหญิงกลางในชุดนักโทษ และนางมณตาได้ยื่นคำร้องกลับคำให้การเป็นรับสารภาพ ศาลจึงได้ถามจำเลยว่าจะให้การรับสารภาพใช่หรือไม่ นางมณตาแถลงศาลว่าขอให้การรับสารภาพ เพราะอยากให้เรื่องจบ แต่ไม่ใช่เพราะตนผิด ถ้าสู้ไปตนต้องเป็นบ้าแน่เลย ทั้งยังรับไม่ได้ เพราะตนรักสถาบันฯ
ศาลพิจารณาคำแถลงของจำเลยแล้วเห็นว่าที่จำเลยแถลงว่าการรับสารภาพ เพื่อขอให้เรื่องจบ ไม่สามารถกระทำได้ เพราะความจริงจะต้องจบที่พยานหลักฐาน นางมณตาจึงให้การปฏิเสธขอต่อสู้คดี จากนั้นนางมณตาได้แถลงศาลขอให้ผู้สื่อข่าวออกจากห้องพิจารณาคดี ซึ่งศาลอนุญาต
จากนั้นอัยการโจทก์แถลงขอนำพยานเข้าสืบ 15 ปาก แต่ทั้งสองฝ่ายยอมรับข้อเท็จจริงกันได้ 4 ปาก จึงเหลือพยานเข้าสืบ 11 ปาก ส่วนทนายจำเลยขอนำพยานเข้าสืบ 6 ปาก ศาลพิจารณาแล้วอนุญาต โดยกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์จำเลย 4 นัดตั้งแต่วันที่ 6-9 มิ.ย.2560
วันเดียวกันนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวว่า กรณีที่มีกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมหมิ่นเบื้องสูงใช้ประเทศเพื่อนบ้านเคลื่อนไหวผ่านโซเชียลมีเดียและสถานีวิทยุนั้น ตนได้บอกประเทศเพื่อนบ้านไปแล้วว่าขอให้ช่วยดูแล ไม่ใช่ปล่อยให้มาโจมตีประเทศไทยได้ เพราะคนที่หลบหนีไป มีคดีติดตัวทั้งนั้น ซึ่งประเทศเพื่อนบ้าน ก็ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี น่าชื่นชม ถือว่าคุยกันรู้เรื่อง ส่วนการขอตัวกลับมาดำเนินคดีใทย เป็นเรื่องของเพื่อนบ้าน ถ้าได้ตัวเขาคงส่งตัวมา แต่จะได้หรือเปล่า ตนไม่ทราบ
ส่วนกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กองทัพจ้าง น.ส.อรพิมพ์ รักษาผล หรือเบสท์ อรพิมพ์ ไปบรรยายในหน่วยงานของทหาร ตนไม่รู้ ไม่เห็น และไม่ใช่ คสช. แต่คิดว่าตัวเบสท์ เป็นคนเก่ง ตนดูจากทีวี แต่ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่ากองทัพใช้งาน ไม่ได้มีการขออนุมัติเรื่องเหล่านี้ จะจริงเท็จอย่างไรยังไม่รู้ ซึ่งในส่วนของความมั่นคง ก็ไม่ได้คุย และตนก็ไม่รู้จักตัวเบสท์ และตนก็ยังไม่ได้ถามไปที่กองอำนวยการรักษาความั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) แต่ตนว่าเขาเจตนาดีต่อบ้านเมือง ดังนั้น ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย