ป้อมพระอาทิตย์
โดย โสภณ องค์การณ์
หนังสือพิมพ์หลายเมือง รวมทั้งบ้านเราพาดหัวข่าวปรากฏการณ์ “ช็อกโลก” เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถ้าผมมีเงินเยอะ ทุ่มช้อนซื้อหุ้นช่วงที่นักลงทุนแห่ขายทั่วโลก หลังจากดัชนีตลาดหุ้นนิวยอร์ก ร่วง 750 จุด ป่านนี้รวยเละไปแล้ว
บางคนอาจท้วงว่า ถ้าผมมีเงินจริง คงไม่ซื้อหรอก เพราะเห็นการเทขายเหมือนอย่างคนเสียสติ โลกแตกวินาศสันตะโร ต้องถือเงินสดเก็บไว้ก่อน คนมีเงินย่อมหวงห่วงเงิน
ก็จริงอยู่ แต่เห็นหรือเปล่าล่ะ หุ้นร่วงวันเดียวเท่านั้น วันรุ่งขึ้นกลับมาเป็นตัวเขียวอีกแล้ว ผมเชื่อว่าถึงอย่างไรนักลงทุนอเมริกันก็ยังเป็นนักลงทุนวันยังค่ำ ใครจะไปเท หรือทุบ หุ้น จนให้ตลาดเจ๊งไปคามือ ทุกอย่างมีได้มีเสีย เห็นได้ชัดเมื่อมีคนเทขาย ก็ยังมีคนรับซื้อ
ผมผ่านเหตุการณ์มาเยอะ แบล็กมันเดย์ แบล็กฟรายเดย์ หรือวันหุ้นตก วิกฤตอะไรก็สุดแล้วแต่ อีกไม่กี่วันก็จะหวนกลับขึ้นไปเหมือนเดิม เว้นแต่จะเป็นช่วงที่ยืดเยื้อเท่านั้น
เอาเถอะ ใครได้ใครเสีย หลังจากหุ้นตก หุ้นเด้งกลับ ก็ตาม ทุกอย่างต้องดำเนินต่อไป แม้จะมีคนอเมริกันพวกพรรคเดโมแครตทำใจไม่ได้ ออกมาเดินขบวนประท้วงมากถึง 7 เมือง นั่นก็เป็นปฏิกิริยาที่คาดเดาได้ เพราะการพลิกล็อกในศึกครั้งนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
ฮิลลารี คลินตัน คงไม่คาดคิดว่าเธอจะพ่ายแพ้หลุดลุ่ย หมดรูปเช่นนี้ แม้แต่ตัวทรัมป์เองก็คงไม่คาดว่าจะชนะ และชนะแบบขาดลอย เกือบม้วนเดียวจบ เว้นแต่มีคะแนนตามในช่วงสั้นๆ งานนี้พวกหน้าแหก ช้ำในหัวอกรุนแรงทำใจไม่ได้คือพวกสื่อหลักทั้งหลาย
หน้าแตกทั้งซีเอ็นเอ็น นิวยอร์ก ไทมส์ และค่ายอื่นๆ ซึ่งรุมยำ ถล่มทรัมป์ มานานหลายเดือน พยายามขุดคุ้ยเรื่องเน่าๆ ในอดีตของทรัมป์มาตีแผ่ เรื่องเล็กก็เอามาขยายเป็นเรื่องใหญ่โต เรื่องฉาวของคลินตันก็พยายามเล่นข่าวให้น้อย ตีเบาๆ พอเป็นพิธีให้ดูแฟร์ๆ
นักวิเคราะห์ประจำหน้าจอซีเอ็นเอ็น ทำใจไม่ได้ ทำตัวไม่ถูก ออกท่าทางเหมือนหมาเหงา ลิงป่วย พอตั้งหลักได้ วันถัดมาก็หาเรื่องมาดิสเครดิตทรัมป์ ทำนองว่าว่าที่ประธานาธิบดีจะมีความสามารถทำให้นโยบายช่วงหาเสียงเป็นจริงขึ้นมาได้อย่างไร
พวกนี้นึกว่าตัวเองฉลาดกว่า เก่งกว่าทรัมป์ เมื่อสัมภาษณ์ยังส่อแววดูถูก!
พวกสื่อ นักวิเคราะห์อเมริกันแย่กว่านักการเมือง ไม่รู้จักยอมรับผลของการตัดสินใจ การเลือกของประชาชน มีรายหนึ่งโวยวาย อ้างว่าจะไปบอกลูกเมียให้เข้าใจอย่างไรว่าทำไมประชาชนเลือกทรัมป์มาเป็นผู้นำประเทศ ทั้งๆ ที่ตัวเองควรต้องยอมรับผลเช่นกัน
พวกนี้แหละโหนกระแสโพลล์ว่าฮิลลารีนอนมาแน่นอน และก็ได้นอนมาแน่นิ่ง! ตัวเลขโพลล์ซึ่งซีเอ็นเอ็นเอามาโชว์คาจอให้เห็นว่าฮิลลารีได้มากถึง 268 แต้ม รออีก 2-3 แต้มก็จะได้เป็นแล้ว นั่นแหละทำให้พวกเดโมแครตดูเบา ตายใจ ประมาททรัมป์มวยรอง
เมื่อผลออกมาจึงได้ช็อกกันตาตั้งกันทั้งพรรคเดโมแครต รวมทั้งห้องข่าวซีเอ็นเอ็น!
วันต่อมาชาวอเมริกันพวกหัวเอียงซ้ายและนิยมเดโมแครตก็ปลุกกระ แสต้านทรัมป์ผ่านสื่อโซเชียล เดินขบวนอย่างน้อย 7 เมือง ส่วนหนึ่งต่อต้านนโยบายของทรัมป์และผสมไปกับการก่นดาพรรคเดโมแครตว่าทำงานวางแผนกันอย่างไรจึงให้ทรัมป์ชนะเลือกตั้งได้
การเดินขบวนประท้วงเป็นวิถีทางของประชาธิปไตยของคนอเมริกัน เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานทางการเมือง แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลอะไรได้ การดูแลความสงบของบ้านเมืองช่วงนี้เป็นหน้าที่ของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ต้องไม่ให้เกิดความรุนแรง
สื่อหลักนั่นแหละ ไปทำโพลล์ สัมภาษณ์คนไปเลือกตั้ง และเชียร์ฮิลลารี ลืมไปว่ายังมีกลุ่มอื่นๆ อีกที่พอใจกับนโยบายทรัมป์ แต่ไม่แสดงออก เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เช่นเรื่องมุสลิม ผู้ลี้ภัย พวกหลบหนีเข้าเมือง กลุ่มสตรี ผิวสี ซึ่งถูกมองว่ามีผลสำคัญต่อคะแนน
ผลที่ออกมา พวกที่ถูกมองว่าจะตัดคะแนนทรัมป์ก็ไม่มากอย่างที่คิด จำนวนคนไปใช้สิทธิ์ก็มาก เป็นส่วนที่ได้รับผลกระทบจากนักการเมืองบริหารประเทศทั้งนั้น
สื่อและโพลล์เป็นตัวการที่ทำให้สื่อทำเอง ช็อกเอง ทำให้ฮิลลารีหลงเชื่อจนพ่ายแพ้!
การเมืองอเมริกันดี อย่างหนึ่ง เมื่อการแข่งขันจบ ก็หยุดด่าทอกัน มาพูดจาอีกภาษา ยอมรับผล และแสดงความยินดี อวยซึ่งกันและกัน ประกาศว่าจะร่วมมือกัน ให้ฝ่ายผู้ชนะมีโอกาสได้แสดงฝีมือเต็มที่ ถ้าทำงานประสบผลสำเร็จ ก็จะได้ประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย
การเจ็บปวดสำหรับผู้แพ้นั้นมีแน่ ยาวนานแบบไม่มีวันลืม โดยเฉพาะฮิลลารี หมดโอกาสสร้างประวัติศาสตร์ว่าจะเป็นคู่ผัวตัวเมียเดียวที่ได้เป็นผู้นำในทำเนียบขาว แต่ความฝันหวานกลายเป็นฝันค้าง ฝันร้าย ก็ต้องยอมรับสภาพความล้มเหลวเป็นประวัติศาสตร์
บารัค โอบามา ยังแสดงความยินดี และเชิญให้ทรัมป์ให้ไปหารือวันรุ่งขึ้นทันทีเรื่องการเปลี่ยนผ่านอำนาจการบริหารประเทศเพื่อให้ราบรื่น ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกติกา ผู้นำประเทศอื่นๆ ก็เฝ้ามองว่าทรัมป์จะเริ่มงานอย่างไร ตามลำดับเรื่องที่ประกาศไว้หรือไม่
หลายฝ่ายตื่นตระหนกว่าจะมีผลกระทบมหาศาลด้านการค้า การเมือง ความมั่นคงระหว่างประเทศ เพราะนโยบายของทรัมป์มุ่งเน้นการจัดการเรื่องในบ้านก่อนไปยุ่งในต่างประเทศ ทำตัวเป็นตำรวจโลกเหมือนผู้นำคนอื่นๆ ของสหรัฐ ซึ่งเปิดศึกไปทุกภูมิภาค
ต้องไม่ลืมว่าทรัมป์เป็นนักธุรกิจ มีได้มีเสีย ตัวเองเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย ยอมมองว่าทุกอย่างย่อมเจรจาหาทางออกได้ พ่อค้าไม่นิยมการสู้รบ ทำสงคราม เว้นแต่จะโดนเล่นงานก่อน หรือประเทศอยู่ในสภาพเสียเปรียบจนไร้ทางออกในการเจรจา หรือวิธีการอื่นๆ
คำประกาศช่วงรับสภาพชัยชนะ ก็เห็นกันอยู่ว่าทรัมป์มาในมาดนุ่ม ไม่โผงผางโฉ่งฉ่าง ท้าตีท้าต่อย นั่นคงเป็นเพราะรู้สึกตัวแล้วว่าต้องรับภาระหนักหนาสาหัสเป็นผู้นำประเทศ มีประชาชนกว่า 300 ล้านคนอยู่ในความรับผิดชอบ จะพูดจาแค่เอามันไม่ได้
ช่วงนี้ต้องเฝ้าดูว่าทรัมป์จะไปอย่างไร ทีมทำงานหรือคณะรัฐมนตรีมีใครเป็นตัวหลัก ช่วงนี้คือการเตรียมการเปลี่ยนผ่าน กว่าจะรับงานเต็มที่ก็ช่วงกลางเดือนมกราคมปีหน้า ยังมีเวลาให้ทุกฝ่ายปรับตัว ท่าที รวมทั้งถ้อยคำ การแสดงออกเพื่อสานความสัมพันธ์ใหม่
การเมืองเลือกตั้งของสหรัฐฯ ปีนี้ถือว่าเป็นน้ำเน่าที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ แต่ก็จบ ภารกิจคือการบริหารนำพาประเทศไปสู่ความรุ่งโรจน์เพื่อผลประโยชน์ ความมั่นคง การอยู่ดีกินดีของประชาชน ตัวผู้นำไม่มีปัญหาด้านการทุจริต โกงกินอย่างไร้จิตสำนึก
นักการเมืองบ้านเราทุ่มเงินซื้อเสียงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ จากนั้นตั้งหน้าตั้งตาโกงกินถอนทุนบวกกำไร พาพรรคพวก ญาติพี่น้องมารุมกินโต๊ะประเทศ บางคนโกงกินหนักยังไม่พอ เปิดประเทศให้ต่างชาติเข้ามาปล้นทรัพยากรของชาติให้ตัวเองได้มีส่วนแบ่งอีกด้วย
การเมืองบ้านเราเน่ากว่าเยอะ ขบวนการโกงกินยังอยู่ดีกินดี รอเข้าไปโกงรอบใหม่!
โดย โสภณ องค์การณ์
หนังสือพิมพ์หลายเมือง รวมทั้งบ้านเราพาดหัวข่าวปรากฏการณ์ “ช็อกโลก” เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถ้าผมมีเงินเยอะ ทุ่มช้อนซื้อหุ้นช่วงที่นักลงทุนแห่ขายทั่วโลก หลังจากดัชนีตลาดหุ้นนิวยอร์ก ร่วง 750 จุด ป่านนี้รวยเละไปแล้ว
บางคนอาจท้วงว่า ถ้าผมมีเงินจริง คงไม่ซื้อหรอก เพราะเห็นการเทขายเหมือนอย่างคนเสียสติ โลกแตกวินาศสันตะโร ต้องถือเงินสดเก็บไว้ก่อน คนมีเงินย่อมหวงห่วงเงิน
ก็จริงอยู่ แต่เห็นหรือเปล่าล่ะ หุ้นร่วงวันเดียวเท่านั้น วันรุ่งขึ้นกลับมาเป็นตัวเขียวอีกแล้ว ผมเชื่อว่าถึงอย่างไรนักลงทุนอเมริกันก็ยังเป็นนักลงทุนวันยังค่ำ ใครจะไปเท หรือทุบ หุ้น จนให้ตลาดเจ๊งไปคามือ ทุกอย่างมีได้มีเสีย เห็นได้ชัดเมื่อมีคนเทขาย ก็ยังมีคนรับซื้อ
ผมผ่านเหตุการณ์มาเยอะ แบล็กมันเดย์ แบล็กฟรายเดย์ หรือวันหุ้นตก วิกฤตอะไรก็สุดแล้วแต่ อีกไม่กี่วันก็จะหวนกลับขึ้นไปเหมือนเดิม เว้นแต่จะเป็นช่วงที่ยืดเยื้อเท่านั้น
เอาเถอะ ใครได้ใครเสีย หลังจากหุ้นตก หุ้นเด้งกลับ ก็ตาม ทุกอย่างต้องดำเนินต่อไป แม้จะมีคนอเมริกันพวกพรรคเดโมแครตทำใจไม่ได้ ออกมาเดินขบวนประท้วงมากถึง 7 เมือง นั่นก็เป็นปฏิกิริยาที่คาดเดาได้ เพราะการพลิกล็อกในศึกครั้งนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
ฮิลลารี คลินตัน คงไม่คาดคิดว่าเธอจะพ่ายแพ้หลุดลุ่ย หมดรูปเช่นนี้ แม้แต่ตัวทรัมป์เองก็คงไม่คาดว่าจะชนะ และชนะแบบขาดลอย เกือบม้วนเดียวจบ เว้นแต่มีคะแนนตามในช่วงสั้นๆ งานนี้พวกหน้าแหก ช้ำในหัวอกรุนแรงทำใจไม่ได้คือพวกสื่อหลักทั้งหลาย
หน้าแตกทั้งซีเอ็นเอ็น นิวยอร์ก ไทมส์ และค่ายอื่นๆ ซึ่งรุมยำ ถล่มทรัมป์ มานานหลายเดือน พยายามขุดคุ้ยเรื่องเน่าๆ ในอดีตของทรัมป์มาตีแผ่ เรื่องเล็กก็เอามาขยายเป็นเรื่องใหญ่โต เรื่องฉาวของคลินตันก็พยายามเล่นข่าวให้น้อย ตีเบาๆ พอเป็นพิธีให้ดูแฟร์ๆ
นักวิเคราะห์ประจำหน้าจอซีเอ็นเอ็น ทำใจไม่ได้ ทำตัวไม่ถูก ออกท่าทางเหมือนหมาเหงา ลิงป่วย พอตั้งหลักได้ วันถัดมาก็หาเรื่องมาดิสเครดิตทรัมป์ ทำนองว่าว่าที่ประธานาธิบดีจะมีความสามารถทำให้นโยบายช่วงหาเสียงเป็นจริงขึ้นมาได้อย่างไร
พวกนี้นึกว่าตัวเองฉลาดกว่า เก่งกว่าทรัมป์ เมื่อสัมภาษณ์ยังส่อแววดูถูก!
พวกสื่อ นักวิเคราะห์อเมริกันแย่กว่านักการเมือง ไม่รู้จักยอมรับผลของการตัดสินใจ การเลือกของประชาชน มีรายหนึ่งโวยวาย อ้างว่าจะไปบอกลูกเมียให้เข้าใจอย่างไรว่าทำไมประชาชนเลือกทรัมป์มาเป็นผู้นำประเทศ ทั้งๆ ที่ตัวเองควรต้องยอมรับผลเช่นกัน
พวกนี้แหละโหนกระแสโพลล์ว่าฮิลลารีนอนมาแน่นอน และก็ได้นอนมาแน่นิ่ง! ตัวเลขโพลล์ซึ่งซีเอ็นเอ็นเอามาโชว์คาจอให้เห็นว่าฮิลลารีได้มากถึง 268 แต้ม รออีก 2-3 แต้มก็จะได้เป็นแล้ว นั่นแหละทำให้พวกเดโมแครตดูเบา ตายใจ ประมาททรัมป์มวยรอง
เมื่อผลออกมาจึงได้ช็อกกันตาตั้งกันทั้งพรรคเดโมแครต รวมทั้งห้องข่าวซีเอ็นเอ็น!
วันต่อมาชาวอเมริกันพวกหัวเอียงซ้ายและนิยมเดโมแครตก็ปลุกกระ แสต้านทรัมป์ผ่านสื่อโซเชียล เดินขบวนอย่างน้อย 7 เมือง ส่วนหนึ่งต่อต้านนโยบายของทรัมป์และผสมไปกับการก่นดาพรรคเดโมแครตว่าทำงานวางแผนกันอย่างไรจึงให้ทรัมป์ชนะเลือกตั้งได้
การเดินขบวนประท้วงเป็นวิถีทางของประชาธิปไตยของคนอเมริกัน เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานทางการเมือง แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลอะไรได้ การดูแลความสงบของบ้านเมืองช่วงนี้เป็นหน้าที่ของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ต้องไม่ให้เกิดความรุนแรง
สื่อหลักนั่นแหละ ไปทำโพลล์ สัมภาษณ์คนไปเลือกตั้ง และเชียร์ฮิลลารี ลืมไปว่ายังมีกลุ่มอื่นๆ อีกที่พอใจกับนโยบายทรัมป์ แต่ไม่แสดงออก เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เช่นเรื่องมุสลิม ผู้ลี้ภัย พวกหลบหนีเข้าเมือง กลุ่มสตรี ผิวสี ซึ่งถูกมองว่ามีผลสำคัญต่อคะแนน
ผลที่ออกมา พวกที่ถูกมองว่าจะตัดคะแนนทรัมป์ก็ไม่มากอย่างที่คิด จำนวนคนไปใช้สิทธิ์ก็มาก เป็นส่วนที่ได้รับผลกระทบจากนักการเมืองบริหารประเทศทั้งนั้น
สื่อและโพลล์เป็นตัวการที่ทำให้สื่อทำเอง ช็อกเอง ทำให้ฮิลลารีหลงเชื่อจนพ่ายแพ้!
การเมืองอเมริกันดี อย่างหนึ่ง เมื่อการแข่งขันจบ ก็หยุดด่าทอกัน มาพูดจาอีกภาษา ยอมรับผล และแสดงความยินดี อวยซึ่งกันและกัน ประกาศว่าจะร่วมมือกัน ให้ฝ่ายผู้ชนะมีโอกาสได้แสดงฝีมือเต็มที่ ถ้าทำงานประสบผลสำเร็จ ก็จะได้ประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย
การเจ็บปวดสำหรับผู้แพ้นั้นมีแน่ ยาวนานแบบไม่มีวันลืม โดยเฉพาะฮิลลารี หมดโอกาสสร้างประวัติศาสตร์ว่าจะเป็นคู่ผัวตัวเมียเดียวที่ได้เป็นผู้นำในทำเนียบขาว แต่ความฝันหวานกลายเป็นฝันค้าง ฝันร้าย ก็ต้องยอมรับสภาพความล้มเหลวเป็นประวัติศาสตร์
บารัค โอบามา ยังแสดงความยินดี และเชิญให้ทรัมป์ให้ไปหารือวันรุ่งขึ้นทันทีเรื่องการเปลี่ยนผ่านอำนาจการบริหารประเทศเพื่อให้ราบรื่น ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกติกา ผู้นำประเทศอื่นๆ ก็เฝ้ามองว่าทรัมป์จะเริ่มงานอย่างไร ตามลำดับเรื่องที่ประกาศไว้หรือไม่
หลายฝ่ายตื่นตระหนกว่าจะมีผลกระทบมหาศาลด้านการค้า การเมือง ความมั่นคงระหว่างประเทศ เพราะนโยบายของทรัมป์มุ่งเน้นการจัดการเรื่องในบ้านก่อนไปยุ่งในต่างประเทศ ทำตัวเป็นตำรวจโลกเหมือนผู้นำคนอื่นๆ ของสหรัฐ ซึ่งเปิดศึกไปทุกภูมิภาค
ต้องไม่ลืมว่าทรัมป์เป็นนักธุรกิจ มีได้มีเสีย ตัวเองเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย ยอมมองว่าทุกอย่างย่อมเจรจาหาทางออกได้ พ่อค้าไม่นิยมการสู้รบ ทำสงคราม เว้นแต่จะโดนเล่นงานก่อน หรือประเทศอยู่ในสภาพเสียเปรียบจนไร้ทางออกในการเจรจา หรือวิธีการอื่นๆ
คำประกาศช่วงรับสภาพชัยชนะ ก็เห็นกันอยู่ว่าทรัมป์มาในมาดนุ่ม ไม่โผงผางโฉ่งฉ่าง ท้าตีท้าต่อย นั่นคงเป็นเพราะรู้สึกตัวแล้วว่าต้องรับภาระหนักหนาสาหัสเป็นผู้นำประเทศ มีประชาชนกว่า 300 ล้านคนอยู่ในความรับผิดชอบ จะพูดจาแค่เอามันไม่ได้
ช่วงนี้ต้องเฝ้าดูว่าทรัมป์จะไปอย่างไร ทีมทำงานหรือคณะรัฐมนตรีมีใครเป็นตัวหลัก ช่วงนี้คือการเตรียมการเปลี่ยนผ่าน กว่าจะรับงานเต็มที่ก็ช่วงกลางเดือนมกราคมปีหน้า ยังมีเวลาให้ทุกฝ่ายปรับตัว ท่าที รวมทั้งถ้อยคำ การแสดงออกเพื่อสานความสัมพันธ์ใหม่
การเมืองเลือกตั้งของสหรัฐฯ ปีนี้ถือว่าเป็นน้ำเน่าที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ แต่ก็จบ ภารกิจคือการบริหารนำพาประเทศไปสู่ความรุ่งโรจน์เพื่อผลประโยชน์ ความมั่นคง การอยู่ดีกินดีของประชาชน ตัวผู้นำไม่มีปัญหาด้านการทุจริต โกงกินอย่างไร้จิตสำนึก
นักการเมืองบ้านเราทุ่มเงินซื้อเสียงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ จากนั้นตั้งหน้าตั้งตาโกงกินถอนทุนบวกกำไร พาพรรคพวก ญาติพี่น้องมารุมกินโต๊ะประเทศ บางคนโกงกินหนักยังไม่พอ เปิดประเทศให้ต่างชาติเข้ามาปล้นทรัพยากรของชาติให้ตัวเองได้มีส่วนแบ่งอีกด้วย
การเมืองบ้านเราเน่ากว่าเยอะ ขบวนการโกงกินยังอยู่ดีกินดี รอเข้าไปโกงรอบใหม่!