สหรัฐอเมริกาโดยพฤติกรรมชอบโอ้อวด ชาวโลกส่วนหนึ่งยอมรับว่าเป็นอภิมหาอำนาจอันดับ 1 มักคุยทับถมชาติอื่นๆ นักการเมืองอเมริกันไปต่างประเทศจะวางก้าม ยิ่งถ้าไปตรวจการเลือกตั้งก็ชี้นิ้วสั่ง ตั้งเงื่อนไข ออกกฎหมายเล่นงานชาติอื่นเหมือนเขาเป็นลูกไล่
เป็นชาติมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 1 เช่นกัน การบริโภคด้วยความมั่งคั่งทำให้สหรัฐฯ เป็นตลาดสินค้านำเข้า หลายประเทศต้องพึ่งพา ทำให้สหรัฐฯ กลายสภาพเป็นประเทศลูกหนี้ใหญ่ที่สุดในโลก มีหนี้สินมหาศาลจนไม่สามารถจะใช้หนี้คืนได้หมดในชาตินี้
สหรัฐฯ เป็นชาติที่เก่งฉกาจในการใช้โฆษณาชวนเชื่อหลอกลวงผู้อื่น เช่น การใช้คำพูดรณรงค์จนทำให้ลัทธิคอมมิวนิสต์ดูชั่วร้าย ต้องถูกกำจัด แม้ต้องทำด้วยการใช้กำลังอาวุธบุกเข้าแทรกแซงยึดครองดินแดนอื่น เข่นฆ่าล้างผลาญอย่างไร้คุณธรรมแต่อ้างมนุษยธรรม
โดยพฤติกรรมสหรัฐฯ มีธรรมเนียมชอบเป็นผู้นำ ในหนังคาวบอยตะวันตกมีพระเอกสวมหน้ากากขี่ม้าขาวเป็นผู้กล้าเปี่ยมด้วยคุณธรรมจัดการผู้ร้าย มาถึงยุคอุตสาหกรรม การเงิน ตลาดหุ้นนักการเมืองหาเสียงโกหกคำโต สร้างธรรมเนียมหอมแก้มเด็กสร้างภาพ
ช่วง 50 กว่าปีก่อน สหรัฐฯ ป่าวร้องว่าประเทศที่ปกครองด้วยลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นเหมือนยักษ์มาร สหรัฐฯ ขอเป็นหัวโจกในการนำชาติอื่นๆ ต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะในยุโรป เอเชีย ละตินอเมริกา และภูมิภาคอื่นๆ รูปแบบที่ถนัดคือทำสงครามล้างผลาญ
ถ้ามีโอกาสก็ใช้วิธีลอบสังหารผู้นำ หนุนกองทัพให้ทำรัฐประหาร บ่อนทำลายความมั่นคงและวิธีอื่นๆ เพื่อเข้าครอบครองทรัพยากรธรรมชาติสำคัญ เช่น น้ำมัน แร่ธาตุ เป็นต้น และมักถูกยกให้เป็น “นายแสนดี” ด้วยการประโคมผ่านสื่อโฆษณาชวนเชื่อให้ตัวเองดูดี
ที่ถนัดคือ ถ้าจะหาเรื่องประเทศใด ถ้าไม่ใช่ชาติเล็กกระจ้อยร่อย เช่น กรานาดา ปานามา ก็ยกกองทัพเข้าจัดการแบบเดี่ยวๆ ถ้าประเมินแล้วดูว่าไม่หมูแน่ ก็ขอเป็นหัวโจกหาชาติอื่นมารับภาระ เช่นให้ส่งกองทัพมาช่วยรบ ตายแทน แบ่งให้รับภาระค่าใช้จ่าย
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐฯ เข้าไปยุ่มย่ามเกือบทั่วโลก ทำสงครามในหลายประเทศ เช่น สงครามเวียดนามนานเกือบ 20 ปี แต่พ่ายแพ้ไม่เป็นท่าแม้จะได้ทหารจากชาติอื่นๆ เข้าไปช่วยรบ เช่น ไทย ฟิลิปปินส์ เกาหลี ฯลฯ ลุกลามเข้าไปในลาวและกัมพูชา
หายกร่างไปนาน จนฟื้นฟูความมั่นใจด้วยการไปรบกับชาติเล็กๆ ในอเมริกากลางจากนั้นไปรบกับอิรัก เป็นสงครามในตะวันออกกลางมีพันธมิตรกว่า 30 ประเทศเข้าช่วย ขณะอิรักถูกป้ายสีว่าสะสมอาวุธทำลายล้างมหาศาล แต่ไม่สามารถหาหลักฐานพิสูจน์ได้
การทำตัวเป็นตำรวจโลก โจมตีชาติอื่นด้วยพลังทางเศรษฐกิจได้สร้างความหมั่นไส้จนถึงเกลียดชังแก่หลายชาติ อิหร่านในยุคอิหม่ามโคไมนีเป็นผู้นำ ได้เรียกสหรัฐฯ ว่าเป็น “ซาตานผู้ยิ่งใหญ่” สร้างความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันจนทุกวันนี้ ก่อนสหรัฐฯ ไปง้อขอคืนดีด้วย
แม้จะเป็นมหาอำนาจ สหรัฐฯ ไม่ยอมสู้เดี่ยว ต้องหาพวกไปเยอะ แต่ขอเป็นผู้นำ หัวโจกในการกำหนดเกมแบบเอาเปรียบ ในสงครามกับอิรัก ประธานาธิบดีจอร์จ บุช ตัวพ่อต้องระดมพันธมิตรกว่า 30 ชาติร่วมรบไล่กองทัพอิรักให้ออกจากการยึดครองแผ่นดินคูเวต
นับเป็นการรวมตัวกันมากครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การสงคราม แต่สหรัฐฯ ก็ไม่เคยรบในบ้าน ทุกครั้งที่เกิดวิกฤตสหรัฐฯ จะส่งทหารไปรบในต่างประเทศ เช่น ในอัฟกานิสถาน อิรัก และไปในศึกชิงการครอบครองซีเรีย รบมากแต่ไม่ชนะเด็ดขาดแบบขุดรากถอนโคน
มาถึงยุคนี้ สหรัฐฯ เริ่มวิตกว่าความเป็นชาติผู้นำมีปัญหา จีนได้ผู้นำรุ่นใหม่เน้นการปราบปรามการทุจริต มีความก้าวหน้าด้านการเมืองและระบอบทุนนิยม ขณะที่สลัดทิ้งลัทธิคอมมิวนิสต์ ใช้เสรีนิยมทำเศรษฐกิจการเมืองให้รุ่งเรือง รัสเซียก็เร่งปรับตัวทุกด้าน
สหรัฐฯ ได้เข้าสู่สภาวะความเป็นปฏิปักษ์กับรัสเซียและจีน ผู้นำคนใหม่มีแนวทางคลุมเครือ พฤติกรรมแปรปรวน มีท่าทีก้าวร้าว กร่าง ข่มขู่คุกคามว่าจะใช้นโยบายค้าขายเป็นมาตรการคว่ำบาตรทางการเศรษฐกิจต่อรัสเซีย โดยใช้ชาติในยุโรปเป็นตัวช่วยหลัก
แต่รัสเซียปัจจุบันไม่ขาดแคลนอาหาร สิ่งของจำเป็นทำให้ประชาชนต้องเข้าคิวหลายชั่วโมงเพื่อซื้อสินค้ามีจำนวนจำกัดเหมือนยุคก่อนปฏิรูป เดี๋ยวนี้มีน้ำมัน เงิน ทองคำสำรอง เศรษฐกิจมั่นคง อาวุธทันสมัย สหรัฐฯ และยุโรปตะวันตกมีปัญหาจนเกือบเป็นวิกฤตทั่วโลก
เว้นแต่ทำสงครามในอัฟกานิสถานนาน 10 ปีนับจากการเข้ายึดในปี 1979 รัสเซียไม่ได้ทำสงครามที่ไหนอีก จีนก็เช่นกันหลังจากสงครามเกาหลีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มุ่งแต่สร้างพลังเศรษฐกิจภายใต้ระบบทุนนิยมจนรุ่งเรือง แต่สหรัฐฯ ยังคงรับบทเป็นตำรวจโลก
ในยุคที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้นำแบบคนอารมณ์แปรปรวน สไตล์โฉ่งฉ่าง นโยบายห้าว กร่าง ไม่แคร์ใคร จนได้บทเรียนเจ็บปวดจากนักการเมืองและกลุ่มพลังแฝงเร้นมีผลประโยชน์ลงรากหยั่งลึก จนขับเคลื่อนนโยบายหลักไม่สำเร็จ ต้องเร่งหาผลงาน
การสั่งโจมตีฐานทัพซีเรียหวังผลหลายด้าน ทั้งต้องการตีจากการถูกมองว่ามีอี๋อ๋อกับรัสเซีย ทำให้ทรัมป์ต้องหาแผนต่อเนื่องเพื่อเสริมสถานะความเป็นผู้นำ นั่นคือเรียกประชุมกลุ่มประเทศ จี-7 โดยมีประเทศอาหรับเข้าร่วมหวังเพิ่มมาตรการในการคว่ำบาตรรัสเซีย
แต่ก็ไม่ง่าย ประเทศอื่น รวมทั้งอิตาลีไม่ยอมเออออด้วย ชาติอื่นๆ ในยุโรปซึ่งได้รับผลกระทบจากการเดินตามก้นสหรัฐฯ ในการคว่ำบาตรรัสเซีย ไม่ยอมเดินตามแต่ไม่แสดงออกชัด การประชุมเกิดขึ้นก่อนที่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ไปเจรจากับผู้นำรัสเซีย
ถึงไม่ขี่ม้าขาว สหรัฐฯ ก็ยังสวมหน้ากาก จะไปเจรจากับรัสเซียแต่ดันหาพวกเข้าร่วมเล่นงานรัสเซีย จะหวังผลด้านดีได้อย่างไร สหรัฐฯ ก็ยังทำโดยเชื่อว่าความเป็นผู้นำโลกนั้นชาติอื่นต้องเกรงใจ แบบนี้ต้องถามผู้นำคิม จอง อึนแห่งเกาหลีเหนือก่อนว่า “กลัวมั้ย?”
คำตอบของคิมมาก่อนคำถาม “เอ็งจะมาแบบไหน ข้าพร้อมรบ” ทรัมป์เสียหน้ามั้ย?
เป็นชาติมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 1 เช่นกัน การบริโภคด้วยความมั่งคั่งทำให้สหรัฐฯ เป็นตลาดสินค้านำเข้า หลายประเทศต้องพึ่งพา ทำให้สหรัฐฯ กลายสภาพเป็นประเทศลูกหนี้ใหญ่ที่สุดในโลก มีหนี้สินมหาศาลจนไม่สามารถจะใช้หนี้คืนได้หมดในชาตินี้
สหรัฐฯ เป็นชาติที่เก่งฉกาจในการใช้โฆษณาชวนเชื่อหลอกลวงผู้อื่น เช่น การใช้คำพูดรณรงค์จนทำให้ลัทธิคอมมิวนิสต์ดูชั่วร้าย ต้องถูกกำจัด แม้ต้องทำด้วยการใช้กำลังอาวุธบุกเข้าแทรกแซงยึดครองดินแดนอื่น เข่นฆ่าล้างผลาญอย่างไร้คุณธรรมแต่อ้างมนุษยธรรม
โดยพฤติกรรมสหรัฐฯ มีธรรมเนียมชอบเป็นผู้นำ ในหนังคาวบอยตะวันตกมีพระเอกสวมหน้ากากขี่ม้าขาวเป็นผู้กล้าเปี่ยมด้วยคุณธรรมจัดการผู้ร้าย มาถึงยุคอุตสาหกรรม การเงิน ตลาดหุ้นนักการเมืองหาเสียงโกหกคำโต สร้างธรรมเนียมหอมแก้มเด็กสร้างภาพ
ช่วง 50 กว่าปีก่อน สหรัฐฯ ป่าวร้องว่าประเทศที่ปกครองด้วยลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นเหมือนยักษ์มาร สหรัฐฯ ขอเป็นหัวโจกในการนำชาติอื่นๆ ต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะในยุโรป เอเชีย ละตินอเมริกา และภูมิภาคอื่นๆ รูปแบบที่ถนัดคือทำสงครามล้างผลาญ
ถ้ามีโอกาสก็ใช้วิธีลอบสังหารผู้นำ หนุนกองทัพให้ทำรัฐประหาร บ่อนทำลายความมั่นคงและวิธีอื่นๆ เพื่อเข้าครอบครองทรัพยากรธรรมชาติสำคัญ เช่น น้ำมัน แร่ธาตุ เป็นต้น และมักถูกยกให้เป็น “นายแสนดี” ด้วยการประโคมผ่านสื่อโฆษณาชวนเชื่อให้ตัวเองดูดี
ที่ถนัดคือ ถ้าจะหาเรื่องประเทศใด ถ้าไม่ใช่ชาติเล็กกระจ้อยร่อย เช่น กรานาดา ปานามา ก็ยกกองทัพเข้าจัดการแบบเดี่ยวๆ ถ้าประเมินแล้วดูว่าไม่หมูแน่ ก็ขอเป็นหัวโจกหาชาติอื่นมารับภาระ เช่นให้ส่งกองทัพมาช่วยรบ ตายแทน แบ่งให้รับภาระค่าใช้จ่าย
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐฯ เข้าไปยุ่มย่ามเกือบทั่วโลก ทำสงครามในหลายประเทศ เช่น สงครามเวียดนามนานเกือบ 20 ปี แต่พ่ายแพ้ไม่เป็นท่าแม้จะได้ทหารจากชาติอื่นๆ เข้าไปช่วยรบ เช่น ไทย ฟิลิปปินส์ เกาหลี ฯลฯ ลุกลามเข้าไปในลาวและกัมพูชา
หายกร่างไปนาน จนฟื้นฟูความมั่นใจด้วยการไปรบกับชาติเล็กๆ ในอเมริกากลางจากนั้นไปรบกับอิรัก เป็นสงครามในตะวันออกกลางมีพันธมิตรกว่า 30 ประเทศเข้าช่วย ขณะอิรักถูกป้ายสีว่าสะสมอาวุธทำลายล้างมหาศาล แต่ไม่สามารถหาหลักฐานพิสูจน์ได้
การทำตัวเป็นตำรวจโลก โจมตีชาติอื่นด้วยพลังทางเศรษฐกิจได้สร้างความหมั่นไส้จนถึงเกลียดชังแก่หลายชาติ อิหร่านในยุคอิหม่ามโคไมนีเป็นผู้นำ ได้เรียกสหรัฐฯ ว่าเป็น “ซาตานผู้ยิ่งใหญ่” สร้างความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันจนทุกวันนี้ ก่อนสหรัฐฯ ไปง้อขอคืนดีด้วย
แม้จะเป็นมหาอำนาจ สหรัฐฯ ไม่ยอมสู้เดี่ยว ต้องหาพวกไปเยอะ แต่ขอเป็นผู้นำ หัวโจกในการกำหนดเกมแบบเอาเปรียบ ในสงครามกับอิรัก ประธานาธิบดีจอร์จ บุช ตัวพ่อต้องระดมพันธมิตรกว่า 30 ชาติร่วมรบไล่กองทัพอิรักให้ออกจากการยึดครองแผ่นดินคูเวต
นับเป็นการรวมตัวกันมากครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การสงคราม แต่สหรัฐฯ ก็ไม่เคยรบในบ้าน ทุกครั้งที่เกิดวิกฤตสหรัฐฯ จะส่งทหารไปรบในต่างประเทศ เช่น ในอัฟกานิสถาน อิรัก และไปในศึกชิงการครอบครองซีเรีย รบมากแต่ไม่ชนะเด็ดขาดแบบขุดรากถอนโคน
มาถึงยุคนี้ สหรัฐฯ เริ่มวิตกว่าความเป็นชาติผู้นำมีปัญหา จีนได้ผู้นำรุ่นใหม่เน้นการปราบปรามการทุจริต มีความก้าวหน้าด้านการเมืองและระบอบทุนนิยม ขณะที่สลัดทิ้งลัทธิคอมมิวนิสต์ ใช้เสรีนิยมทำเศรษฐกิจการเมืองให้รุ่งเรือง รัสเซียก็เร่งปรับตัวทุกด้าน
สหรัฐฯ ได้เข้าสู่สภาวะความเป็นปฏิปักษ์กับรัสเซียและจีน ผู้นำคนใหม่มีแนวทางคลุมเครือ พฤติกรรมแปรปรวน มีท่าทีก้าวร้าว กร่าง ข่มขู่คุกคามว่าจะใช้นโยบายค้าขายเป็นมาตรการคว่ำบาตรทางการเศรษฐกิจต่อรัสเซีย โดยใช้ชาติในยุโรปเป็นตัวช่วยหลัก
แต่รัสเซียปัจจุบันไม่ขาดแคลนอาหาร สิ่งของจำเป็นทำให้ประชาชนต้องเข้าคิวหลายชั่วโมงเพื่อซื้อสินค้ามีจำนวนจำกัดเหมือนยุคก่อนปฏิรูป เดี๋ยวนี้มีน้ำมัน เงิน ทองคำสำรอง เศรษฐกิจมั่นคง อาวุธทันสมัย สหรัฐฯ และยุโรปตะวันตกมีปัญหาจนเกือบเป็นวิกฤตทั่วโลก
เว้นแต่ทำสงครามในอัฟกานิสถานนาน 10 ปีนับจากการเข้ายึดในปี 1979 รัสเซียไม่ได้ทำสงครามที่ไหนอีก จีนก็เช่นกันหลังจากสงครามเกาหลีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มุ่งแต่สร้างพลังเศรษฐกิจภายใต้ระบบทุนนิยมจนรุ่งเรือง แต่สหรัฐฯ ยังคงรับบทเป็นตำรวจโลก
ในยุคที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้นำแบบคนอารมณ์แปรปรวน สไตล์โฉ่งฉ่าง นโยบายห้าว กร่าง ไม่แคร์ใคร จนได้บทเรียนเจ็บปวดจากนักการเมืองและกลุ่มพลังแฝงเร้นมีผลประโยชน์ลงรากหยั่งลึก จนขับเคลื่อนนโยบายหลักไม่สำเร็จ ต้องเร่งหาผลงาน
การสั่งโจมตีฐานทัพซีเรียหวังผลหลายด้าน ทั้งต้องการตีจากการถูกมองว่ามีอี๋อ๋อกับรัสเซีย ทำให้ทรัมป์ต้องหาแผนต่อเนื่องเพื่อเสริมสถานะความเป็นผู้นำ นั่นคือเรียกประชุมกลุ่มประเทศ จี-7 โดยมีประเทศอาหรับเข้าร่วมหวังเพิ่มมาตรการในการคว่ำบาตรรัสเซีย
แต่ก็ไม่ง่าย ประเทศอื่น รวมทั้งอิตาลีไม่ยอมเออออด้วย ชาติอื่นๆ ในยุโรปซึ่งได้รับผลกระทบจากการเดินตามก้นสหรัฐฯ ในการคว่ำบาตรรัสเซีย ไม่ยอมเดินตามแต่ไม่แสดงออกชัด การประชุมเกิดขึ้นก่อนที่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ไปเจรจากับผู้นำรัสเซีย
ถึงไม่ขี่ม้าขาว สหรัฐฯ ก็ยังสวมหน้ากาก จะไปเจรจากับรัสเซียแต่ดันหาพวกเข้าร่วมเล่นงานรัสเซีย จะหวังผลด้านดีได้อย่างไร สหรัฐฯ ก็ยังทำโดยเชื่อว่าความเป็นผู้นำโลกนั้นชาติอื่นต้องเกรงใจ แบบนี้ต้องถามผู้นำคิม จอง อึนแห่งเกาหลีเหนือก่อนว่า “กลัวมั้ย?”
คำตอบของคิมมาก่อนคำถาม “เอ็งจะมาแบบไหน ข้าพร้อมรบ” ทรัมป์เสียหน้ามั้ย?