xs
xsm
sm
md
lg

รสนาจี้สตง.ยึดเงิน48ล. คดี"เชฟรอน"เป็นรายได้แผ่นดิน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว. กรุงเทพฯ และสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติได้ส่งหนังสือร้องเรียนถึง คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) และผู้ว่าฯสตง. ให้ตรวจสอบคดีเชฟรอน ตามเนื้อความดังนี้
"สืบเนื่องจากคดีที่เรือ 8 ลำของบริษัท เชฟรอนสำรวจและผลิต (สผ.)จำกัด ได้ใช้น้ำมันที่มีมาร์กเกอร์ว่า เป็นน้ำมันส่งออกมาวิ่งในน่านน้ำอ่าวไทย และถูกจับได้ที่ด่านสงขลา เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2557
บริษัท เชฟรอน สผ.จำกัด ทำเรื่องขอระงับคดีกับด่านศุลกากรที่สงขลา โดยยอมให้ยึดน้ำมันจำนวนกว่า 1.6 ล้านลิตร โดยด่านศุลกากรสงขลา ได้ขายน้ำมันจำนวนดังกล่าวเป็นเงิน 48 ล้านบาท และยึดไว้เพื่อรอส่งเข้าเป็นรายได้แผ่นดิน
เนื่องจากมูลค่าของเงินที่ยึดไว้เกินกว่า 5 แสนบาท ด่านสงขลา ไม่สามารถอนุมัติการระงับคดีได้เอง จึงต้องส่งไปให้คณะกรรมการเปรียบเทียบระงับคดีตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พิจารณาอนุมัติ แต่จนถึงบัดนี้ เวลาล่วงเลยมาเกินกว่า 2 ปี แต่คณะกรรมการชุดดังกล่าว ก็ยังมิได้อนุมัติการระงับคดีดังกล่าว เพื่อจะได้นำส่งรายได้ 48 ล้านบาทเข้าเป็นงบประมาณแผ่นดิน
จึงขอร้องเรียนมายังคณะกรรมการการตรวจเงินแผ่นดิน และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
1. ให้มีการตรวจสอบสำนักกฎหมายกรมศุลกากร และเร่งรัดคดีนี้เพื่อจะได้นำส่งเงินที่ยึดไว้ 48 ล้านบาท ส่งเข้าเป็นรายได้แผ่นดินโดยเร็ว
2. ประการต่อมา สืบเนื่องจากการประชุมของกระทรวงการคลัง เพื่อหารือเกี่ยวกับการดำเนินการพิธีการศุลกากร กรณีการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงไปยังพื้นที่สัมปทานปิโตรเลียมในเขตไหล่ทวีปบริเวณทะเลอ่าวไทย เมื่อวันศุกร์ที่ 16 ก.ย.59 ในหน้า10 ย่อหน้าที่ 2 นางจิตรา ณีศะนันท์ นักตรวจสอบภาษีชำนาญการชี้แจงว่า
"ในกรณีของบริษัท เชฟรอนฯ [บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด] จะต้องถือว่าเป็นการนำเข้าเนื่องจากบริษัท เชฟรอนฯ ยังคงเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม(vat)อยู่ แต่ฐาน vat อาจจะไม่ตรง เนื่องจากตอนที่มีการซื้อเข้ามา ราคายังไม่ได้รวมภาษีสรรพสามิตกับภาษีกองทุน ซึ่งมีแต่ราคาขาย จึงเป็น vatที่แจ้งไว้เป็นจำนวนที่ต่ำ ซึ่งทางบริษัท เชฟรอนฯ ซื้อน้ำมันจากโรงกลั่นน้ำมันจากราชอาณาจักรไปยังแท่นขุดเจาะน้ำมัน จะต้องถือเป็นการขายภายในราชอาณาจักร แต่เนื่องจากภาษีสรรพสามิตขอยกเว้น จึงทำให้ฐานของ vatหายไปจากภาษีสรรพสามิตที่ยกเว้นรวมถึงภาษีกองทุนด้วย"
โดยที่การออกหมายเรียกเพื่อประเมินภาษี มีอายุความ 5 ปี หากกรณีนี้ปล่อยให้เนิ่นช้าไป อาจทำให้คดีดังกล่าวหมดอายุความ เป็นการเสียประโยชน์ของแผ่นดินที่จะไม่สามารถเรียกเก็บภาษีที่รัฐควรจะได้รับอย่างครบถ้วน
จึงเรียนมา เพื่อให้ขอให้ทางคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินโปรดพิจารณาดำเนินการตรวจสอบทั้ง 2 กรณีโดยเร่งด่วน"
ต่อมาวันที่ 5 พ.ย. นางสาวรสนา ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก“รสนา โตสิตระกูล”ว่า "หากต้องรอคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความข้อกฎหมายเรื่องนี้ใหม่อีกครั้ง ซึ่งไม่ทราบว่าจะใช้เวลานานสักเท่าไร ถ้าคณะกรรมการกฤษฎีกาต้องใช้เวลาตีความนานสัก 1 ปี หมายความว่า ประเทศชาติต้องเสียประโยชน์เรื่องภาษีที่รัฐจะเรียกคืนจากบริษัทน้ำมันไปนานเท่านั้น
ยิ่งกว่านั้น ภาษีมูลค่าเพิ่มที่บริษัท เชฟรอนฯได้จ่ายให้กรมสรรพากรไว้ต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะเป็นการจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มจากฐานราคาเนื้อน้ำมันที่ยังไม่ได้รวมภาษีสรรพสามิต และกองทุนน้ำมัน
หากมีการสรุปได้ว่าการส่งน้ำมันไปที่แท่นขุดเจาะ คือ การค้าชายฝั่งที่ต้องเสียภาษีตามปกติ จะต้องมีการเรียกเก็บภาษีคืนจากบริษัท เชฟรอนฯ ก็จะยังมีปัญหาเกี่ยวกับการเรียกประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะการออกหมายเรียกบริษัทน้ำมันมาประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม มีอายุความ 5 ปี กรณีนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2554 จึงอาจมีภาษีมูลค่าเพิ่มบางส่วนที่หมดอายุความไปแล้ว ไม่สามารถเรียกคืนได้ และถ้ายิ่งปล่อยให้การจัดการเรื่องนี้เนิ่นช้าออกไป ก็หมายถึงจะมีภาษีมูลค่าเพิ่มที่ประเมินไม่ถูกต้องทะยอยหมดอายุความไปเรื่อยๆ โดยที่รัฐเรียกเก็บไม่ได้
จึงขอเรียกร้องให้รัฐมนตรีคลัง ปลัดฯคลัง อธิบดีกรมศุลกากร อธิบดีกรมสรรพากร และผู้บริหารท่านใดก็ตาม ที่เห็นร่วมกันว่าต้องยื้อเวลาเพื่อตีความเรื่องนี้ใหม่อีกครั้งเพื่อให้ความเป็นธรรมกับข้าราชการและบริษัทน้ำมัน ก็ช่วยพิจารณาให้ความเป็นธรรมต่อประเทศด้วย กล่าวคือ หากกฤษฎีกาวินิจฉัยซ้ำอีกว่า การส่งน้ำมันไปยังแท่นขุดเจาะในพื้นที่ไหล่ทวีป ถือว่าเป็นการค้าขายในราชอาณาจักร ที่ต้องเสียภาษี ก็ขอให้บุคคลที่กล่าวถึงข้างต้น แสดงความรับผิดชอบภาษีที่รัฐเรียกคืนไม่ได้ โดยคนเหล่านี้ร่วมกันรับผิดชอบจ่ายคืนความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่รัฐเหมือนกรณีจำนำข้าวด้วย ทั้งนี้ นอกเหนือจากความผิดในฐานการละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญาม.157
กำลังโหลดความคิดเห็น