นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงข้อเสนอของนายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่จะเสนอคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีอำนาจอายัดเงินกลุ่มทุนที่ซื้อเสียงว่า ปัญหาการเมืองไทยที่วิกฤตอยู่ตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา คือการใช้อำนาจเงินและการใช้อำนาจรัฐเพื่อประโยชน์ของตน ดังนั้นกระบวนการที่ทำลายการซื้อเสียง หรือการใช้อำนาจรัฐไปในทางที่ไม่ถูกต้องนั้น ต้องถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งตนเห็นด้วย และขอสนับสนุน เพราะถือเป็นกระบวนการที่ใช้ยาแรงโดยอำนาจรัฐ เชื่อว่าจะสามารถแก้ปัญหาการซื้อเสียงได้
ส่วนที่ระบุว่า หากพบนักการเมืองอยู่เบื้องหลังม็อบอาจถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิตนั้น ตนเห็นว่าการมีความเห็นต่างกับรัฐ ในหลักประชาธิปไตยมีทั้งเสียงข้างมาก และเสียงข้างน้อย แปลว่าเสียงข้างมากบริหารแต่ต้องฟังเสียงข้างน้อย เพราะฉะนั้นการที่ออกกฎใดๆ โดยปิดกั้นเสียงข้างน้อยต้องพึ่งระมัดระวังเพราะจะไม่เป็นประชาธิปไตย ดังนั้นในส่วนนี้ตนเห็นว่า ควรต้องยอมรับความแตกต่างในระบอบประชาธิปไตย คือต้องยอมรับความเห็นต่างหากการกระทำอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายเช่นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 รัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งเป็นการใช้สิทธิ์โดยสงบ และปราศจากอาวุธ หากผู้กระทำกระทำการอยู่ ภายในกรอบของกฎหมายดังกล่าวต้องบัญญัติให้มีสิทธิ แต่การกระทำที่ไม่สงบ และมีอาวุธหรือการเข่นฆ่าประชาชน เช่นเหตุการณ์ในปี 52 หรือสังหารผู้ที่มาชุมนุมในสมัย กปปส. อย่างนี้ต้องลงโทษให้เด็ดขาด และต้องสืบหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังหรือสั่งการด้วย รวมถึงอำนาจรัฐที่สนับสนุนการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เช่น ช่วยเหลือสนับสนุนในการสั่งไม่ฟ้องหรือไม่ดำเนินคดีกับฝ่ายของตนหรือพวกของตนซึ่งกระทำผิดอย่างชัดเจน อย่างนี้ก็ต้องยกร่างกฎหมายบังคับเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใช้อำนาจที่ใช้อำนาจที่มีอยู่เพื่อช่วยเหลือพรรคพวกของตนให้พ้นผิดอย่างนี้ต้องลงโทษเด็ดขาด
ส่วนที่ระบุว่า หากพบนักการเมืองอยู่เบื้องหลังม็อบอาจถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิตนั้น ตนเห็นว่าการมีความเห็นต่างกับรัฐ ในหลักประชาธิปไตยมีทั้งเสียงข้างมาก และเสียงข้างน้อย แปลว่าเสียงข้างมากบริหารแต่ต้องฟังเสียงข้างน้อย เพราะฉะนั้นการที่ออกกฎใดๆ โดยปิดกั้นเสียงข้างน้อยต้องพึ่งระมัดระวังเพราะจะไม่เป็นประชาธิปไตย ดังนั้นในส่วนนี้ตนเห็นว่า ควรต้องยอมรับความแตกต่างในระบอบประชาธิปไตย คือต้องยอมรับความเห็นต่างหากการกระทำอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายเช่นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 รัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งเป็นการใช้สิทธิ์โดยสงบ และปราศจากอาวุธ หากผู้กระทำกระทำการอยู่ ภายในกรอบของกฎหมายดังกล่าวต้องบัญญัติให้มีสิทธิ แต่การกระทำที่ไม่สงบ และมีอาวุธหรือการเข่นฆ่าประชาชน เช่นเหตุการณ์ในปี 52 หรือสังหารผู้ที่มาชุมนุมในสมัย กปปส. อย่างนี้ต้องลงโทษให้เด็ดขาด และต้องสืบหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังหรือสั่งการด้วย รวมถึงอำนาจรัฐที่สนับสนุนการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เช่น ช่วยเหลือสนับสนุนในการสั่งไม่ฟ้องหรือไม่ดำเนินคดีกับฝ่ายของตนหรือพวกของตนซึ่งกระทำผิดอย่างชัดเจน อย่างนี้ก็ต้องยกร่างกฎหมายบังคับเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใช้อำนาจที่ใช้อำนาจที่มีอยู่เพื่อช่วยเหลือพรรคพวกของตนให้พ้นผิดอย่างนี้ต้องลงโทษเด็ดขาด