"บิ๊กโด่ง" นั่งหัวโต๊ะประชุมแบ่งงานคปต.ส่วนหน้าในกลุ่มงานรักษาความปลอดภัย เผยประเมินผลทุก 3 เดือนรายงาน"บิ๊กป้อม" ย้ำเจ้าหน้าที่อุดช่องโหว่ป้องกันเหตุร้าย เล็งใช้ม.21 เปิดทางคนกลับใจ เข้ารับการฝึกอบรม แทนถูกดำเนินคดี แก้ปัญหาภาคใต้
วานนี้ (26 ต.ค.) ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ในฐานะประธานคณะผู้แทนพิเศษ ของคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต. ส่วนหน้า) เป็นประธานประชุม กลุ่มภารกิจงานที่ 1 งานรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน โดยมีคณะผู้แทนพิเศษกลุ่มภารกิจงานที่ 1 ประกอบด้วย พล.อ.ปราการ ชลยุทธ , พล.อ. อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ ,พล.ท.วิวรรธน์ ปฐมภาคย์ และ พล.อ.มณี จันทร์ทิพย์ เข้าร่วมประชุม
พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า หลังจากแบ่งมอบงานได้กำหนดช่วงเวลา ตั้งแต่วันที่ 6 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยรายละเอียดกลุ่มงานต่างๆ ที่ได้มอบหมายให้คณะผู้แทนพิเศษฯ 12 คน ได้แจกจ่ายเอกสารในเรื่องแผนการ โครงการ และงบประมาณของกลุ่มงาน และกระทรวงต่างๆ หลังจากนั้นคณะผู้แทนพิเศษฯ แต่ละคนก็จะลงไปปฏิบัติในพื้นที่ ทั้งนี้ตนอยากให้รับฟังข้อคิดเห็นของหน่วยที่ได้ทำแผนงานปี 2560 ไว้ว่า นอกจากศึกษาเอกสารแล้ว ในส่วนที่เกี่ยวกับความคิดเห็นของส่วนราชการต่างๆมีแผนงาน งบประมาณ โครงการอะไรบ้าง และสิ่งใดที่เขาเห็นว่าเร่งด่วน และคิดเห็นตรงกับคณะทำงานชุดนี้ หรือไม่ รวมถึงสิ่งที่เคยดำเนินการในปีที่ผ่านมา เพื่อเป็นประโยชน์ให้ส่วนราชการได้มาทบทวนแผนงาน
พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ได้ให้นโยบายการขับเคลื่อนการดำเนินงานต่างๆ โดยเฉพาะการประสานงานทุกระดับ และแนะนำส่วนราชการต่างๆได้ พร้อมทั้งเน้นย้ำให้บูรณาการของหลายหน่วยงาน เช่น โครงการนำผู้หลงผิดกลับสู่สังคมที่เกี่ยวพันกับหลายส่วน ซึ่งมีข้อคิดเห็นกรอบพื้นที่ และรายชื่อที่เข้ามาในโครงการพาคนกลับบ้าน ขณะนี้มีจำนวนประมาณ 4,000 คน ซึ่งต้องมีลำดับความสำคัญว่าจะต้องดูแลใครก่อน หลัง เพื่อเร่งดำเนินการต่อไป
ส่วนกรณีที่ยังเกิดเหตุการณ์รุนแรงในพื้นที่จชต. นั้นรมช.กลาโหม กล่าวว่า เราอยู่ในส่วนการขับเคลื่อนนโยบาย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เหตุร้ายรายวัน เพราะที่ผ่านมาเว้นการเกิดเหตุมาพอสมควร ซึ่งหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า เกี่ยวข้องกับวันสำคัญต่างๆ นั้น ตนคิดว่าเป็นไปได้
"เราต้องให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงาน ทุกคนไม่ว่าจะเป็นผบ.ทบ. , แม่ทัพภาคที่ 4 ตั้งใจทำงาน รวมถึงการดูแลงานด้านการข่าว แต่ก็เกิดเหตุ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียใจ อาจเป็นช่องโหว่ของเจ้าหน้าที่บ้าง แต่ก็เน้นย้ำให้พยายามดูแลให้ดีที่สุด อย่าให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำในพื้นที่เขตเมือง และ ชุมชน และถนนเส้นหลักอีก ที่พูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะทิ้งพื้นที่ชนบท และถนนเส้นรองต่างๆ ดังนั้นเราต้องดูแลให้ทั่วถึงโดยเราจะกำกับดูแลเร่งรัดหน่วยปฏิบัติ และพยายามไม่ให้เกิดช่องว่างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน" พล.อ.อุดมเดช กล่าว และว่า การทำงานของเรา ต้องมีการประเมินผลในทุก 3 เดือน โดยเราจะประเมินผลงานผู้ปฏิบัติ พร้อมรายงาน พล.อ.ประวิตร ต่อไป
มีรายงานว่า คณะผู้แทนพิเศษรัฐบาล เปิดเผยว่าอาจมีการหารือในที่ประชุมเรื่อง มาตรา 21 พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ปี 2551 การเปิดโอกาสให้บุคคลที่ถูกต้องหาว่ากระทำความผิดตามฐานความผิดที่รัฐกำหนดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่“กลับใจยอมเข้ามอบตัว”หรือ“กระทำไปเพราะหลงผิด”ได้เข้ารับการฝึกอบรมจากรัฐเป็นเวลาไม่เกิน 6 เดือน แทนการถูกดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งต้องรับโทษจากการกระทำความผิดนั้น
วานนี้ (26 ต.ค.) ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ในฐานะประธานคณะผู้แทนพิเศษ ของคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต. ส่วนหน้า) เป็นประธานประชุม กลุ่มภารกิจงานที่ 1 งานรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน โดยมีคณะผู้แทนพิเศษกลุ่มภารกิจงานที่ 1 ประกอบด้วย พล.อ.ปราการ ชลยุทธ , พล.อ. อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ ,พล.ท.วิวรรธน์ ปฐมภาคย์ และ พล.อ.มณี จันทร์ทิพย์ เข้าร่วมประชุม
พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า หลังจากแบ่งมอบงานได้กำหนดช่วงเวลา ตั้งแต่วันที่ 6 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยรายละเอียดกลุ่มงานต่างๆ ที่ได้มอบหมายให้คณะผู้แทนพิเศษฯ 12 คน ได้แจกจ่ายเอกสารในเรื่องแผนการ โครงการ และงบประมาณของกลุ่มงาน และกระทรวงต่างๆ หลังจากนั้นคณะผู้แทนพิเศษฯ แต่ละคนก็จะลงไปปฏิบัติในพื้นที่ ทั้งนี้ตนอยากให้รับฟังข้อคิดเห็นของหน่วยที่ได้ทำแผนงานปี 2560 ไว้ว่า นอกจากศึกษาเอกสารแล้ว ในส่วนที่เกี่ยวกับความคิดเห็นของส่วนราชการต่างๆมีแผนงาน งบประมาณ โครงการอะไรบ้าง และสิ่งใดที่เขาเห็นว่าเร่งด่วน และคิดเห็นตรงกับคณะทำงานชุดนี้ หรือไม่ รวมถึงสิ่งที่เคยดำเนินการในปีที่ผ่านมา เพื่อเป็นประโยชน์ให้ส่วนราชการได้มาทบทวนแผนงาน
พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ได้ให้นโยบายการขับเคลื่อนการดำเนินงานต่างๆ โดยเฉพาะการประสานงานทุกระดับ และแนะนำส่วนราชการต่างๆได้ พร้อมทั้งเน้นย้ำให้บูรณาการของหลายหน่วยงาน เช่น โครงการนำผู้หลงผิดกลับสู่สังคมที่เกี่ยวพันกับหลายส่วน ซึ่งมีข้อคิดเห็นกรอบพื้นที่ และรายชื่อที่เข้ามาในโครงการพาคนกลับบ้าน ขณะนี้มีจำนวนประมาณ 4,000 คน ซึ่งต้องมีลำดับความสำคัญว่าจะต้องดูแลใครก่อน หลัง เพื่อเร่งดำเนินการต่อไป
ส่วนกรณีที่ยังเกิดเหตุการณ์รุนแรงในพื้นที่จชต. นั้นรมช.กลาโหม กล่าวว่า เราอยู่ในส่วนการขับเคลื่อนนโยบาย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เหตุร้ายรายวัน เพราะที่ผ่านมาเว้นการเกิดเหตุมาพอสมควร ซึ่งหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า เกี่ยวข้องกับวันสำคัญต่างๆ นั้น ตนคิดว่าเป็นไปได้
"เราต้องให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงาน ทุกคนไม่ว่าจะเป็นผบ.ทบ. , แม่ทัพภาคที่ 4 ตั้งใจทำงาน รวมถึงการดูแลงานด้านการข่าว แต่ก็เกิดเหตุ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียใจ อาจเป็นช่องโหว่ของเจ้าหน้าที่บ้าง แต่ก็เน้นย้ำให้พยายามดูแลให้ดีที่สุด อย่าให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำในพื้นที่เขตเมือง และ ชุมชน และถนนเส้นหลักอีก ที่พูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะทิ้งพื้นที่ชนบท และถนนเส้นรองต่างๆ ดังนั้นเราต้องดูแลให้ทั่วถึงโดยเราจะกำกับดูแลเร่งรัดหน่วยปฏิบัติ และพยายามไม่ให้เกิดช่องว่างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน" พล.อ.อุดมเดช กล่าว และว่า การทำงานของเรา ต้องมีการประเมินผลในทุก 3 เดือน โดยเราจะประเมินผลงานผู้ปฏิบัติ พร้อมรายงาน พล.อ.ประวิตร ต่อไป
มีรายงานว่า คณะผู้แทนพิเศษรัฐบาล เปิดเผยว่าอาจมีการหารือในที่ประชุมเรื่อง มาตรา 21 พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ปี 2551 การเปิดโอกาสให้บุคคลที่ถูกต้องหาว่ากระทำความผิดตามฐานความผิดที่รัฐกำหนดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่“กลับใจยอมเข้ามอบตัว”หรือ“กระทำไปเพราะหลงผิด”ได้เข้ารับการฝึกอบรมจากรัฐเป็นเวลาไม่เกิน 6 เดือน แทนการถูกดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งต้องรับโทษจากการกระทำความผิดนั้น