วานนี้ (20ก.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้ประชุมร่วมกับ นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผู้บังคับการตํารวจท่องเที่ยว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญ โดยกล่าวภายหลังการประชุมว่า เรากำลังแก้ไขปัญหาตามระเบียบ ตามกฎหมาย และขณะนี้ไทยและจีน ก็มีการคุยกันอยู่แล้ว เพื่อทำให้ถูกต้อง โดยทางจีนก็ต้องการทำให้ถูกต้อง ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด ทั้งนี้ไม่ต้องไปชี้แจงกับทางจีน เพราะจะมีการเซ็นต์เอ็มโอยู ในเรื่องการท่องเที่ยวร่วมกับองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศจีน (CNTA)เพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารด้านท่องเที่ยวระหว่างไทยและจีน และจะพยายามให้มีผลทันที
สำหรับการปรับตัวของทัวร์ไทยนั้น ก็ได้มีการประชุมกัน รัฐบาลกำลังแก้ไขปัญหาอยู่ไม่ต้องเป็นห่วง โดยทุกอย่างดำเนินการตามปกติ แต่อาจจะมีความไม่เข้าใจเกี่ยวกับการจับกุมอยู่บ้างเพียงเล็กน้อย เชื่อว่าสามารถแก้ไขปัญหาได้
ส่วนคนไทยที่มีส่วนเกี่ยวข้องนั้น หากมีความผิด ต้องว่าไปตามกฎหมาย ซึ่งเชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบในด้านอื่นๆ แต่ขณะนี้อาจมีผลกระทบต่อเรื่องทัวร์ ซึ่งทัวร์จีนอาจน้อยลง แต่ไม่มีผลต่อความเชื่อมั่น แต่เรามีมาตรการรองรับ ทั้งนี้ การจับกุมคาดว่าจะมีการขยายผลไปทั้งหมด ซึ่งมีการจับรถทัวร์ผิดกฎหมาย กว่า 2,000 คันแล้ว จากนั้นจะดูว่าจะดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างไรบ้าง
ด้านนางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ที่ประชุมครม.ได้เห็นชอบให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ลงนามความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทยกับจีน เพื่อให้การท่องเที่ยวมีคุณภาพ และมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน รวมถึงยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในการท่องเที่ยวให้มากขึ้น และแก้ไขปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญ เพราะจีนถือว่าเป็นนักท่องเที่ยวอันดับ 1 ของไทย
ทั้งนี้ ในวันนี้ (21 ก.ย.) เวลา 17.00 น. จะมีพิธีลงนามความร่วมมือกับตัวแทนของรัฐบาลจีน เพื่อให้การทำงานของทั้งสองฝ่ายเดินหน้าอย่างเป็นระบบ ซึ่งการทำงานเดินหน้าในเรื่องดังกล่าวของรัฐบาล ได้ทำอย่างถูกทาง และเป็นไปตามระบบ เชื่อว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาภายใน 1 เดือน นอกจากนี้ ในวันที่ 14 ต.ค.นี้ ตนจะนำทีมนักธุรกิจไทยโรดโชว์พบปะนักธุรกิจจีน ซึ่งจะมีการตกลงเกี่ยวกับราคาให้เกิดความเป็นธรรม สำหรับนักท่องเที่ยว
ด้าน พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องที่นายกรัฐมนตรี เป็นห่วงมากก็คือกระบวนการติดตาม ตรวจสอบ จับกุม ดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีข้อมูลว่ามีผู้เกี่ยวข้องอยู่ในแวดวงการเมือง นายกฯ จึงกำชับให้ตรวจสอบให้ครบถ้วน ไม่ต้องเกรงกลัวอิทธิพลใดๆ ทั้งสิ้น เพราะถือว่าเป็นช่วงที่คสช. ต้องจัดระเบียบสังคม จัดระเบียบเรื่องเศรษฐกิจทั้งหลายที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และส่งผลให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจ ดังนั้น ถ้าไปเกี่ยวข้องกับใคร ตรงไหน อย่างไร ก็ต้องดำเนินการให้เต็มที่
สำหรับการปรับตัวของทัวร์ไทยนั้น ก็ได้มีการประชุมกัน รัฐบาลกำลังแก้ไขปัญหาอยู่ไม่ต้องเป็นห่วง โดยทุกอย่างดำเนินการตามปกติ แต่อาจจะมีความไม่เข้าใจเกี่ยวกับการจับกุมอยู่บ้างเพียงเล็กน้อย เชื่อว่าสามารถแก้ไขปัญหาได้
ส่วนคนไทยที่มีส่วนเกี่ยวข้องนั้น หากมีความผิด ต้องว่าไปตามกฎหมาย ซึ่งเชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบในด้านอื่นๆ แต่ขณะนี้อาจมีผลกระทบต่อเรื่องทัวร์ ซึ่งทัวร์จีนอาจน้อยลง แต่ไม่มีผลต่อความเชื่อมั่น แต่เรามีมาตรการรองรับ ทั้งนี้ การจับกุมคาดว่าจะมีการขยายผลไปทั้งหมด ซึ่งมีการจับรถทัวร์ผิดกฎหมาย กว่า 2,000 คันแล้ว จากนั้นจะดูว่าจะดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างไรบ้าง
ด้านนางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ที่ประชุมครม.ได้เห็นชอบให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ลงนามความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทยกับจีน เพื่อให้การท่องเที่ยวมีคุณภาพ และมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน รวมถึงยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในการท่องเที่ยวให้มากขึ้น และแก้ไขปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญ เพราะจีนถือว่าเป็นนักท่องเที่ยวอันดับ 1 ของไทย
ทั้งนี้ ในวันนี้ (21 ก.ย.) เวลา 17.00 น. จะมีพิธีลงนามความร่วมมือกับตัวแทนของรัฐบาลจีน เพื่อให้การทำงานของทั้งสองฝ่ายเดินหน้าอย่างเป็นระบบ ซึ่งการทำงานเดินหน้าในเรื่องดังกล่าวของรัฐบาล ได้ทำอย่างถูกทาง และเป็นไปตามระบบ เชื่อว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาภายใน 1 เดือน นอกจากนี้ ในวันที่ 14 ต.ค.นี้ ตนจะนำทีมนักธุรกิจไทยโรดโชว์พบปะนักธุรกิจจีน ซึ่งจะมีการตกลงเกี่ยวกับราคาให้เกิดความเป็นธรรม สำหรับนักท่องเที่ยว
ด้าน พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องที่นายกรัฐมนตรี เป็นห่วงมากก็คือกระบวนการติดตาม ตรวจสอบ จับกุม ดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีข้อมูลว่ามีผู้เกี่ยวข้องอยู่ในแวดวงการเมือง นายกฯ จึงกำชับให้ตรวจสอบให้ครบถ้วน ไม่ต้องเกรงกลัวอิทธิพลใดๆ ทั้งสิ้น เพราะถือว่าเป็นช่วงที่คสช. ต้องจัดระเบียบสังคม จัดระเบียบเรื่องเศรษฐกิจทั้งหลายที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และส่งผลให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจ ดังนั้น ถ้าไปเกี่ยวข้องกับใคร ตรงไหน อย่างไร ก็ต้องดำเนินการให้เต็มที่