ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ยังคงเป็นปัญหาไม่รู้จักจบจักสิ้นสำหรับเหตุการณ์ 'รับน้องโหด' ซึ่งเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บและรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต หลงเหลือไว้เพียงความบอบชำแสนสาหัสแก่ครอบครัวของผู้เคราะห์ร้าย แม้มีกฎหมายออกมาป้องปราม แต่ความคึกคะนองของรุ่นพี่จากรุ่นสืบรุ่น ยังเป็นชนวนเหตุก่อโศกนาฏกรรมเป็นประจำทุกปี โดยที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงแก้ปัญหาแบบแก้ผ้าเอาหน้ารอด
ล่าสุด กรณี 'น้องบอส - โชคชัย ทองเนื้อขาว' นักศึกษาชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยพาณิชยนาวีนานาชาติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา จ.ชลบุรี เฟรชชี่ผู้เคราะห์ร้ายประสบอุบัติเหตุอันสืบเนื่องจากกิจกรรมพี่พบน้อง 'เฉลยสายรหัส' จมน้ำจนปอดติดเชื้ออาการโคม่า อาการสาหัสแต่ยังเคราะห์ดีที่เด็กหนุ่มรายนี้ ฟื้น ขึ้นมาได้ หลังนอนแน่นิ่งไม่ได้สติอยู่ใน ICUอาการเป็นตายเท่ากันอยู่หลายวัน
จากกรณีดังกล่าว สังคมไทยตั้งคำถามขึ้นอีกครั้งในประเด็นการรับน้องโหดปัญหาคาราคาซังเรื่องการใช้อำนาจของรุ่นพี่ การจัดกิจกรรมรับน้องอย่างไม่สร้างสรรค์จนเป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และตกเป็นข่าวดังหน้าหนึ่งเป็นประจำทุกภาคการศึกษาใหม่
เหตุการณ์ดังกล่าวยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก เมื่อรุ่นพี่รายหนึ่ง โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเผยให้เห็นทัศนคติเชิงลบ และมีการแชร์กันอย่างแพร่หลายในโซเชียลมีเดีย ความว่า “#เสพข่าวกันอย่างมีสตินะครับ อย่าเอาสถาบันของผมมาเป็นแพะของสังคม #ที่นี่ไม่ได้มีไว้สำหรับ “คนอ่อนแอ”
ขณะที่ผู้บริหารคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ และรุ่นพี่ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตั้งโต๊ะแถลงข่าวยืนยันข้อเท็จจริงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นไม่เป็นผลมาจากกิจกรรมรับน้อง เป็นเพียงกิจกรรมพี่พบน้องเพื่อเฉลยสายรหัส หลังจบกิจกรรมได้มีการล้างตัวในสระแก้มลิง ไม่ใช่บ่อบำบัดน้ำ เสีย และรุ่นพี่ได้ให้น้องบอสว่ายไปยังฝั่งตรงข้าม ยืนยันรุ่นพี่ไม่มีการบังคับ แต่ตัวนิสิตโชคร้ายว่ายน้ำไม่แข็ง ย้อนแย้งกับข้อมูลจากทางครอบครัวของ น้องบอส ยืนยัน ว่าเขาว่ายน้ำแข็งเพราะมีการฝึกซ้อมเป็นประจำเพื่อเตรียมสอบเข้า คณะพาณิชยนาวี ฯ
ส่วนข้อเท็จจริงหลังเด็กหนุ่มฟื้นจากอาการการโคม่า ทางครอบครัวเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนพูดคุยกับ น้องบอส ซึ่งเจ้าตัวให้สัมภาษณ์ในตอนหนึ่งผ่านรายการ เที่ยงวันทันเหตุการณ์ ทางช่อง 3 โดยผู้สื่อข่าวถามว่า “ตอนนั้นเราปฏิเสธลงน้ำได้มั้ยค่ะ บอส?”
"ถ้าในความคิดของผมตอนนั้น น่าจะปฏิเสธไม่ได้แล้วครับ แต่ถ้าเป็นความคิดคนอื่นที่ กล้าพอที่จะแทรกให้ความคิดเห็นน่าจะปฏิเสธไปครับ เราเชื่อในคำพูดของพี่ด้วย เพราะว่าขณะนี้คือ ถ้าพี่สั่งอะไรไปก็ต้องทำตามครับ เพราะพี่เขาย้ำเสมอว่า เวลาพี่สั่งอะไรไป พี่ไม่สั่งให้ถึงตายหรอก พี่รู้ว่าพี่มีสปิริตเท่าไหร่” น้องบอส ตอบ
คำให้สัมภาษณ์ของ น้องบอส สะท้อนถึงอำนาจของรุ่นพี่อย่างชัดเจน อำนาจของระบบอุปถัมภ์ที่รุกรังอยู่ในสังคมไทย อย่างไรก็ตาม แคล้วคลาดมาได้ถือเป็นความโชคดีของเด็กหนุ่มอนาคตไกลรายนี้ แต่น่าเสียดายที่โชคไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกครอบครัว จึงมีเหยื่อจากเหตุการณ์น่าสลดใจจากกรณีรับน้องโหดมานักต่อนัก
สำหรับบทสรุปของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ น้องบอส เจ้าตัวไม่ติดใจเอาความกับผู้ใดทั้งสิ้นเพราะเป็นอุบัติเหตุ ขณะที่ครอบครัวก็เคารพการตัดสินใจของลูกชาย เหตุการณ์ในครั้งนี้จึงยุติลง
กลับไปที่ความรับผิดชอบของมหาวิทยาลัย และหน่วยงานด้านการศึกษาที่เกี่ยวข้อง ประเด็น การรับน้องโหด เห็นทำทีขึงขังออกกฎห้ามปราม แต่ในเชิงปฏิบัติก็ยังไม่สามารถควบคุมกิจกรรมรับน้องให้เป็นไปในทางสร้างสรรค์ได้แต่อย่างใด ควรมีปฏิบัติการเชิงลุกสอดส่องดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่ปล่อยให้รุ่นพี่แสดงอำนาจ อ้างระบบ SOTUS จนนหลายชีวิตต้องจบลงในวัยหนุ่มสาว
อย่างไรก็ตาม ในโลกออนไลน์มีการพูดถึงประเด็นการแก้ปัญหาการรับน้องโหด โดยนำมาตรา 44 มาบังคับใช้ โดยทางเฟซบุ๊กแฟนเพจPrachamati (ประชามติ) ปักหมุดตั้งคำถามผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียว่า “เห็นด้วยหรือไม่ โลกออนไลน์เสนอแก้ปัญหาความรุนแรงในการรับน้องด้วยมาตรา 44?” แน่นอน ว่า มีทั้งผู้เห็นด้วยและเห็นต่างออก แต่ความคิดเห็นที่น่าสนใจก็คือ แนวคิดลักษณะนี้สะท้อนให้เห็นว่า สังคมไทยนิยมการใช้ 'อำนาจ' จัดการกับ 'อำนาจ' ฝักใฝ่ในอำนาจนิยม
ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยผ่านสื่อมวลชน ความว่า ต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนกระบวนการแก้ปัญหาการรับน้องรุนแรง เพราะที่ผ่านมาทั้งสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ไม่จริงจังในการแก้ไขปัญหา ยังกระทำในลักษณะประนีประนอมให้เรื่องจบไปปีต่อปี แต่ควรดำเนินการในลักษณะของการให้ความรู้กับนักเรียนนักศึกษาและผู้ที่เกี่ยว ให้เขารับรู้อย่างเข้าใจว่าการรับน้องที่ป่าเถื่อนรุนแรงไม่สร้างสรรค์ มีโทษตามกฎหมายอาญา ทั้งจำและปรับ นอกจากบังคับใช้กฎหมาย ควรมีกรอบกติกาการรับน้องที่เหมาะสม กำหนดทิศทางแก่มหาวิทยาลัยดำเนินการตามกรอบ หากไม่ทำตามต้องถูกลงโทษ
“ปัญหารับน้องรุนแรงยืดเยื้อและไม่สามารถแก้ไขได้มานาน ผมอยากให้ สกอ. และ ศธ.ใช้กรณีที่เกิดขึ้นกับนิสิตของ ม.เกษตรฯ เป็นกรณีตัวอย่างที่ดำเนินการทางกฎหมายกับผู้เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นตัวอย่าง และปีต่อไปจะได้ไม่เกิดขึ้นอีก เพราะทุกคนกลัวโทษทางกฎหมาย” ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว
ขณะที่ ตวง อันทะไชย ประธานกรรมาธิการการศึกษาและกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เตรียมนำประเด็นปัญหาดังกล่าวหารือแนวทางการป้องกันแก้ไข เพื่อสร้างบรรทัดฐานในการจัดกิจกรรมของสถาบันต่างๆ
“หากยังมีกิจกรรมที่ไม่สร้างสรรค์แบบนี้อีก คงต้องยกระดับออกเป็นกฎกระทรวง เพื่อคุมเข้มป้องกันไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีก ซึ่งเข้าใจเจตนาของการรับน้อง หรือทำกิจกรรมเพื่อให้เกิดความรักสามัคคีในสถาบัน แต่ต้องต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วย”
ในส่วนของบทลงโทษทางกฎหมาย เพื่อกำกับดูแลกิจกรรมรับน้องที่ไม่สร้างสรรค์ ทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ระบุฐานความผิดอย่างชัดเจน ประกอบด้วย 6 ข้อ ดังนี้
1. การรับน้องด้วย การว้าก กฎหมายอาญามาตรา 392 ผู้ใดทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัว หรือความตกใจ โดยการขู่เข็ญ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. การบังคับให้รุ่นน้องเข้าร่วม กฎหมายอาญามาตรา 309 ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3. หากรุ่นน้องจะกลับแต่พี่ไม่ให้กลับ กฎหมายอาญามาตรา 310 ผู้ใดหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน6,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
4. รุ่นพี่ลงไม้ลงมือกับรุ่นน้อง กฎหมายอาญามาตรา 295 ผู้ใดทำร้ายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
5. รับน้องจนบาดเจ็บสาหัส กฎหมายอาญา มาตรา 300 ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
6. รุ่นน้องเสียชีวิต กฎหมายอาญา มาตรา 291 ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท
แม้มีบทลงโทษทางกฎหมายชัดเจน แต่ดูกิจกรรมรับน้องโหดยังคงได้รับการอุปถัมภ์เย้ยกฎหมายอย่างไม่เกรงกลัว รุ่นน้องคนแล้วคนเล่าต้องมารับเคราะห์กรรมที่เขาไม่ได้เป็นคนก่อ สิ่งเหล่านี้มันไม่ยุติธรรมกับพวกเขาแม้แต่น้อย ส่วนกรณีของ น้องบอส ถือเป็นความโชคดีอย่างยิ่งยวดที่สามารถต่อสู้จนพ้นวิกฤตอาการโคม่า จากสาเหตุจมน้ำเนื่องจากเข้าร่วมกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัย
แน่นอนว่า เหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก และพูดได้เต็มปากว่าไม่ใช่เหตุการณ์สุดท้ายที่จะเกิดขึ้นในสังคมไทย ตราบใดที่รุ่นพี่ยังระเริงกับอำนาจโดยไม่ยี่หระต่อความเป็นมนุษย์ และความสร้างสรรค์ในกิจกรรมรับน้องใหม่
ฉะนั้น ตรรกะผุพังจากรุ่นสืบรุ่นควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เช่นเดียวกัน ควรแก่เวลาที่หน่วยงานภาคการศึกษา ต้องแสดงพลังแก้ปัญหาคาราคาซังรับน้องโหดให้มันสิ้นซาก!