xs
xsm
sm
md
lg

DSIเข้าจับเท็จ "หมอเหรียญทอง"ส่งซิก ไอ้โม่งชักใยตับแตก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


น้องชายอดีตที่ดินพังงาคาใจปมใช้ถุงเท้าผูกคอตาย แถม รปภ.ให้การขัดแย้ง เผยรอยแผลคล้ายถูกสายไมค์รัด ร้องนิติเวชเข้าร่วมตรวจสอบ "หมอเหรียญทอง"โพสต์เฟซ บอกทำด้วยความหวังดี ลั่นไม่กลัวถูกดีเอสไอแจ้งความ แถมพูดเป็นนัย พร้อมสู้คดี ไม่หนีโทษ ไม่หนีคุก ไม่ใช่โล่มนุษย์ป้องกันเหมือน "ธัมมชโย" ด้านตำรวจนำเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเข้าเครื่องจับเท็จแล้ว ส่วนอธิบดียันพร้อมเข้าให้ปากคำ ล่าสุดตำรวจยังไม่ฟันธงตายเองหรือโดนฆ่า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 11.00 น. วานนี้ (5 ก.ย.) ที่ สน.ทุ่งสองห้อง นายชัยณรงค์ อนุกูล อายุ 63 ปี น้องชายของนายธวัชชัย อนุกูล อายุ 66 ปี อดีตเจ้าพนักงานที่ดิน จ.พังงา ที่ผูกคอตายขณะถูกควบคุมตัวที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้เดินทางเข้าพบ ร.ต.ท.กฤติเดช ชอบค้าขาย รอง สว.(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง เพื่อให้ปากคำเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายธวัชชัย

นายชัยณรงค์กล่าวว่า เชื่อว่าการตายของพี่ชายผิดธรรมชาติ เพราะอยู่ในหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ ไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ ซึ่งจะมีคำถามถึงดีเอสไอด้วย ส่วนการดูภาพจากล้องวงจรปิด ก่อนหน้านี้ หลังเกิดเหตุ ดีเอสไอได้ติดต่อมาให้ไปดูภาพวงจรปิด แต่เป็นภาพบริเวณทางเดินเท่านั้น เป็นการยืนยันว่าอาจจะไม่มีภาพกล้องวงจรปิด แต่จะมีหรือไม่มีภาพ ก็ไม่สามารถรู้ได้ และดีเอสไอยังได้นัดให้ไปดูสถานที่เกิดเหตุด้วย

สำหรับเรื่องการใช้ถุงเท้าผูกคอตายนั้น ตนมองว่าเป็นประเด็นสำคัญ เพราะหัวหน้างานและ รปภ. ให้การขัดแย้งกัน ไม่ทราบว่าขัดแย้งกันได้อย่างไร และอยากให้สังเกตรอยที่คอผู้ตายว่าเกิดจากผ้า ถุงเท้า หรืออะไรที่เล็กกว่า พร้อมยกตัวอย่างว่ารอยที่คอเล็กกว่าสายไมค์ ซึ่งสามารถตรวจพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ และหากมีการชันสูตรครั้งที่ 2 โดยมีแพทย์จาก รพ.รามาธิบดี และรพ.ศิริราช โดยตนได้ร้องขอให้เพิ่มเจ้าหน้าที่จากนิติเวช รพ.ตำรวจด้วย

***"หมอเหรียญทองไม่กลัวถูกฟ้อง

หลังจาก พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า การตายของนายธวัชชัย ผู้ต้องหาคดีทุจริตออกโฉนดที่ดินใน จ.พังงาและภูเก็ต ระหว่างการควบคุมของดีเอสไอเป็นเหตุฆาตกรรม โดยมีคนในอีเอสไอเกี่ยวข้องด้วย เพื่อทำลายชื่อเสียงขององค์กรนั้น

ล่าสุด เมื่อช่วงเช้า วานนี้ (5 ก.ย.) พล.ต.นพ.เหรียญทอง ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า แชร์ให้ทราบทั่วกันว่า หากผมต้องโดน DSI แจ้งความดำเนินคดีอาญา ผมขอความกรุณาอย่าระดมพลไปให้กำลังใจผมนะครับ มันไม่เกิดผลดีต่อผู้บริหารราชการแผ่นดิน ผมต่อสู้ในรูปแบบข้ามาคนเดียวครับ หากผมผิดจริง ผมก็ต้องรับผิดครับ ผมถูกฝึกมาในระบบเกียรติศักดิ์ (HONOUR SYSTEM) ผมเป็นถึงอดีตหัวหน้านักเรียนแพทย์ทหารแล้ว ผมจะไปกลัวที่จะรับผิดไม่ว่าจะอาญาหรือแพ่งไปทำไมกันล่ะครับ มันเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมที่ผมต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ครับ ถึงแม้ผมจะบริสุทธิ์ใจต่อ DSI ก็ตาม ที่ผ่านมา ผมได้รับเกียรติจากมวลมหาประชาชน ได้เกียรติในการปกป้องราชบัลลังก์อันเป็นเกียรติที่สูงสุดในชีวิตของผมแล้ว

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่คดียังไม่ถึงที่สุด ผมจะใช้เวลาจัดการพวกหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของผมต่อไปเรื่อยๆ ครับ หากต้องติดคุก รับรองว่าคนอย่างผมไม่หนีคุกด้วย ผมไม่ได้โพสต์ดรามานะครับ และไม่ได้โพสต์เอามันส์ด้วย แล้วก็ไม่ขอร้องขอความเห็นใจ ขอความช่วยเหลือจากใครๆ ทั้งนั้นครับ

***ลั่นพร้อมสู้-เมินใช้โล่มนุษย์กัน

จากนั้นอีก 1 ชั่วโมงต่อมา พล.ต.นพ.เหรียญทองได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวอีกครั้ง พร้อมระบุว่า ได้โปรดแชร์ให้ทราบทั่วกันว่า หากการโพสต์ข้อความของผมทำให้ DSI หรือเจ้าหน้าที่ DSI คนใด หรือเจ้าหน้าที่ทั้งหมดเสียหายแล้วก็ย่อมเป็นสิทธิของผู้เสียหายในการเป็นโจทก์แจ้งความดำเนินคดีต่อผม ส่วนผมก็ต้องเป็นจำเลยต่อสู้ให้การในชั้นศาล ซึ่งเป็นเรืองปกติ ไม่ใช่เรื่องแปลกและไม่ทำให้ผมเสียกำลังใจแต่อย่างใด หากศาลพิพากษาว่าผมผิด ผมก็ต้องรับโทษจำคุกหรือชำระค่าเสียหาย คนอย่างผมไม่หนีโทษ ไม่หนีคุกหรอกครับ ผมถูกฝึกมาในระบอบเกียรติศักดิ์ (HONOUR SYSTEM) ตั้งแต่เป็นนักเรียนทหารแล้ว ชีวิตของผมประสบความสำเร็จอย่างครบถ้วนน่าจะทุกด้านแล้ว หากต้องรับโทษก็ไม่เห็นว่าจะต้องเป็นเรื่องชอกช้ำระกำใจอะไร

ท่านทั้งหลายก็ไม่ต้องสงสาร ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ต้องให้กำลังใจ ไม่ต้องระดมพลปกป้องอะไรผมกันหรอกนะครับ ดีเสียด้วยผมจะได้เป็นตัวอย่างที่ดี ไม่เหมือนกับไอ้พวกหนีคดีแล้วเอามวลชนเป็นเกราะคุ้มกันอย่างกับธัมมชโยก็แล้วกัน แต่ผมเชื่อมั่นว่าโพสต์ข้อความของผมนั้นมีเจตนาดีต่อ DSI และกระทรวงยุติธรรมจะทำให้กระบวนการยุติธรรมขั้นตอนสุดท้ายที่พิจารณาโดยศาลยุติธรรมภายใต้พระปรมาภิไธยจะให้ความเป็นธรรมแก่ผมเองครับ

***อธิบดีดีเอสไอพร้อมให้ปากคำตำรวจ

พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดี ดีเอสไอ กล่าวถึงความคืบหน้าของคณะกรรมการการตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนของดีเอสไอ กรณีการเสียชีวิตของนายธวัชชัย ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบเรื่องดังกล่าว โดยได้มีการเรียกเจ้าหน้าที่ 3 นายที่อยู่ในห้องควบคุมผู้ต้องหาในวันที่เกิดเหตุมาสอบปากคำด้วยการนำเข้าเครื่องจับเท็จแล้ว ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ตนยังไม่ขอเปิดเผย ขอให้รอผลการตรวจสอบก่อน

ส่วนกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง จะเชิญไปให้ปากคำในฐานะพยาน ยืนยันว่า พร้อมให้ความร่วมมืออยู่แล้ว และหากพบว่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอกระทำผิด ก็ต้องว่ากันไปตามพยานหลักฐาน และต้องถูกลงโทษตามระเบียบและกฎหมาย เพราะที่ผ่านมา หากเจ้าหน้าที่มีการกระทำผิด ตนก็จะดำเนินการลงโทษอยู่แล้ว ไม่ใช่เฉพาะกรณีนี้กรณีเดียวเท่านั้น

***ตำรวจยังไม่ฟันธงตายเองหรือถูกฆ่า

พ.ต.อ.มานะ เผาะช่วย ผู้กำกับการ สน.ทุ่งสองห้อง กล่าวว่า ยังไม่สามารถสรุปหรือชี้ขาดได้ว่าเป็นการตายด้วยตัวเอง หรือ ถูกฆาตกรรม เพราะต้องใช้เวลาในการตรวจสอบพยานหลักฐาน และสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก่อน ตำรวจจะดำเนินการสอบสวน ตั้งแต่ช่วงเวลาที่นายธวัชชัย ถูกจับกุม ระหว่างการควบคุม จนกระทั่งเกิดเหตุขึ้น โดยเบื้องต้นได้เชิญนายสมมาตร นาควงศ์ รปภ.ที่เป็นผู้พบว่าผู้ตายหมดสติ ภายในห้องควบคุมคนแรก ก่อนจะแจ้งผู้บังคับบัญชาให้มาเปิดประตูและแจ้งทีมแพทย์ รพ.มงกุฎวัฒนะ มากู้ชีพ ซึ่งยอมรับว่า นายสมมาตร ยังให้การไม่ตรงกันเรื่องถุงเท้าและเสื้อที่ผู้ตายใช้ผูกกับบานพับประตูว่าชนิดใด แต่ตำรวจได้นำของกลางไปตรวจพิสูจน์แล้ว ส่วนนายสมมาตรได้ทำการช่วยชีวิตผู้ตายเองหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถตอบได้ จะมีการเชิญมาสอบปากคำอีกครั้ง

"ดีเอสไอได้นำตัวนายสมมาตร เข้าครื่องจับเท็จแล้ว ซึ่งพนักงานสอบสวน ยังรอผลการสอบจากดีเอสไออยู่ พร้อมทั้งทำหนังสือไปยังดีเอสไอ เพื่อขอตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณชั้นล่างไปจนถึงห้องควบคุมแล้ว แต่กล้องภายในห้องควบคุมไม่มี เนื่องจากเป็นเรื่องของสิทธิส่วนบุคคล"

ส่วนกรณี พล.ต.นพ.เหรียญทอง ออกมาแสดงความเห็นว่า อาจเป็นการฆาตกรรมโดยมีเจ้าหน้าที่รู้เห็น ส่วนตัวยังไม่เห็นขอความดังกล่าว และเห็นว่าเป็นการแสดงความเห็นส่วนตัว ทางตำรวจจะยึดตามพยานหลักฐาน ยืนยันว่าไม่กดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้ ตำรวจยังได้เชิญตัวทีมแพทย์กู้ชีพ จำนวน 3 ราย มาให้ปากคำเพิ่มเติมด้วย

ด้าน พล.ต.ต.ทรงพล วัธนะชัย รองโฆษก ตร.กล่าวว่า คดีนี้ดังกล่าวเป็นที่สนใจของประชาชน พนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานตามที่สงสัย เบื้องต้น ผกก.สน.ทุ่งสองห้อง ได้วางไทม์ไลน์ไว้หมดแล้ว ขอให้เจ้าหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานอีกสักระยะหนึ่งเพื่อความรอบคอบจะเรียนให้สื่อมวลชนทราบอีกครั้งหนึ่ง

***ฝากขังผัวสาวเรย์ฆ่ายุติธรรมพังงา

วันเดียวกันนี้ ที่ สภ.เมืองนครศรีธรรมราช กำลังตำรวจชุดสืบสวนจาก สภ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช 5 นาย พร้อมอาวุธปืนครบมือ เดินทางมารับตัวนายอดิศักดิ์ หรือหมู ทองสมจา อายุ 40 ปี ผู้ต้องหาบงการฆ่ายัดถังโบกปูนถ่วงน้ำ นายฉวี อินทระ อายุ 57 ปี ยุติธรรมจังหวัดพังงา เหตุเกิดเมื่อวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา ที่บ้านเลขที่ 34 หมู่ 2 ต.ท่าขนาน อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช หลังจากที่นายอดิศักดิ์ ได้เข้ามอบตัวกับตำรวจเมื่อวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา พร้อมให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยจะไปให้การในชั้นศาล เพื่อเดินทางไปขออำนาจศาลจังหวัดปากพนังฝากขังผัดแรก เป็นเวลา 12 วัน โดยทางตำรวจได้คัดค้านการประกันตัว ซึ่งในขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลจังหวัดปากพนัง คาดว่าจะมีทนายความและญาติของนายอดิศักดิ์ มายื่นขอประกันตัว

***ตำรวจขานรับไม่นำตัวผู้ต้องหาแถลง

ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รรท.ผบช.น. กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ยกเลิกการนำตัวผู้กระทำความผิดมาแถลงข่าว เนื่องจากอาจเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ว่า การแถลงข่าวของกองบัญชาการตำรวจนครบาลทุกครั้ง ยึดหลักในการทำงาน 2 หลัก หลักความยินยอมและประโยชน์สาธารณะและสิ่งสำคัญที่สุดจะต้องไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเด็ดขาด ซึ่งการแถลงข่าวนั้นจะคัดเลือกเฉพาะคดีที่เป็นที่สนใจของประชาชนและเป็นประโยชน์กับประชาชนเท่านั้น โดยยืนยันว่าการแถลงข่าวที่ผ่านมา ผู้ต้องหายินยอมให้มีการแถลงข่าวทุกกรณี และตำรวจก็มีกฎระเบียบในการแถลงข่าวที่มีผู้ต้องหาอยู่แล้ว แต่หากผู้บังคับบัญชาสั่งการมา ก็พร้อมที่จะรับไปดำเนินการ

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีระเบียบกำหนดไว้ชัดเจนตั้งแต่ปี 2556 ระบุการนำตัวผู้ต้องหามาแถลงต้องได้รับการยินยอมจากผู้ต้องหา ด้วยการลงบันทึกให้ปากคำยินยอมทุกครั้ง และคดีที่จะนำตัวผู้ต้องหา มาแถลงข่าวต้องคดีที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี และเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะชน เช่น คดีที่มีคนร้ายใช้วิธีการต่างๆ หลอกลวงประชาชน เพื่อเป็นการเตือนประชาชนให้รู้เท่าทัน ส่วนคดีที่มีผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชน หรือ ผู้กระทำผิดเป็นพระภิกษุ หรือ เยาวชน ตำรวจจะไม่นำมาแถลงข่าวเด็ดขาด ซึ่งผู้บังคับบัญชาจะใช้ดุลยพินิจในการพิจารณา ว่า กรณีนั้นๆ จะนำตัวผู้ต้องหา มาแถลงข่าวหรือไม่
กำลังโหลดความคิดเห็น