ในอดีตกาล เมื่อมีปรากฏการณ์อันใดอันหนึ่งเกิดขึ้น และส่งผลกระทบทางด้านความรู้สึกนึกคิดของประชาชน ทั้งไม่อาจคาดการณ์ได้ โดยอาศัยสามัญสำนึกของปกติชนคนทั่วไป กษัตริย์ผู้ครองแคว้นก็จะรับสั่งให้โหรหลวงเข้าเฝ้า และทำนายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งถวายคำแนะนำในการแก้ไข และป้องกันในกรณีที่เป็นเหตุการณ์ไม่ดี หรือไม่มีปรากฏการณ์ใดๆ เกิดขึ้นแก่กษัตริย์ จะทรงกระทำราชกิจอันใดอันหนึ่ง ก็จะรับสั่งให้โหรเข้าเฝ้า และหาฤกษ์ยามเพื่อเริ่มต้นดำเนินกิจการนั้น
ด้วยเหตุนี้ ดวงฤกษ์ที่ใช้เป็นจุดเริ่มต้นกิจการ จึงเป็นเสมือนดวงกำเนิดของกิจการนั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเริ่มต้นก่อตั้งองค์กรอันเป็นนิติบุคคล และในทางวิชาโหราศาสตร์ดวงฤกษ์สามารถนำมาพยากรณ์แนวโน้ม และความเป็นไป รวมไปถึงศักยภาพขององค์กรในด้านต่างๆ ไว้ด้วย
ในปัจจุบัน แม้โลกได้เจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ถึงขนาดเดินทางไปยังดวงจันทร์ได้แล้ว แต่ผู้คนในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยด้วยจำนวนไม่น้อย ยังมีความเชื่อในวิชาโหราศาสตร์ และศรัทธาเลื่อมใสในโหราจารย์ ผู้รอบรู้ในวิชาโหราศาสตร์ และมีความเก่งกาจในการนำวิชาแขนงนี้มาเป็นเครื่องมือในการพยากรณ์เหตุการณ์ ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้วในอดีต กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน และจะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งแก่บุคคล และนิติบุคคล ซึ่งมนุษย์ก่อตั้งขึ้นและมีการคำนวณดวงฤกษ์ไว้
ดวงชะตากรุงเทพมหานครหรือที่เรียกกันจนติดปากว่า ดวงเมือง ได้แก่ ดวงพระฤกษ์ฝังเสาหลักเมือง กรุงเทพมหานคร เมื่อวันอาทิตย์ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 6 ปีขาล จัตวาศก จุลศักราช 1144 ตรงกับวันที่ 21 เมษายน พุทธศักราช 2325 เวลา 06.54 น. เฉลิมรูปดวงพระฤกษ์ดังนี้
ตำแหน่งของดวงดาวพระเคราะห์ต่างๆ คำนวณตามโหราศาสตร์นิรายนะ คือสมมติเอาจุดศูนย์องศาในราศีเมษ เป็นจุดที่อยู่คงที่ จะได้องศาของดาวพระเคราะห์ต่างๆ โดยประมาณดังนี้
ดาวอาทิตย์ สถิตราศีเมษ 10 องศา 11 ลิปดา
ดาวจันทร์ สถิตราศีกรกฎ 19 องศา 20 ลิปดา
ดาวอังคาร สถิตราศีพฤษภ 20 องศา 2 ลิปดา
ดาวพุธ สถิตราศีมีน 13 องศา 25 ลิปดา
ดาวพฤหัสบดี สถิตราศีธนู 8 องศา 16 ลิปดา
ดาวศุกร์ สถิตราศีมีน 4 องศา 11 ลิปดา
ดาวเสาร์ สถิตราศีธนู 9 องศา 10 ลิปดา
ราหู สถิตราศีมีน 22 องศา 42 ลิปดา
ที่มา : โหราศาสตร์ในวรรณคดี
รวบรวมโดย : เทพย์ สาริกบุตร
จากพื้นดวงฤกษ์สามารถอ่านค่าหาแนวโน้มเกี่ยวกับความมี และความเป็นด้านต่างๆ ได้ดังนี้
1. ด้านการเมืองการปกครอง
ดาวอาทิตย์กุมลัคนาในราศีเมษ มีตำแหน่งเป็นมหาอุจ ทำมุมตรีโกณกับพฤหัสบดีและเสาร์ ดาวอังคารเจ้าเรือนตนุ สถิตราศีพฤษภในตำแหน่งราชาโชคหมายถึงว่า ผู้ที่จะมาเป็นฝ่ายปกครองหรือเป็นผู้นำรัฐบาล จะต้องเป็นคนมีชื่อเสียง มีคุณธรรม และจริยธรรม ทั้งจะต้องได้รับแรงหนุนทั้งจากเกษตรกร และนักปราชญ์พร้อมๆ กัน อีกประการหนึ่ง จะต้องไม่มีดวงชะตา มีลัคนาเป็นหก แปด และสิบสองกับดวงเมืองด้วย แต่ถ้าจะให้เป็นผู้ประสบความสำเร็จในการบริหารประเทศ ในทุกด้านด้วย แล้วลัคนาของดวงชะตาจะต้องอยู่ในราศีเมษ สิงห์ หรือธนู ส่วนราศีอื่นรองลงมา
ดังนั้น พรรคการเมืองใดต้องการจะเข้ามาเป็นรัฐบาล จะต้องเลือกผู้นำหรือหัวหน้าพรรคมีลักษณะตรงกับดวงเมืองคือ เป็นลักษณะขุนนาง เป็นคนมีชื่อเสียง มีคุณธรรม และจริยธรรม รวมทั้งมีดวงชะตาไม่เป็นหก แปด หรือสิบสองกับดวงเมืองด้วย
2. ในด้านเศรษฐกิจ
ดาวการงานได้แก่ดาวเสาร์ ซึ่งไปอาศัยเรือนพฤหัสบดี และกุมอยู่กับเจ้าเรือนคือดาวพฤหัสบดีด้วย
ดังนั้น ประเทศไทยจึงต้องเน้นหนักไปทางเกษตรกรรม และควรจะต้องมีการพัฒนาเกษตรกรให้มีความรู้ ความสามารถในด้านการผลิต การขาย และการจัดการด้านการเงิน ซึ่งสามารถดำเนินการได้ โดยจัดการศึกษาของประเทศให้เน้นหนักไปทางเกษตรกรรมทั้งพืชนา พืชไร่ และพืชสวน รวมไปถึงการประมง
แต่ควรจะเริ่มด้วยเศรษฐกิจพอเพียงคือ ผลิตเพื่อกินเหลือขายแล้วขยายเป็นอุตสาหกรรมขนาดย่อม เพื่อแปรรูปผลผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่าและส่งออก
ส่วนอุตสาหกรรมหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมทำลายสิ่งแวดล้อม ไม่ควรส่งเสริมและเพิ่มจำนวนในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่มีการทำการเกษตร เนื่องจากจะทำลายสิ่งแวดล้อมทางด้านดิน น้ำ และอาคารแล้วยังเป็นการทำลายวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนไทย ซึ่งเป็นสังคมปฐมภูมิ ผู้คนในสังคมเอื้ออาทรกันให้หมดไปกลายเป็นสังคมทุติยภูมิ ไม่มีความสัมพันธ์ภายในชุมชน จะเห็นได้จากสังคมเมืองเป็นตัวอย่าง
3. ด้านสังคม
จากพื้นดาวฤกษ์ที่มีราหูและพุธกับศุกร์อยู่เรือนสิบสอง เห็นได้ชัดเจนว่าผู้คนในสังคมจะอยู่เป็นสุขได้ จะต้องไม่ส่งเสริมการเป็นหนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นหนี้เพื่อนำมากินมาใช้อย่างฟุ่มเฟือย
ดังนั้น ควรจะนำเศรษฐกิจแบบพุทธมาใช้ โดยเน้นการหารายได้ และประหยัดค่าใช้จ่ายด้วยการยึดหลักโภควิภาค หรือการแบ่งรายได้ออกเป็น 4 ส่วนดังนี้
1. เอเกน โภเค ภุญฺเชยฺย (1 ส่วนใช้เลี้ยงตน เลี้ยงคนที่ควรบำรุง และทำประโยชน์)
2-3. ทฺวีหิ กมฺมํ ปโยชเย (2 ส่วนใช้ลงทุนประกอบการงาน)
4. จตุตฺถญฺจ นิธาเปยฺย (อีก 1 ส่วนเก็บไว้ใช้ในคราวจำเป็น)
ทั้งหมดที่กล่าวมาคือความดี ความเป็นในด้านต่างๆ โดยอาศัยแนวโน้มปัจจัยที่อาจนำมาใช้ประกอบการทำนโยบายปกครองประเทศได้
ด้วยเหตุนี้ ดวงฤกษ์ที่ใช้เป็นจุดเริ่มต้นกิจการ จึงเป็นเสมือนดวงกำเนิดของกิจการนั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเริ่มต้นก่อตั้งองค์กรอันเป็นนิติบุคคล และในทางวิชาโหราศาสตร์ดวงฤกษ์สามารถนำมาพยากรณ์แนวโน้ม และความเป็นไป รวมไปถึงศักยภาพขององค์กรในด้านต่างๆ ไว้ด้วย
ในปัจจุบัน แม้โลกได้เจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ถึงขนาดเดินทางไปยังดวงจันทร์ได้แล้ว แต่ผู้คนในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยด้วยจำนวนไม่น้อย ยังมีความเชื่อในวิชาโหราศาสตร์ และศรัทธาเลื่อมใสในโหราจารย์ ผู้รอบรู้ในวิชาโหราศาสตร์ และมีความเก่งกาจในการนำวิชาแขนงนี้มาเป็นเครื่องมือในการพยากรณ์เหตุการณ์ ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้วในอดีต กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน และจะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งแก่บุคคล และนิติบุคคล ซึ่งมนุษย์ก่อตั้งขึ้นและมีการคำนวณดวงฤกษ์ไว้
ดวงชะตากรุงเทพมหานครหรือที่เรียกกันจนติดปากว่า ดวงเมือง ได้แก่ ดวงพระฤกษ์ฝังเสาหลักเมือง กรุงเทพมหานคร เมื่อวันอาทิตย์ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 6 ปีขาล จัตวาศก จุลศักราช 1144 ตรงกับวันที่ 21 เมษายน พุทธศักราช 2325 เวลา 06.54 น. เฉลิมรูปดวงพระฤกษ์ดังนี้
ตำแหน่งของดวงดาวพระเคราะห์ต่างๆ คำนวณตามโหราศาสตร์นิรายนะ คือสมมติเอาจุดศูนย์องศาในราศีเมษ เป็นจุดที่อยู่คงที่ จะได้องศาของดาวพระเคราะห์ต่างๆ โดยประมาณดังนี้
ดาวอาทิตย์ สถิตราศีเมษ 10 องศา 11 ลิปดา
ดาวจันทร์ สถิตราศีกรกฎ 19 องศา 20 ลิปดา
ดาวอังคาร สถิตราศีพฤษภ 20 องศา 2 ลิปดา
ดาวพุธ สถิตราศีมีน 13 องศา 25 ลิปดา
ดาวพฤหัสบดี สถิตราศีธนู 8 องศา 16 ลิปดา
ดาวศุกร์ สถิตราศีมีน 4 องศา 11 ลิปดา
ดาวเสาร์ สถิตราศีธนู 9 องศา 10 ลิปดา
ราหู สถิตราศีมีน 22 องศา 42 ลิปดา
ที่มา : โหราศาสตร์ในวรรณคดี
รวบรวมโดย : เทพย์ สาริกบุตร
จากพื้นดวงฤกษ์สามารถอ่านค่าหาแนวโน้มเกี่ยวกับความมี และความเป็นด้านต่างๆ ได้ดังนี้
1. ด้านการเมืองการปกครอง
ดาวอาทิตย์กุมลัคนาในราศีเมษ มีตำแหน่งเป็นมหาอุจ ทำมุมตรีโกณกับพฤหัสบดีและเสาร์ ดาวอังคารเจ้าเรือนตนุ สถิตราศีพฤษภในตำแหน่งราชาโชคหมายถึงว่า ผู้ที่จะมาเป็นฝ่ายปกครองหรือเป็นผู้นำรัฐบาล จะต้องเป็นคนมีชื่อเสียง มีคุณธรรม และจริยธรรม ทั้งจะต้องได้รับแรงหนุนทั้งจากเกษตรกร และนักปราชญ์พร้อมๆ กัน อีกประการหนึ่ง จะต้องไม่มีดวงชะตา มีลัคนาเป็นหก แปด และสิบสองกับดวงเมืองด้วย แต่ถ้าจะให้เป็นผู้ประสบความสำเร็จในการบริหารประเทศ ในทุกด้านด้วย แล้วลัคนาของดวงชะตาจะต้องอยู่ในราศีเมษ สิงห์ หรือธนู ส่วนราศีอื่นรองลงมา
ดังนั้น พรรคการเมืองใดต้องการจะเข้ามาเป็นรัฐบาล จะต้องเลือกผู้นำหรือหัวหน้าพรรคมีลักษณะตรงกับดวงเมืองคือ เป็นลักษณะขุนนาง เป็นคนมีชื่อเสียง มีคุณธรรม และจริยธรรม รวมทั้งมีดวงชะตาไม่เป็นหก แปด หรือสิบสองกับดวงเมืองด้วย
2. ในด้านเศรษฐกิจ
ดาวการงานได้แก่ดาวเสาร์ ซึ่งไปอาศัยเรือนพฤหัสบดี และกุมอยู่กับเจ้าเรือนคือดาวพฤหัสบดีด้วย
ดังนั้น ประเทศไทยจึงต้องเน้นหนักไปทางเกษตรกรรม และควรจะต้องมีการพัฒนาเกษตรกรให้มีความรู้ ความสามารถในด้านการผลิต การขาย และการจัดการด้านการเงิน ซึ่งสามารถดำเนินการได้ โดยจัดการศึกษาของประเทศให้เน้นหนักไปทางเกษตรกรรมทั้งพืชนา พืชไร่ และพืชสวน รวมไปถึงการประมง
แต่ควรจะเริ่มด้วยเศรษฐกิจพอเพียงคือ ผลิตเพื่อกินเหลือขายแล้วขยายเป็นอุตสาหกรรมขนาดย่อม เพื่อแปรรูปผลผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่าและส่งออก
ส่วนอุตสาหกรรมหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมทำลายสิ่งแวดล้อม ไม่ควรส่งเสริมและเพิ่มจำนวนในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่มีการทำการเกษตร เนื่องจากจะทำลายสิ่งแวดล้อมทางด้านดิน น้ำ และอาคารแล้วยังเป็นการทำลายวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนไทย ซึ่งเป็นสังคมปฐมภูมิ ผู้คนในสังคมเอื้ออาทรกันให้หมดไปกลายเป็นสังคมทุติยภูมิ ไม่มีความสัมพันธ์ภายในชุมชน จะเห็นได้จากสังคมเมืองเป็นตัวอย่าง
3. ด้านสังคม
จากพื้นดาวฤกษ์ที่มีราหูและพุธกับศุกร์อยู่เรือนสิบสอง เห็นได้ชัดเจนว่าผู้คนในสังคมจะอยู่เป็นสุขได้ จะต้องไม่ส่งเสริมการเป็นหนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นหนี้เพื่อนำมากินมาใช้อย่างฟุ่มเฟือย
ดังนั้น ควรจะนำเศรษฐกิจแบบพุทธมาใช้ โดยเน้นการหารายได้ และประหยัดค่าใช้จ่ายด้วยการยึดหลักโภควิภาค หรือการแบ่งรายได้ออกเป็น 4 ส่วนดังนี้
1. เอเกน โภเค ภุญฺเชยฺย (1 ส่วนใช้เลี้ยงตน เลี้ยงคนที่ควรบำรุง และทำประโยชน์)
2-3. ทฺวีหิ กมฺมํ ปโยชเย (2 ส่วนใช้ลงทุนประกอบการงาน)
4. จตุตฺถญฺจ นิธาเปยฺย (อีก 1 ส่วนเก็บไว้ใช้ในคราวจำเป็น)
ทั้งหมดที่กล่าวมาคือความดี ความเป็นในด้านต่างๆ โดยอาศัยแนวโน้มปัจจัยที่อาจนำมาใช้ประกอบการทำนโยบายปกครองประเทศได้