xs
xsm
sm
md
lg

รธน.กับความอ่อนไหวเรื่องศาสนา

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ

ล่าสุด คสช.ได้ออกคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 49/2559 เรื่อง มาตรการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนาต่างๆ ในประเทศไทย เรียกได้ว่า เป็นการใช้อำนาจตามมาตรา 44 เพื่อปะชุนรูรั่วของรัฐธรรมนูญ 2559 เป็นครั้งที่ 2

ก่อนหน้านี้ คสช.ก็เคยมีคำสั่งปะชุนรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เป็นการปะชุนก่อนลงประชามติ นั่นคือ คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 28/2559 เรื่อง ให้จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 15 ปี โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย เนื่องจากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ กำหนดให้มีการศึกษาภาคบังคับที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือ “เรียนฟรี” เพียง 12 ปี ตั้งแต่ระดับอนุบาล-ม.ต้นเท่านั้น จนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง จากเดิมที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 43 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 49 กำหนดว่า “ไม่น้อยกว่า” 12 ปี ขณะที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ขยายกรอบเวลาเรียนฟรีเป็น 15 ปี ตั้งแต่ระดับอนุบาล-ม.ปลาย รวมถึง ปวช. ตาม “โครงการเรียนฟรี 15 ปี อย่างมีคุณภาพ” ครอบคลุมทั้งสายสามัญและสายอาชีวศึกษา

จนกระทั่งมาออกคำสั่งที่ 49 เพื่อซ่อมรัฐธรรมนูญฉบับนี้อีกครั้ง แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะผ่านประชามติมาแล้ว สะท้อนให้เห็นว่านี่เป็นรัฐธรรมนูญที่มีปัญหา และนักกฎหมายเชื่อว่าในรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีอีกหลายประเด็นที่จะมีปัญหาเมื่อนำไปบังคับใช้

ทำไม คสช.ต้องออกคำสั่งที่ 49 เราคงต้องย้อนไปดูผลการลงประชามติใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งประชาชนส่วนมากนับถือศาสนาอิสลาม และประชาชนใน 3 จังหวัดมีมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญสูงมาก

ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี ผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ วิเคราะห์ผลประชามติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า มีความหมายทางการเมืองที่แตกต่างจากการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2550 อย่างชัดเจน ซึ่งครั้งนั้นผลประชามติในพื้นที่ 3 จังหวัด ประชาชนรับร่างรัฐธรรมนูญกว่าร้อยละ 70

ผศ.ดร.ศรีสมภพ วิเคราะห์ว่า สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะในประเด็นศาสนา อัตลักษณ์ วัฒนธรรม ชาติพันธุ์ ท้องถิ่นในร่างรัฐธรรมนูญถูกกดให้มีความหมายที่แคบลง และใช้เงื่อนไขความมั่นคงเข้ามา โดยเฉพาะเรื่องศาสนาที่เด่นชัดมาก กล่าวคือมาตรา 67 ทำให้เกิดความรู้สึกว่ารัฐให้การสนับสนุนศาสนาพุทธศาสนาเดียว และประเด็นการกระจายอำนาจก็มีขีดจำกัด

ผศ.ดร.ศรีสมภพ กล่าวว่า ก่อนการลงประชามติ ผู้นำศาสนา โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ปอเนาะ และนักการเมืองบางส่วนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้รวมตัวกันวิเคราะห์เนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญ ทำให้เครือข่ายของผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญขยายออกไป ประกอบกับเงื่อนไขความขัดแย้งเดิมที่มีอยู่ในพื้นที่ ทำให้กลุ่มผู้ไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญเพิ่มมากขึ้น

ขณะที่นายขดดะรี บินเซ็น ผู้แทนจากภาคีเครือข่ายด้านการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมแดนใต้ ระบุตรงกันว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ปกป้องสิทธิของผู้ที่นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาทเท่านั้น แต่ละเลยผู้ที่นับถือศาสนาอื่นและศาสนาพุทธนิกายอื่น ซึ่งในบริบทของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อาจเป็นการละเมิดสิทธิของผู้นับถือ ศาสนาอิสลาม

แน่นอนว่า ประเด็นของรัฐธรรมนูญมาตรา 67 นั้นไม่ได้เกิดคำถามแค่คนที่นับถือศาสนาอื่นที่ไม่ใช่พุทธเท่านั้น แต่ยังเกิดคำถามถึงศาสนาพุทธนิกายอื่นด้วย เพราะเป็นครั้งแรกที่ระบุว่ารัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาท ทั้งที่ในประเทศไทยนั้นยังมีนิกายอื่นอีกเช่น จีนนิกาย อนัมนิกาย (ญวนนิกาย)

มาตรา 67 ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ระบุว่า รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น

ในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนา เถรวาทเพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทําลายพระพุทธศาสนา ไม่ว่าในรูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดําเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย

ขณะที่รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 79 ระบุว่า รัฐต้องให้ความอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านานและศาสนาอื่น ทั้งต้องส่งเสริมความเข้าใจอันดีและความสมานฉันท์ระหว่างศาสนิกชนของทุกศาสนา รวมทั้งสนับสนุนการนำหลักธรรมของศาสนามาใช้เพื่อเสริมสร้างคุณธรรมและพัฒนาคุณภาพชีวิต

รัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 73 ระบุว่า รัฐต้องให้ความอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ส่งเสริมความเข้าใจอันดีและความสมานฉันท์ระหว่างศาสนิกชนของทุกศาสนา รวมทั้งสนับสนุนการนำหลักธรรมของศาสนามาใช้เพื่อเสริมสร้างคุณธรรมและพัฒนาคุณภาพชีวิต

จะเห็นได้ว่า ในมาตรา 67 ของรัฐธรรมนูญ 2559 เขียนไว้เพียงแค่ว่า “และศาสนาอื่น” แล้วจบเลย ส่วนที่ขยายความออกมาพูดถึงศาสนาพุทธเท่านั้น ในขณะที่ปี 2540 และ 2550 นั้นพูดถึงทุกศาสนาแบบรวมๆ

นอกจากนั้นในมาตรา 31 ของร่างรัฐธรรมนูญระบุว่า บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการนับถือศาสนาและย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติ หรือประกอบพิธีกรรมตามหลักศาสนาของตน แต่ต้องไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทย ไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐและไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

ในมาตรานี้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 และ 2550 ต่างก็เขียนไว้คล้ายกัน แต่กำหนดเหตุผลที่เป็นข้อจำกัดเสรีภาพไว้เพียงสองประการเท่านั้น คือ 1) ต้องไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมือง 2) ต้องไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

แต่รัฐธรรมนูญ 2559 หรือฉบับมีชัยเพิ่มข้อจำกัดต้อง “ไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐ” เข้าไปด้วย

ประเด็นนี้ทำให้คนมุสลิมมองว่า อาจทำให้ผู้ที่นับถือศาสนาต่างๆ ถูกกล่าวหาว่าเป็นภัยต่อรัฐได้โดยง่าย ซึ่งนับเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและยิ่งจะเป็นอุปสรรคในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งต้องอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจกันใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ดังนั้น จึงมีความเชื่อกันว่า การลงประชามติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น น่าจะเกิดจากประเด็นด้านเสรีภาพในการนับถือศาสนามากกว่าการต่อต้านรัฐบาลทหาร เพราะในการลงประชามติปี 2550 ประชาชน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ลงประชามติรับร่างฯ คำสั่งที่ 49 จึงต้องออกมา เพื่อเน้นให้เห็นว่ารัฐจะยังคงให้ความสำคัญกับทุกศาสนา รวมทั้งศาสนาพุทธนิกายอื่นด้วย

แต่ก็มีคำถามเหมือนกันนะครับ ว่า รัฐธรรมนูญที่ลงประชามติจากประชาชนมาแล้วมันแก้ไขหรือเพิ่มเติมได้ง่ายด้วยคำสั่งมาตรา 44 เช่นนั้นหรือ แล้วรัฐธรรมนูญกับคำสั่งมาตรา 44 อันไหนใหญ่กว่ากัน
กำลังโหลดความคิดเห็น