xs
xsm
sm
md
lg

"หลวงพี่น้ำฝน"ซัดDSI ลุยตรวจ “วัดยันตระ” รุกป่า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน360 - “หลวงพี่น้ำฝน” ควงทนายความ-ไวยวัจกรวัดไผ่ล้อมตั้งโต๊ะแถลงข่าว ยัน “จากัวร์หรู” จดทะเบียน-เสียภาษีถูกต้อง ด้านประธานสมัชชาพระนิสิตฯ ลั่นร่วมสวดมนต์ครั้งใหญ่ตามคำเรียกร้องเจ้าคุณประสาร ด้าน “ทนายวัดปากน้ำ” ลุ้นมติแจ้งข้อหาวันนี้ ขณะที่ “หัวหน้าชุดพญาเสือ” สนธิกำลังหลายหน่วย บุกตรวจสอบบ้านพักใน "วัดถ้ำลิเจีย" ของ "อดีตพระยันตระ"

วานนี้ (26 ก.ค.59) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่บริเวณศาลาชีวะศิริ ฌาปนสถานปลอดมลพิษ วัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม พร้อมด้วยนายศุภภัทรพจน์ นิติศศธร ทนายความ และไวยาวัจกร วัดไผ่ล้อม ได้เปิดแถลงข่าว ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันศุกร์ที่ 22 กรกฏาคม 2559 ที่ผ่านมา พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้แถลงข่าวกรณีรถโบราณ จากัวร์ เพ็นเทอร์ ซึ่งมีชื่อของ พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เป็นผู้ครอบครอง โดยได้แถลงความคืบหน้า ในการตรวจสอบรถยนต์จดประกอบ คันดังกล่าวว่า ผิดกฎหมายตั้งแต่ต้น เป็นการตั้งใจหลีกเลี่ยงภาษีอากรโดยเจตนา และได้มีการปลอมลายมือชื่อของนายชรินทร ปถคามินทร์ เป็นผู้นำเข้าเครื่องยนต์ ในทางคดีเห็นว่ามีความผิด ฐานหลีกเลี่ยงอากรตาม พ.ร.บ. ศุลกากร มาตรา 27 ประกอบ พ.ร.ก. พิกัดอัตราศุลกากร

นายศุภภัทรพจน์ นิติศศธร ทนายความ และไวยาวัจกร วัดไผ่ล้อม เปิดเผยว่า เรื่องดังกล่าวเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2556 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้มีหนังสือที่ ยธ 0800.4/471มายังพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน ขอเชิญให้นำรถยนต์โบราณ จากัวร์ เพ็นเทอร์ เข้าทำการตรวจสอบ ครั้งที่ 1 และพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน ได้นำรถยนต์ดังกล่าว ไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพื่อให้ทำการตรวจสอบ

โดยมีหน่วยงานราชการต่างๆ ร่วมทำการตรวจสอบ และมีการแถลงข่าวไปแล้วก่อนหน้าซึ่งพร้อมจะมีการให้ข้อมูลกับ ทาง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กระทั่งวันที่ 22 กรกฎาคม 2559 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้มีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า รถโบราณ จากัวร์ เพ็นเทอร์ ซึ่งมีชื่อของ พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เป็นผู้ครอบครอง ผิดกฎหมายตั้งแต่ต้น เป็นการตั้งใจหลีกเลี่ยงภาษีอากรโดยเจตนา โดยสำแดงนำเข้าโครงรถยนต์เป็นเพ็นเทอร์ สำแดงเครื่องยนต์เป็นจากัวร์

แต่แท้จริงแล้ว รถดังกล่าวเป็นยี่ห้อเพ็นเทอร์ไม่ใช่จากัวร์ รวมทั้งมีการปลอมลายมือชื่อของนายชรินทร ปถคามินทร์ เป็นผู้นำเข้าเครื่องยนต์ จากหลักฐานเชื่อว่ารถคันดังกล่าว มีการแยกชิ้นส่วนมาจดประกอบจริง ในทางคดีเห็นว่าผู้นำเข้าเครื่องยนต์และตัวถัง มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้อง ถือเป็นบุคคลเดียวกันและถือเป็นผู้มีความผิดฐานหลีกเลี่ยงอากรตาม พ.ร.บ. ศุลกากร มาตรา 27 ประกอบ พ.ร.ก. พิกัดอัตราศุลกากร

"ส่วนรถยนต์คันนี้ จะเรียกยี่ห้อจากัวร์ เพ็นเทอร์ หรือเพ็นเทอร์ จากัวร์ เป็นเรื่องของกรมการขนส่งทางบก รวมทั้งไม่ทราบเรื่องการปลอมลายมือชื่อ ของนายชรินทรฯ เนื่องจากไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องในการนำเข้ารถยนต์คันดังกล่าว และเรื่องการดำเนินการต่างๆหลวงพี่น้ำฝน ท่านไม่ได้เข้าไปยุ่ง และข้อสำคัญที่อยากจะฝากคือการเสียภาษีหรือค่าใช้จ่ายใดใด หลวงพี่น้ำฝนท่านไม่จำเป็นต้องจะไปหลบเลี่ยงเนื่องจาก มีคุณเติมศักดิ์ ปิติธนสารสมบัติ ที่เป็นลูกศิษย์ลูกหาได้พร้อมจะนำถวายทั้งหมด และหากว่ามีการแจ้งความผิด หน่วยงานทั้ง กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต กรมการขนส่งทางบกก็น่าจะมีปัญหาด้วย เนื่องจากปล่อยให้มีการดำเนินการเรื่องนี้มาได้อย่างไร" นายศุภภัทรพจน์ กล่าว

ด้านพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม กล่าวว่า รถยนต์คันดังกล่าวไม่สามารถใช้งานได้ เนื่องจากคนที่ถวายมานั้นต้องการให้เป็นวิทยาทาน เป็นกุโลบายเท่านั้นเอง

ทั้งนี้ ในส่วนทางคดีทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ยังไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาเป็นเอกสาร ซึ่งในขั้นตอนหากมีการเรียกตัวพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน ก็พร้อมจะมีการส่งเอกสารและให้ทนายความไปให้ปากคำต่อเจ้าหน้าที่ต่อไปตามขั้นตอน

*** ประธานสมัชชาพระนิสิตฯ ลั่นร่วมสวดมนต์ครั้งใหญ่

สืบเนื่องจากพระเมธีธรรมาจารย์ หรือเจ้าคุณประสาร เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ออกมาเรียกร้องขอให้พระสงฆ์ พระสังฆาธิการ ทุกรูปในประเทศ และพระธรรมทูต ในต่างประเทศ แสดงพลังชาวพุทธ ภายหลังกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ แถลงผลการสอบสวนคดีรถเบนซ์โบราณ ทะเบียน ขม 99 กรุงเทพฯ ที่อยู่ในการครอบครองของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชว่า ผิดตั้งแต่การนำเข้า การชำระภาษีสรรพสามิต การจดทะเบียนกับกรมขนส่งทางบก ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องอาจใช้เป็นเหตุผลไม่แต่งตั้ง สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ขึ้นเป็นพระสังฆราชนั้น

วานนี้ (26 ก.ค.) พระมหาศิริศักดิ์ สิริวุฑฺฒิปญฺญาเมธี ประธานสมัชชาพระนิสิตพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า สมัชชาพระนิสิตฯ พร้อมที่จะออกมาร่วมสวดมนต์กับพระสงฆ์ทั่วประเทศ นอกจากนี้สมัชชาพระนิสิตฯ ได้มีการหารือร่วมกันเตรียมที่จะออกแถลงการณ์ ในเร็วๆนี้ เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีสมเด็จพระสังฆราช ขอให้ทุกฝ่ายปฏิบัติอย่างเหมาะสม เชื่อว่า หากเหตุการณ์ยังเป็นเช่นนี้อยู่ ประเทศไทยจะมี สมเด็จพระสังฆราช 2 นิกายแน่นอน

พระครูกาญจนกิจจารักษ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรพระสงฆ์รุ่นใหม่ กล่าวว่า เห็นด้วยกับ พระเมธีธรรมาจารย์ ที่ โดยเครือข่ายองค์กรสงฆ์รุ่นใหม่ พร้อมที่จะเคลื่อนไหวร่วมกับพระเมธีธรรมาจารย์

นายชยพล พงษ์สีดา รองผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) กล่าวว่า เท่าที่พศ.ได้ศึกษาตัวบทกฎหมายต่างๆแล้ว ไม่มีกฎหมายฉบับใดบัญญัติไว้ว่า เมื่อผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ถูกแจ้งข้อกล่าวหาในคดีอาญาแล้วจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใด ที่สำคัญเมื่อผู้ใดถูกกล่าวหาในคดีอาญา ยังถือว่า เป็นผู้บริสุทธิ์

นายสมศักดิ์ โตรักษา ทนายความ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กล่าวว่า ทีมทนายยังคงรอผลการประชุมร่วมพนักงานสอบสวนของดีเอสไอในวันนี้ (27 ก.ค.) ว่า จะลงมติแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ใดบ้าง

*** “บิ๊กป้อม”ขู่อย่าปลุกระดม

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม กล่าวว่า ขอร้องอย่ามีการปลุกระดม เพราะขณะนี้รัฐบาลกำลังดำเนินการทุกอย่างตามกฎหมาย ซึ่งถ้าหากทำอะไรที่นอกลู่นอกทางก็ไม่มีประโยชน์ และจะยิ่งทำให้ภาพรวมเกิดความเสียหาย

** บุกตรวจวัด"อดีตพระยันตระ"

วันเดียวกัน เมื่อเวลา 10.00 น. นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าชุดพญาเสือ ศูนย์ฏิบัติการพิเศษ ผู้พิทักษ์อุทยานแห่งชาติ และสัตว์ป่า พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดพญาเสือ ร่วมกับ นายเทวินทร์ มีทรัพย์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลม พ.ต.อ.บัญชา ปั้นประดับ รอง ผบก.ปทส. พ.ต.ท.จุมพล เลขสุนทรากร รอง ผกก.สส.สภ.สังขละบุรี พ.ต.ท.ฐิติยุทธ บรรจงธุรการ สวป.สภ.สังขละบุรี เจ้าหน้าที่ทหารชุดเฉพาะกิจลาดหญ้า กกล.สุรสีห์ เจ้าหน้าที่ ตชด.ที่ 134 และ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอสังขละบุรี พร้อมกำลังกว่า 100 นาย เข้าตรวจสอบบริเวณวัดลิเจีย หมู่ 4 ต.ปรังเผล อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เนื่องจาก ได้รับการร้องเรียนจากผู้หวังดีว่า พื้นที่ดังกล่าวมีการบุกรุกพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม และมีการแบ่งล็อกขายให้แก่กลุ่มนายทุนที่เป็นลูกศิษย์ของวัดดังกล่าว

จากการตรวจสอบพบว่า พื้นที่ของวัดลิเจีย ได้ขออนุญาตพุทธอุทยานดำเนินการทางด้านพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้องตามกฎหมายของกรมอุทยานฯ แต่มีพื้นที่จำนวนหนึ่งที่เป็นเชิงเขาติดกับพื้นที่ของวัดลิเจีย มีการจัดพื้นที่แบ่งออกเป็นแปลง รวมทั้งหมด 13 โดยแปลงที่ 1-9 ปลูกเป็นบ้านพักตากอากาศ

จากนั้น คณะของนายชัยวัฒน์ ได้เดินตรวจสอบบ้านพักแล้วเสร็จทั้ง 9 หลัง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบพิกัดดาวเทียมว่าพื้นที่ของบ้านพักอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหรือไม่ สำหรับที่ดินแปลงที่ 10-13 เดิมทีเป็นไร่ส้ม ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจวัดค่าพิกัดจากดาวเทียวเช่นกัน

เวลา 12.00 น. เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบสำนักสงฆ์อีก 2 แห่งที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับวัดลิเจีย เบื้องต้นพบอุปกรณ์เลื่อยโซ่ยนต์ และเลื่อยวงเดือนจำนวนหนึ่ง จึงทำการตรวจสอบว่าอุปกรณ์ชนิดดังกล่าวถูกกฎหมายหรือไม่ แต่ในเบื้องต้นบ้านพักทั้ง 9 หลัง และแปลงไร่ส้ม 3 แปลงรุกที่เขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลมแน่นอน

สำหรับวัดถ้ำลิเจีย เป็นวัดที่เคยมีชื่อเสียงที่โด่งดังเป็นอย่างมาก เนื่องจากเคยเป็นวัดของพระยันตระ อีกทั้งเมือหลายปีก่อน ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักย์ศิริ อดีต ส.ส.ราชบุรี เคยนำทีมงานมาขุดหาขุมทองโบริ ภายในถ้ำลิเจียมาแล้ว.
กำลังโหลดความคิดเห็น