xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

สุริยะใส กตะศิลา การเมืองเรื่องประชามติ 7 สิงหา 59

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วัน สำหรับการออกเสียงประชามติ ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. …. ในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 โดยผู้มีสิทธิออกเสียงกว่า 50 ล้านคน จะมาร่วมขับเคลื่อนประเทศด้วยการออกเสียงใน 2 ประเด็น แสดงความ 'เห็นชอบ' หรือ 'ไม่เห็นชอบ' กับร่างรัฐธรรมนูญฯ และคำถามพ่วงเรื่อง ส.ว. สรรหาที่มาจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

สัมภาษณ์พิเศษฉบับนี้ สุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต และ ผอ.สถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) จะมาวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองช่วงก่อน-หลังการออกเสียงประชามติ 7 สิงหาคม ชำแหละร่างรัฐธรรมนูญฯ ฉบับ มีชัย ฤชุพันธุ์ รวมทั้งนัยทางการเมืองที่ทับซ้อนซ่อนเงื่อนอยู่ในการออกเสียงประชามติครั้งนี้



สถานการณ์ทางการเมืองก่อนการออกเสียงประชามติ 7 สิงหาคม 2559

สถานการณ์ช่วงก่อนผมคิดว่ายังเป็นบรรยากาศของความขัดแย้งมากกว่าจะเป็นบรรยากาศของการดีเบต หรือถกแถลงกันถึงสาระสำคัญของตัวร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าจากประสบการณ์ของผมถ้าย้อนกลับไปเปรียบเทียบ 10 ปี ที่แล้วก่อนประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 บรรยากาศก็ดูคึกคักเข้มข้นและเป็นเหตุเป็นผลมากกว่านี้นะครับ แต่รอบนี้กลับพบว่าเป็นการเผชิญหน้ากันด้วยธงการเมืองที่คนละขั้วคนละฝ่ายกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร มันก็เลยทำให้แทนที่จะเข้าไปถกกันจริงๆ หรือสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ กลับพบว่ามันไปไม่ถึงมันไปไม่สุด เช่น ฝ่ายที่เข้าบอกว่าไม่รับร่างรัฐธรรมนูญเขาก็ตั้งธงตั้งแต่ต้นนะ บางคนอาจยังไม่ดูร่างรัฐธรรมนูญด้วย หรือยังไม่เห็นเสียด้วยซ้ำไป แต่ก็ประกาศออกมาแล้ว ไม่ ว่า อย่างไรก็ไม่รับเพราะเป็นร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากเผด็จการ ผลไม้พิษ ต้นไม้ผิด อะไรทำนองนี้น่ะครับ ในขณะที่ฝ่ายบอกว่าดีจะต้องเพราะร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง พวกนี้ผมก็ไม่แน่ใจว่าจริงๆ แล้วได้ดูกันในสาระสำคัญจริงๆ หรือเปล่า ว่าหวังพึ่งได้จริงไหม หรือดีกว่าเดิมแค่ไหน ผมคิดว่าทั้ง 2 ฝ่าย ควรจะใช้เวลาที่เหลือไม่ถึง 20 วัน เข้ามาถกแถลงกันในส่วนของที่เป็นสาระสำคัญให้ได้จริงๆ

มิเช่นนั้นวันที่ 7 สิงหาคม นัยของมันไม่ใช่เรื่อรับไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ มันจะมีเจตจำนงแทรกเข้ามา เช่น พอเกิดเหตุการณ์รัฐประหารที่ตุรกี ฝ่ายไม่รับร่างรัฐธรรมนูญก็บอกว่าเขาไปโหวตไม่รับร่างรัฐธรรมนูญเพื่อต่อต้านคณะรัฐประหารอย่างสันติ เห็นไหม? มันก็คนละเรื่องกับเนื้อหาสาระของร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับ อ.มีชัย ฤชุพันธุ์ (ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ)

ส่วนตัวผมถามว่า.. มันเป็นทางออกอะไรไหม ผมไม่คิดว่า 7 ส.ค. มันจะเป็นทางออกอะไรในทางการเมือง และต้องยอมรับว่าโจทย์ของความขัดแย้งมันยังซ้อนอยู่มันยังครอบงำบริบทางการเมืองส่วนอื่นอยู่ทำให้การให้ความสำคัญกับตัวรัฐธรรมนูญมันลดน้อยถอยลง พูดง่ายๆ สถานะของตัวรัฐธรรมนูญความศักดิ์สิทธิ์ของมันลดลง จริงๆ ไม่ใช่ตัวรัฐธรรมนูญนะ แต่เป็นปัญหาของคนบังคับใช้รัฐธรรมนูญ คือตัวนักการเมืองนั่นแหละ มันก็เลยทำให้รู้สึกว่าเขียนให้ดีอย่างไรก็ตามนักการเมืองยังหน้าเดิมมันก็เหมือนเดิม คนไม่น้อยนะที่เคยร่วมเขียนร่วมสู้ร่วมรณรงค์ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2540 ทำมากับผม 20 ปี ตอนนี้โยนผ้าขาวไม่เอาแล้ว ไม่ให้ความสำคัญ ตราบใดที่นักการเมืองยังไม่มีคุณธรรม ใครเข้ามาพอมีอำนาจก็สวาปามเหมือนกัน

นี่เป็นปัญหาที่ผมห่วง 7 สิงหาคม เกือบ 20 วันที่เหลืออยู่ หากเรายังไม่สามารถเข้าไปเถียงสาระสำคัญว่าประเทศจะไปอย่างไร รัฐธรรมนูญฉบับนี้ตอบโจทย์ไหน 7 สิงหาคม จะไม่บอกอะไรในทางการเมืองเลย มันจะเป็นเพียงวิธีการหนึ่งของโรดแมปใหญ่ที่ คสช. วางไว้ คำถามคือ รัฐธรรมนูญผ่านแล้วจะปฏิรูปการเมืองได้เหรอ ประกันว่าจะปฏิรูปอย่างไรผมก็ไม่แน่ใจ หรือถ้าไม่ผ่านถ้าเอาฉบับไหนมาใช้ก็ตอบไม่ได้อีกเหมือนกัน จะไปต่ออย่างไร โรดแมปของฝ่ายค้าน ไม่รับร่างฯ ก็ไม่มีเช่นกัน 7 สิงหาคม เอาละ! ในฐานะที่เราเป็นพลเมืองเราก็ต้องไปใช้สิทธิ ผมก็ตั้งใจจะโหวตอย่างใดอย่างหนึ่งแต่ว่านาทีนี้ผมยังไม่อยากพูดในทางสาธารณะว่าจะโหวตอย่างไรนะครับ
 
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีหลายกลุ่มการเมืองและภาคประชาสังคมออกมาคัดค้าน

กลุ่มที่ค้านร่างรัฐธรรมนูญ มี 3 กลุ่ม ผมว่ารอบนี้นัยสำคัญของคนโหวตไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ น่าวิเคราะห์และมีนัยสำคัญซับซ้อนมากกว่าคนที่โหวตรับร่างรัฐธรรมนูญ คนที่โหวตรับร่างคุณอาจจะเชื่อมั่นว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้อาจจะนำไปสู่การปฏิรูป มีมาตรการปราบโกง มีแผนยุทธศาสตร์ชาติ คุมนักการเมืองทุจริตได้มากขึ้น คนที่โหวตอาจจะคิดง่ายแบบนั้น แต่คนที่ไม่เห็นด้วยเนี่ยมีหลายนัย กลุ่มแรกคนที่คิดต้านรัฐประหารตั้งแต่ต้น กลุ่มนี้ต่อให้เขียนรัฐธรรมนูญอย่างไรเขาก็ไม่รับ และอย่างที่ผมบอกเป็นกลุ่มที่ประกาศไม่รับร่างรัฐธรรมนูญตั้งแต่แรกๆ ด้วยซ้ำ ไม่ใช่แค่ร่างฯ นี้นะ ตั้งแต่ร่าง อ.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ซึ่งหลายคนก็บอกว่าดีกว่าร่างฯ นี้เขาก็ไม่รับนะ เพราะมาจากเผด็จการ กลุ่มคนที่สอง คือกลุ่มการเมือง กลุ่มนี้อาจจะมองรัฐธรรมนูญบางประเด็นที่ตนมีส่วนได้เสีย พอไม่พอใจก็ติเรือทั้งโกลน เช่น พรรคการเมืองเกือบทุกพรรค โดยเฉพาะพรรคใหญ่นะ ก็ไม่ชอบระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมแบบที่ อ.มีชัย ออกแบบ ก็ทำให้ไม่สนใจมาตราอื่น พูดง่ายๆ คือมาตรนี้ไม่ดีก็ไม่เอาทั้งฉบับ คืออ่านรัฐธรรมนูญทั้งฉบับอ่านอยู่มาตรเดียวคือระบบเลือกตั้งกลุ่มสุดท้าย องค์กรประชาสังคมหรือองค์กรวิชาการ ผมคิดว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่บริสุทธิ์ใจ กลุ่มที่ตำหนิและมาวิจารณ์รัฐธรรมนูญด้วยสาระที่มันไม่มีนัยทางการเมือง แต่อยากเห็นรัฐธรรมนูญจากประชาธิปไตยอยากเห็นรัฐธรรมนูญที่ก้าวหน้าขึ้น ฉะนั้น ผมว่ามี 3 กลุ่มที่ตั้งธงไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ หากทั้ง 3 กลุ่มนี้โหวตไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ก็จะมีกลุ่มที่ใช้ประโยชน์จากเสียงไม่รับร่างอีก ไม่ว่าผลจะเท่าไหร่ก็ตาม แต่การจะไปตีขลุมว่าเป็นกลุ่มที่ไม่พอใจ คสช. ต้านรัฐประหารไม่ได้นะ เพราะมันมีนัยซ้อนอยู่เยอะ

ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับ อ.มีชัย ฤชุพันธุ์ ในทัศนะคุณสุริยะใส

เฉพาะส่วนที่เป็นมาตรหรือหมวดที่มันเกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพประชาชนผมว่าในภาพรวมมันไม่ได้ด้อยไปกว่าร่างฯ ฉบับ ที่ผ่านมานะ อาจจะบางมาตราที่เป็นปัญหาอยู่ ถ้าที่เป็นจุดอ่อนอยู่คือมาตราที่บอกว่า เวลาการทำสนธิสัญญากับต่างประเทศกระทบกับอำนาจอธิปไตย อำนาจความมั่นคง เหมือนกับตัดบทที่ประชาชนมีส่วนร่วมออก คือให้ความสำคัญลดลงไป แต่ส่วนอื่นภาพรวมผมยังคิดว่ายังไม่กระทบมาก บางเรื่องอาจจะดูดีด้วยซ้ำ เช่น การ จัดสรรงบประมาณแต่เดิมไม่ได้คำนึงถึงต่างประเทศแต่รอบนี้การจัดสรรงบประมาณแผ่นดินคำนึงถึงเรื่องนี้ ก็เป็นส่วนที่หายไปและมีส่วนที่เพิ่มใหม่เข้ามา มันก็ต้องชั่งน้ำหนักกัน ใน ภาพรวม ส่วนที่เป็นการเมืองประชาสังคมผมไม่กังวลอะไร ตราบใดที่ประชาสังคมตื่นตัว สรุปบทเรียน และเคลื่อนไหว มีพลวัตของมัน บางทีตัวรัฐธรรมนูญเขียนกันอย่างไรก็เอาไม่อยู่หรอก สุดท้าย กฎหมายก็ห้ามไม่ได้ต้องปรับและอนุวัติไปตามความตื่นตัวของพลเมืองหรือความต้องการของประชาชนที่แท้จริง

แต่ที่ผมกังวลคือส่วนที่มันเกี่ยวข้องกับรอยต่อระหว่างอำนาจของ คสช. กับการเปลี่ยนผ่านไปสู่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ส่วนนี้ผมยังคิดว่ามันยังไม่สมูท ยังดูถูกตีความเป็นการสืบทอดอำนาจเป็นให้ ส.ว. สรรหา 250 คนในปีแรก ที่มาจากการเลือกของ คสช. สามารถเป็นคนรับรองผู้ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ฉะนั้น มันไม่มีหลักประกันว่าประชาชนเลือกคนเข้าไปเป็นนายกฯ แต่ว่าสภาฯ อยากจะเลือกคนก็ได้ มันมีทั้งจุดอ่อนจุดแข็งนะในทัศนะผม

และเรื่องกลไกปราบโกง รัฐธรรมนูญมันจะทำได้จริงหรือเปล่า ผมว่าผมยังไม่มั่นใจต้องทดลองดู แต่อย่าลืมว่าการทุจริตสมัยนี้มันมีความสลับซับซ้อนมากกว่าเดิมเยอะ กฎหมายเขียนยังไงมันก็มีทางออกมีช่องไป ที่สำคัญที่สุดเราไปตั้งเป้าผิดว่าการปราบโกงทำได้โดยการเขียนกฎหมายเข้มงวดเพิ่มโทษแรงๆ ผมว่าตรงนี้มันแก้ปัญหาได้เพียงนิดเดียวหรืออาจจะไปสร้างปัญหาใหม่ด้วยก็ได้ แต่ผมคิดว่าการปราบโกงถ้าจะทำได้มันต้องทำให้สังคมเป็นสังคมที่คำนึงถึงหลักธรรมาภิบาล ถ้าสมมติว่าคนใช้กฎหมายเป็นพวกเดียวกันน่ากลัวนะไปเล่นงานฝ่ายตรงข้ามไปเล่นงานคนดีได้เหมือนกัน ฉะนั้น กลไกปราบโกงถ้าไม่ยึดโยงกับสังคมอันตราย ที่ผมเห็นมันเป็นดาบอาญาสิทธิ์ให้กับคนบางกลุ่มด้วยซ้ำ ถ้าคนดีได้ใช้ก็ดี ถ้าดาบไปตกอยู่ฝ่ายอธรรมก็เป็นยุคคนดีไม่มีที่ยืน

จุดยืนต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นอย่างไรบ้าง

ผ่าน ไม่ผ่าน ผมพูดตรงๆ ผมเฉยๆ ผมเห็นว่าปัญหาใหญ่การเมืองอยู่นอกรัฐธรรมนูญ เช่น ปัญหา คุณทักษิณ ชินวัตร ต่อให้เขียนรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่าน แล้วแก้ปัญหาระบบทักษิณได้ไหม ผมไม่แน่ใจ หรืออาจจะทำให้แกร่งขึ้นก็ได้ คือโจทย์ที่มันอยู่นอกรัฐธรรมนูญเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และคอนฟิกการเมืองไทยช่วงทศวรรษที่ผ่านมาไม่ได้อยู่ในรัฐธรรมนูญนะ ปัญหาอยู่ภายนอกรัฐธรรมนูญ เช่น กระบวนการล้มเจ้า คอร์รัปชั่นทางนโยบาย รัฐธรรมนูญเขียนไว้อย่างไรก็ตาม เขาจะเอาก็ยังทำได้ ฉะนั้น บางเรื่องผมคิดว่ามันเอาทุกอย่างไปใส่ในตัวรัฐธรรมนูญทั้งหมดไม่ได้นะครับ อย่าไปคิดว่าร่างรัฐธรรมนูญหรือตัวรัฐธรรมนูญเป็นยาวิเศษแก้ปัญหาสารพัดโรคได้อันนี้ไม่จริง แต่เอาละถามเฉพาะหน้าส่วนตัวผมแม้นเห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีปัญหาเยอะก็ตาม แต่ก็ยังคิดว่าไม่ได้เลวร้ายไปกว่าร่างรัฐธรรมนูญ 2550 เท่าไหร่นัก

ส่วนที่เลวร้ายคือ คำถามพ่วงที่เป็นปัญหาจริงๆ ผมว่าหลายคนอยากจะบอกว่าอยากรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้นะ แต่พอมาเจอคำพ่วงลังเลหรืออาจจะเปลี่ยนใจก็ได้ ตัวผมก็รู้ถามตัวเองจำเป็นต้องแถลงจุดยืนต่อสาธารณะไหมว่าเรารับหรือไม่รับ ตอนนี้ยังไม่อยากพูดอะไรอยากให้พี่น้องประชาชนได้ตัดสินใจด้วยตนเอง เอาไว้ๆ ใกล้ค่อยว่ากันอีกที

การออกเสียงประชามติ 7 สิงหาคม 2559ท้ายที่สุดถูกมองว่าเป็นแค่เกมการเมือง

ปฏิเสธไม่ได้หรอกมันเป็นเกมการเมือง ตัวรัฐธรรมนูญร่างมันมีตัวหนึ่งที่มันซ้อนอยู่ คือการเมืองเรื่องรัฐธรรมนูญ มันซ้อนอยู่กับตัวรัฐธรรมนูญ การเมืองเรื่องรัฐธรรมนูญก็คือมันมีเรื่องผลประโยชน์เรื่องความขัดแย้งทางการเมือง มีเรื่องการใช้รัฐธรรมนูญเพื่อเป็นเครื่องมืออะไรบางอย่าง แม้กระทั่งในแง่ทฤษฎีจุดยืนต่างกันมันซ้อนทับอยู่ด้วยความขัดแย้งหลายมุม มันมีการเมืองบางอย่างของมันอยู่ มันไม่ได้เป็นตัวรัฐธรรมนูญเพียวๆ แบบนั้น สิ่งที่มันซ้อนและใหญ่กว่าตัวรัฐธรรมนูญคือ การเมืองของรัฐธรรมนูญ

เช่น ถามว่า คสช. รับร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับนี้ได้จริงไหม? ผมว่า คสช. รับไม่ได้! แต่ไปเบรกไม่ได้ ถามว่าถ้ารับไม่ได้ ทำไม คสช. ไม่เลื่อนประชามติ หรือหาวิธีคว่ำ คำถามต่อมา คว่ำ แล้วยังไง คว่ำแล้วคนที่เสียสุดคือ คสช. จะหมดความชอบธรรม ก็คือการเมืองอย่างหนึ่ง ฉะนั้น คสช. ต้องทำให้ร่างตัวนี้ผ่าน ไม่ใช่ผ่านธรรมดาด้วยนะ ต้องผ่านคะแนนถล่มทลายหรืออาจจะต้องมากกว่าประชามติร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 เพื่อที่จะสร้างความชอบธรรมในการอยู่ไปอีกระยะหนึ่ง อย่างน้อยๆ ก่อนเลือกตั้งซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะปี 2560 หรือ 2561 รัฐธรรมนูญเสร็จ ผ่านแล้ว คสช. ก็ยังอยู่จนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ ก็พอสมควร เกือบๆ อีก 2 ปี

คุณสุริยะใสออกมาพูดเรื่องผลประชามติอาจเป็นโมฆะ ช่วยขยายความหน่อย

ที่ห่วงก็คือ ยอดผู้มีสิทธิการทำประชามติครั้งนี้เพิ่มขึ้นกว่า 5 ล้านคน เพราะ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไปขยายฐานผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ ขยายฐานผู้มีสิทธิจากเดิมปี 2550 อยู่ 45 ล้านคน ปีนี้ประมาณ 50 ล้านคน แล้ว5 ล้านคนที่เพิ่มอยู่ในวัย 18 -19 ปี ทีนี้ ถ้าจะต้องให้ดีผลประชามมติมีความชอบธรรมนั่นหมายความคนไปใช้สิทธิจะต้องไม่น้อยกว่า 25 ล้านคน มันไม่ใช่เรื่องรับหรือไม่รับร่างฯ นะ เอาคนที่มาใช้สิทธิก่อนต้องได้กึ่งหนึ่ง ถ้าใช้สิทธิเพียง 24 ล้าน ผมถือว่าโมฆะ เพราะถือว่าการประชามาติเป็นเรื่องของคนส่วนน้อย ฉะนั้น มันต้อง 25 ล้านเสียงขึ้นไป อาจจะต้องมากกว่าสัก 30 - 40 ล้านเสียงขึ้นไป แต่ที่น่าคิดคือว่าปีที่แล้วความสนใจของประชาชนมันมีมากกว่านี้ คึกคักมากกว่านี้ เทียบกับเมื่อปี 255 ผู้มีสิทธิออกเสีย45 ล้านคน ไปใช้สิทธิแค่ 25 ล้านเสียง คิดเป็น 57 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งครั้งนี้ที่น่ากังวลที่สุดมีสำนักโพลเปิดเผยว่าคนภูธรมากกว่ากึ่งนึงยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันที่ 7 สิงหาคม เขามีอะไร ซึ่งผมเป็นห่วงว่ามันจะไปต่ออย่างไร ท้ายที่สุดคนออกมาใช้สิทธิ ในวันที่ 7 สิงหาคม น้อยกว่า 25 ล้านเสียง ผมถือว่าประชามติครั้งนี้โมฆะ การที่ผู้ออกเสียงน้อยเกินไปหรือปริ่มๆ มันทำให้กระบวนการความเชื่อมั่นในการปฏิปรูปประเทศไทยกระทบและหมดความน่าเชื่อถือ ที่สำคัญ 7 - 8 ล้านเสียงที่เคยใช้สิทธิออกเสียล่วงหน้าเพราะไปทำงานที่อื่นใช้สิทธิกลับบ้านไม่ได้ในวันออกเสียงถูกตัดสินไปเลย เพราะวันออกเสียประชามติไม่มีการออกเสียงล่วงหน้าเหมือนกับเลือกตั้งทั่วไป

ผลลัพธ์มันย้อนกลับมาที่บทบาทของ กกต.

กกต. ผมเข้าใจได้นะ เอามุมที่ผมเห็นใจเข้าก่อน คือรอบนี้ คสช. ค่อนข้างจะเคร่งครัดเข้มงวดเกินไปคุมเวทีเสียจนคนที่เขาอยากจะแสดงความเห็นโดยสุจริตใจเขาอาจจะรู้รับไม่ได้และอาจจะเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นมากไป คือไปปิดกั้นหมดมากไป มันทำให้ผมเข้าใจว่าคนกลุ่มนี้รู้สึกไม่พอใจ พอไม่พอใจพูดบนดินไม่ได้ก็ลงใต้ดิน ก็เลยไม่แปลกที่เราเห็นร่างรัฐธรรมนูญปลอม เห็นเอกสารเถื่อน ใบปลิว เห็นคลิป การบิดเบือนสาระสำคัญของตัวรัฐธรรมนูญหลายส่วน เพราะว่าเราพูดเปิดเผยกันไม่ได้ คนก็เลยไปพูดเคลื่อนไหวใต้ดิน ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ กกต. เองลำบากใจที่จะไปกำหนดกฎเกณฑ์อะไรทำได้หรือไม่ได้ ประเด็นถัดมา ผมคิดว่า กกต. ชุดนี้อาจจะตั้งแต่รับตำแหน่งมา 2 ปีกว่า เขายังไม่เคยจัดการเลือกตั้งระดับชาติ ฉะนั้น กลไกความพร้อมประสบการณ์อาจจะยังไม่พอ ทำให้กลไกจัดการเลือกตั้งขาดๆ เกินๆ ความพร้อมอาจยังไม่ดีเท่าไหร่ ประเด็นสุดท้าย ผมคิดว่า กกต. ก็คงลำบากใจเพราะอยู่ตรงกลางทำให้ทุกกลุ่มรับการอำนวยความสะดวกเท่าเทียมกัน แต่ในขณะเดียวกัน กกต. โดนกดดันถูกใช้ประโยชน์ก็มี แต่ส่วนที่เป็นปัญหาโดยตัว กกต. เองก็มี เช่น บางครั้งผมว่าเขาใช้เวลาไปกับการตอบโต้หรือการเอาตัวเองไปผูกกับความขัดแย้งทางการเมืองมากไป บางเรื่องนั้นมันไม่ควร ที่สำคัญอีกไม่ถึง 20 วัน ประชาชนครึ่งต่อครึ่งยังไม่รู้ว่าวันที่ 7 สิงหาคม มีการลงประชามติ ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าสถานการณ์แบบนี้จะทำให้คนที่ไม่รู้อะไรเลยไม่มีข้อมูลอะไรเลย อาจจะถูกชี้นำได้ง่าย ที่เหลือก็ต้องทำงาน 24 ชั่วโมง เพื่อให้ข้อมูลให้คนมาออกเสียงมาออกเสียงประชามติ

ด้านโหราศาสตร์ โหรวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ ออกมาบอกประชามติผ่านฉลุยตามโรดแมป

ผมคิดว่าคงมีความวุ่นวายบ้างแหละ พวกที่ตั้งจะเข้าไปฉีกบัตรประชามติหรือทำสัญลักษณ์ท้าทายบางอย่าง ใส่เสื้อประท้วงเข้าไปในคูหาก็มี เตรียมดราม่า เตรียมถ่ายรูปแชร์กันมีแน่ แต่จะถึงขั้นล้มหรือเกิดความวุ่นวาย ถึงขั้นทำให้ประชามติถูกเลื่อนออกไปหรือยกเลิกไป นาทีนี้ผมคิดว่าไม่น่ามีปัญหา ปัญหาที่น่าห่วงคือหลังประชามติ อาฟเตอร์ช็อกอะไรจะเกิดขึ้นหรือเปล่า? สมมติ ประชามติผ่านแบบถล่มทลาย คสช. ก็มีความชอบธรรมระดับหนึ่งแล้วที่จะอยู่ไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้ง ไม่เสียหน้า แต่ถ้าผ่านแบบหวุดหวิดล่ะ อันนี้เป็นปัญหา ฝ่ายที่ค้านเขาก็จะบอกว่าขนาดใช้กลไกราชการช่วยทุกทางแล้วยังชนะแค่นิดเดียว แต่ถ้ากรณีไม่ผ่าน ไม่ผ่านแบบถล่มทลายพลิกล็อก ถึงนายกฯ จะบอกไม่ผ่านผมก็เขียนใหม่ พูดง่าย แต่ในทางปฏิบัติไม่ง่ายอย่างที่พูด ความชอบธรรมจะถูกเผชิญกับวิกฤติศรัทธาทันที คนอาจะรู้สึกว่ารัฐบาลหมดความชอบที่จะเป็นเจ้าภาพในการปฏิรูปแล้ว ลงจากอำนาจได้แล้ว นัยแบบนี้มันจะเข้ามา แต่ถ้าไม่ผ่านแบบหวุดหวิดก็จะถูกใช้เคลมนี้ในเรื่องหมดความชอบธรรมเช่นกัน

ช่วยวิเคราะห์ทิศทางการออกเสียงประชามติ 7 สิงหาคม 2559 ทิ้งท้ายหน่อย

ถ้ามีประชามติแล้วส่วนตัวผมมองว่าผ่านนะ เพราะเห็นกลไกราชการ กลไกรัฐ แม้ภาพกว้างอาจจะเห็นไม่ค่อยคึกคัก แต่ทำงานทางลึกเท่าที่ผมทราบและติดตามเขาใส่กันเต็มกำลัง แต่ปัญหาคืออย่างที่ผมบอกข้างต้น ผ่านแล้วยังไง ระบบการเมืองจะดีขึ้นไหม การปฏิรูปจะเป็นอย่างไร แล้วเราจะออกจากกับดักของความขัดแย้งออกจากการเมืองที่ล้มเหลวได้อย่างไร ตรงนี้ต่างหากผมคิดว่ามันเป็นคำถามที่ท้าทาย

ร่างฯ ผ่านแล้วจะดีอย่างนั้นอย่างนี้ ผมว่ามันเป็นคำโฆษณาเชิญเชื่อเกินไป ผมคิดว่าการปฏิรูปก่อนเลือกตั้งที่เป็นวาระทางสังคมในขณะนี้ ผมคิดว่าโจทย์ใหญ่ในขณะนี้ ผมไม่อยากให้พวกเรามองการเมืองแค่หลักไมล์ของวันที่ 7 สิงหาคม แต่ต้องมองยาวๆ นะ มองไปไกลถึงขั้นว่าผ่านไม่ผ่านแล้วเกิดอะไรขึ้น ผมคิดว่าในขณะนี้เราเอาความหวังทั้งหมดไปไว้ในรัฐธรรมนูญเกินไป โดยเฉพาะกลุ่มที่อยากเห็นการปฏิรูประเทศก่อนเลือกตั้ง ผมว่าปัญหาในขณะนี้ก็คือ ทำไมการปฏิรูปเราต้องไปรอรัฐธรรมนูญ ต้องไปรอกฎหมาย คสช. มีอำนาจเต็มมือ เรื่องอะไรที่มันทำได้และทำได้เลย ทำไมไม่ทำ เช่นเรื่อง ปฏิรูปตำรวจ ปฏิรูปพลังงาน ปฏิรูปการศึกษา ปฏิรูปที่ดิน อะไรพวกนี้ทำได้หมดโดยอำนาจของ คสช. มันไม่ต้องไปรอรัฐธรรมนูญ ผมคิดว่าโรดแมปของการปฏิรูปประเทศไทยในขณะนี้ไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญหรอก อยู่ที่ คสช. นี้แหละว่าคุณกล้าใช้อำนาจปฏิรูปจริงจังหรือเปล่า? โดยเฉพาะภารกิจที่คุณแถลงการณ์ตั้งแต่วันที่คุณเข้ายึดอำนาจ ซึ่งผมอยากให้ คสช. กลับไปคิด ผมอยากเห็น คสช. ใช้อำนาจช่วงที่เหลือ หลายเรื่องเริ่มส่งสัญญาณดีแต่ผมไม่แน่ใจว่าแค่ก่อนประชามติหรือสร้างแรงจูงใจให้คนไปโหวตร่างรัฐธรรมนูญหรือเปล่า เช่นเรียนฟรี 15 ปี หรือล่าสุดคำสั่งยึดที่ดิน สปก. แม้นจะมาทำตอนนี้ก็ตาม จริงๆ ต้องทำตั้งแต่ปีที่แล้วแต่ไม่เป็นไรดีกว่าไม่ทำ คำถามว่าจะเอาจริงเอาจังหรือเปล่าหลังประชามติยังมีอยู่ไหม แต่เรื่องปฏิรูปตำรวจ พลังงานเรื่องร้อน เรื่องสาธารณะมันใช้มาตรา 44 ได้ ทำไมไม่ใช้? แล้วไปรอรัฐธรรมนูญผมไม่เห็นรัฐธรรมนูญจะมาแก้ปัญหานี้เลย

สิ่งที่น่าจับตาหลังประชามติ 7 สิงหาคม มี 2 - 3 เรื่องใหญ่ๆ ที่ผมคิดว่าเป็นหลักไมล์ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ต้องจับตา มันอาจจะมีแรงส่งจากผลประชามติ อาจจะเกิดแรงกระเพื่อมขนาดใหญ่ทางการเมืองได้ เช่น ถ้าประชามติไม่ผ่านหลักไมล์จากนั้นคืออะไร คดีคุณยิ่งลักษณ์ คดีธรรมกาย ซึ่งขมวดเวลาใกล้เข้ามาช่วงใกล้ๆ กันเลย บวกเข้ามา อีกเรื่องนึงเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายกองทัพ โยกย้ายทหารล๊อตใหญ่ในปีนี้ ก็เป็นโจทย์หินของ คสช. ถ้า 3 เรื่องนี้จัดการไม่ดีก็อาจจะเกิดแรงกระเพื่อมขนาดใหญ่ในสังคมได้เหมือนกัน

ภาพโดย พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร



กำลังโหลดความคิดเห็น