ผู้จัดการรายวัน 360 - "บิ๊กตู่" ฮึ่มจับหมด "ม็อบพระ" หลังขู่ออกมาเคลื่อนไหวภายใน 7 วัน หากไม่มีการทูลเกล้าฯ ขื่อ “สมเด็จช่วง” เป็นสังฆราช เชื่อ "ธัมมชโย" ยังอยู่ที่วัด "วิษณุ" ย้ำนายกฯมีอำนาจตรวจสอบผู้ได้รับเสนอชื่อ ด้าน “ก.ยุติธรรม” เผยรอเอกสารจาก ตปท.คดีเบนซ์โบราณ ผบก.ปทส.นำกำลังพร้อม จนท.อุทยานฯยึด "วัดถ้ำเนรมิต" วัดดังเมืองกาญจน์ เครือ "วัดพระธรรมกาย" หลังพบรุกที่อุทยานเขื่อนศรีนครินทร์กว่า 90 ไร่ อัยการเลื่อนสรุปฟ้องคดีคลองจั่น 11 ส.ค.
ที่ศูนย์บริการประชาชน บริเวณสำนักงานสำนักงานข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปช.) พร้อม น.พ.มโน เลาหวณิช อดีตศิษย์เอกวัดพระธรรมกาย ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อคัดค้านการเสนอนามสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (สมเด็จช่วง) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ปฏิบัติหน้าที่สมเด็นพระสังฆราช เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ โดยนายไพบูลย์ กล่าวว่า เหตุที่ต้องคัดค้านการเสนอนามดังกล่าวดังกล่าว เนื่องจากพบว่า สมเด็จช่วงยังมีคดีครอบครองรถเบนซ์ผิดกฎหมาย คดีความกำลังอยู่ในขั้นตอนการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อยู่ และพบว่ามีการจ่ายเงินค่ารถเบนซ์ดังกล่าว ซึ่งถือเป็นการผิดพระธรรมวินัย ที่ห้ามพระนำเงินทองไปทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนที่ล่วงละเมิดพระธรรมวินัยด้วย จึงขอให้มีการตรวจสอบก่อน เพื่อไม่ให้เกิดการระคายเคืองเบื้องพยุคลบาท นอกจากนี้ตนยังได้ยื่นให้ดีเอสไอ ตรวจสอบสมเด็จช่วง กรณีให้การช่วยเหลือพระเทพญาณมหามุนี (พระธัมมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เรื่องพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช เข้าข่ายกระทำการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่
** ขู่ “ม็อบพระ” ออกมาจับหมด
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเขากำลังสอบอยู่ในทุกๆคดี เมื่อทุกอย่างเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวก็ต้องมีการสอบก็จะได้ผลการสอบสวนโดยเร็ว เพียงแต่อย่าไปเอาสถานการณ์อื่นมาเพิ่ม เป็นคดีอีกมากมาย จนเจ้าหน้าที่ไม่มีเวลาจะทำ ส่วนเรื่องการตรวจสอบการกระทำผิดพระธรรมวินัยของสมเด็จช่วงนั้น นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ดูแลอยู่ ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือกับ มหาเถรสมาคม (มส.) ที่ได้มีการพูดคุยมาโดยตลอด ทุกอย่างมีขั้นตอนถ้าไม่ไปเร่งรัดก็สามารถไปได้ทั้งหมด
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ พระเมธีธรรมาจารย์ เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย เตรียมเคลื่อนไหว ภายใน 7 วัน หากยังไม่มีการนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระสังฆราช พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ตกลงประเทศไทยเป็นรัฐของใคร"
เมื่อถามว่า รัฐบาลจะดูแลอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบขึ้นในสังคม พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอย่างมีอารมณ์ฉุนเฉียวว่า "ก็ออกมา กฎหมายเขามีหรือเปล่า คำสั่งคสช. เขาว่าอย่างไร ชุมนุมเกิน 5 คนได้หรือเปล่า อยากเคลื่อนไหวก็ออกมา จับวันนี้ไม่ได้ก็จับพรุ่งนี้ ไม่ว่าจะใครทั้งนั้น ผมไม่ได้พูดแค่ผู้ที่ถูกกล่าวชื่ออย่างเดียว ทั้งหมดนั่นแหละ ผิดกฎหมาย ผมไม่ปล่อยปะละเลย มายื่นคำขาดกับผมอย่างนี้ได้หรือ ผมควรจะเป็นคนยื่นคำขาดมากกว่า แต่ผมยังไม่ทำเลย"
ส่วนกรณีที่สังคมสงสัยว่าพระเทพญาณมหามุนี (พระธัมมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ยังอยู่ในประเทศไทยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในทางการข่าวยังไม่มีรายงานว่าไปไหน เห็นว่าก็ยังอยู่ในวัด ตำรวจก็เฝ้ามาตั้งแต่ต้น ส่วนจะออกไปทางไหนหรือไม่ ก็ไม่รู้เหมือนกัน สื่ออาจจะต้องไปดูด้วยว่ายังอยู่หรือเปล่า เพราะตนเข้าไปไม่ได้อยู่แล้ว จะเข้าไปก็ต้องลุยเข้าไป แล้วก็เกิดความเดือดร้อนขึ้นมา
** “วิษณุ” ยัน มส.หมดหน้าที่แล้ว
ด้าน นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามหลักแล้วไม่ว่าตำแหน่งใดก็ตาม หากเป็นอำนาจนายกฯในการพิจารณา ก็สามารถที่จะตรวจสอบได้ จนเกิดความมั่นใจได้ว่า ในการนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายนั้น ส่วนจะใช้เวลามากน้อยแค่ไหน ก็อยู่ที่ความยากง่ายของเรื่อง เพราะเวลานำความขึ้นกราบบังคมทูลฯนั้น นายกฯในฐานะผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการต้องรับผิดชอบ จึงมีความจำเป็นที่นายกฯจะต้องมีการตรวจสอบ ส่วนจะตรวจอะไร หรืออย่างไรนั้นคงบอกไม่ได้
“ไม่ใช่เรื่องทบทวนมติ มส. แต่เป็นการพิจารณาก่อนที่จะดำเนินการ ที่สื่อหลายสำนัก ไปออกข่าวทำนองว่า กฤษฎีกาวินิจฉัยแล้วว่า เป็นอำนาจของ มส. ผมฟังแล้วไม่ผิดหรอก แต่ก็ไม่ถูก เพราะความจริงแล้วเป็นอำนาจของ มส. ที่จะพิจารณาเริ่มเรื่องได้ แต่เมื่อส่งมาที่นายกฯแล้ว ก็ถือว่าเป็นอำนาจของนายกฯ เรื่องอยู่ที่ใคร คนนั้นก็มีอำนาจ ดังนั้น ขณะนี้เป็นเรื่องระหว่างนายกฯ กับสำนักราชเลขาธิการฯเท่านั้น ไม่มีอะไรที่ต้องกลับไปที่ มส.อีกแล้ว จบหน้าที่ของ มส.แล้ว" รองนายกฯ กล่าว
** แจงรอเอกสาร ตปท.คดีเบนซ์โบราณ
ที่กระทรวงยุติธรรม พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงความคืบหน้าคดีรถเบนซ์โบราณเลี่ยงภาษีของสมเด็จช่วงที่อยู่ในกระบวนการของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่า ตนไม่ได้สั่งการอะไรมีเพียง ดีเอสไอ รายงานมาแล้วว่าขณะนี้รอเอกสารหลักฐานจากบริษัทต่างประเทศให้รีบส่งมายัง ดีเอสไอ เนื่องจากต้องอาศัยข้อมูลจากส่วนนั้นด้วยและได้มีการประสานงานกันอยู่ หากมีหลักฐานครบถ้วนแล้วแต่ไม่ดำเนินการก็ไปต่อว่าเจ้าหน้าที่ได้เลย แต่กระบวนการทำงานต้องอาศัยการรวบรวมข้อมูลจากหลายส่วน และถ้าข้อมูลไม่ครบถ้วนจะยื่นฟ้องได้อย่างไร ซึ่งก็จะมาว่าเจ้าหน้าที่อีกแต่สุดท้ายเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ได้ทำตามขั้นตอนกฎหมายทุกอย่าง
** "เจ้าคุณประสาร" ขู่ระดมม็อบพระ
วันเดียวกัน เฟซบุ๊ก พระเมธีธรรมาจารย์ หรือเจ้าคุณประสาร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ในฐานะเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความระบุว่า จากผลการตีความของ คณะกรรมการกฤษฎีกาว่า การเสนอนามสมเด็จพระสังฆราช ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ตามมติของ มส.ได้ดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จึงควรเสนอนามสมเด็จช่วงคณะตามมติของ มส. พร้อมกันนี้ ยังได้ระบุด้วยว่า หากไม่ดำเนินการดังกล่าว "องค์กรพุทธพร้อมภาคีเครือข่ายจะรอดูท่าทีทั้งหมดของผู้เกี่ยวข้องภายใน 1 สัปดาห์ หลังจากนั้น จะกำหนดท่าทีร่วมกัน ในการเคลื่อนไหวในรูปแบบต่างๆ ทั่วประเทศ"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 15 ก.พ.ที่ผ่านมา เจ้าคุณประสาร เคยเป็นแกนนำผู้นัดหมายพระสงฆ์ และองค์กรภาคีพุทธบริษัท 4 ทั่วประเทศ ชุมนุมที่ พุทธมณฑล จ.นครปฐม เพื่อจัดสัมมนา“สกัดแผนล้มการปกครองคณะสงฆ์ไทย จนเกิดเหตุการณ์พระสงฆ์ปะทะกับเจ้าหน้าที่ทหารมาแล้ว
ด้าน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) กล่าวถึงกระแสข่าวว่าจะมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มพระสงฆ์ให้มีการแต่งตั้งพระสังฆราชนั้น พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า ยังไม่พบการเคลื่อนไหว
** “เวิลด์พีซ"สร้างตึกสูงไม่ทำ EIA
ที่ห้องประชุมชั้น 3 สำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา นายสุรพันธ์ ดิสสะมาน รองผู้ว่าราชการ จ.นครราชสีมา เรียกประชุมด่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามความคืบหน้าการตรวจสอบและการดำเนินคดีศูนย์ปฏิบัติธรรมเวิลด์พีซ วัลเล่ย์ สาขาวัดธรรมกาย ของมูลนิธิตะวันธรรม หลังการประชุม นายสุรพันธ์ ระบุว่า ได้เร่งสรุปผลการทำงานให้มีความชัดเจนภายใน 3 วันนี้ เพื่อเป็นข้อมูลเอกสารหลักฐานส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจประกอบการดำเนินคดีในประเด็นต่างๆอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบว่า มีการปลูกสร้างอาคารสูง 11 ชั้นจำนวน 1 หลังที่อาจไม่ได้ทำรายการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA )ตามกฎหมาย สำหรับการก่อสร้าง อาคารทรงกลมเอนกประสงค์สูง 3 ชั้น 1 หลัง (จานบิน) ทับลำรางสาธารณะ และมีการสร้างอาคาร 2 ชั้น 2 หลัง และ ปรับพื้นที่ที่ทับเส้นทางสาธารณะเดิม นั้น ให้ท้องถิ่น อบต.โป่งตาลอง และทางอำเภอปากช่อง เร่งไปตรวจสอบให้เกิดความชัดเจนเพื่อประกอบการดำเนินคดีโดยเร็ว
** ตร.ยึดวัดรุกป่าที่เมืองกาญจน์
ที่ จ.กาญจนบุรี เมื่อเวลา 09.00 น. พล.อ.ศรีวราห์ สั่งการให้ พล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผู้บังคับการตำรวจปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ผบก.ปทส.) สนธิกำลังร่วมกับ นายธรรมรัฐ วงศ์โสภา ผอ.ส่วนอุทยานแห่งชาติ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) นายฐิติ โสมภีร์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำหมายค้นศาลจังหวัดกาญจนบุรีที่ 578/2559 ลงวันที่ 11 ก.ค.2559 เข้าตรวจยึดพื้นที่บุกรุกเขตอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ เนื้อที่ 97 ไร่เศษ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นของวัดถ้ำเนรมิต เลขที่ 2 หมู่ 6 ต.แม่กระบุง อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี และเป็นวัดศูนย์สาขาวัดพระธรรมกาย คณะเจ้าหน้าที่ได้นำหมายค้นให้กับพระครูวิสุทธิ์กาญจนกิจ อ่านหมายค้นด้วยตนเอง ก่อนยินยอมที่จะเซ็นต์รับหมายค้นด้วยดี นอกจากนี้ทางวัดยังนำหนังสือรับรองสภาพวัด ที่ออกให้โดยกรมการศาสนา เมื่อปี พ.ศ.2534 มาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ด้วย
พล.ต.ต.สุทิน เปิดเผยว่า การตรวจค้นก็พบมีอาคารต่างๆประมาณ 12 อาคารก่อสร้างโดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งก็คงจะต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ส่วนพื้นที่จำนวน 97 ไร่ได้มาอย่างไรนั้นอยู่ในระหว่างการสอบสวน ในส่วนของกรมอุทยานฯที่ได้ร้องทุกข์กับ ปทส.ตาม พ.ร.บ.อุทยานฯ พ.ศ.2504 มาตรา 16 ฐานบุกรุกเขตอุทยานแห่งชาติ นั้น จะมีการบังคับใช้มาตรา 21 มาตรา 22 โดยการประกาศไม่ให้บุคคลใดเข้ามาในพื้นที่ จากนั้นผู้กระทำผิดจะต้องดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด หากไม่ดำเนินการตามกฎหมาย กรมอุทยานฯก็จะเข้ามารื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างเอง โดยผู้กระทำผิด จะต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด
** อัยการเลื่อนคดีกรรมกายไป 11 ส.ค.
ด้าน นายขจรศักดิ์ พุทธานุภาพ อัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 3 สำนักงานอัยการสูงสุดในฐานะพนักงานสอบสวนคดีฟอกเงินจาการยักยอกฉ้อโกงสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด เปิดเผยภายหลังเข้าพบอัยการฝ่ายคดีพิเศษว่า อัยการฝ่ายคดีพิเศษได้มีคำสั่งให้คณะพนักงานสอบสวนคดีดังกล่าว สอบสวนเพิ่มเติมในหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องความเชื่อมโยงระหว่างพระธัมมชโย กับพระสงฆ์ลูกวัดใกล้ชิดที่มีตำแหน่งบริหารงานภายในวัด เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงว่าภายในวัดได้จัดรูปแบบการบริหารจัดการเงินและระบบงบประมาณของวัดอย่างไรบ้าง รวมทั้งสั่งให้ตรวจสอบใบอนุโมทนาบัตรกับผู้บริจาคเงิน ซึ่งมีทั้งกลุ่มบริษัท นิติบุคคล และบุคคลที่เกี่ยวข้องว่ามีการหลบเลี่ยงภาษีหรือไม่ เนื่องจากมีข้อสังเกตว่าวัดพระธรรมกายมีกลุ่มทุนเข้าไปเกี่ยวข้องจำนวนมาก จึงต้องตรวจสอบให้ได้ความชัดเจนถึงยอดเงินบริจาคจริงกับยอดเงินที่แจ้งในใบอนุโมทนาบัตรซึ่งนำไปใช้ยื่นลดหย่อนภาษี นอกจากนี้จะตรวจสอบถึงระบบการออกใบอนุโมทนาบัตรว่าถูกควบคุมและบริหารจัดการอย่างไร วัดพระธรรมกายดำเนินการเพียงลำพังหรือมีการกำกับควบคุมจากสำนักพระพุทธศาสนา รวมทั้งประเด็นอื่นๆ ซึ่งจะต้องสอบสวนให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 11 ส.ค.นี้ ส่วนการตรวจสอบเส้นทางการเงินนั้น สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้ตรวจสอบเชิงลึกทำให้คดีมีความคืบหน้าพอสมควร แต่เนื่องจากคดีนี้เกี่ยวพันถึงกลุ่มบุคคลจำนวนมาก จึงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง.