ผมนั่งเขียนบทความนี้บนคอนโดฯ ชั้น 14 แถวตึกช้าง ในซอยที่เชื่อมต่อระหว่างพหลโยธิน 24 กับลาดพร้าวซอย 1 ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำหนัก น้ำท่วมขังทั้งซอยไม่สะดวกต่อการสัญจร
ผมจึงเลือกวิธีนั่งริมหน้าต่างจิบกาแฟเขียนบทความนี้ สัปดาห์ที่ผ่านมาหมาดๆ มีข่าวใหญ่ที่ฮือฮากันทั่วประเทศ คือ ดีเอสไอยกกำลังตำรวจบุกสำนักจานบินหรือวัดธรรมกายตามหมายค้นและหมายจับ เพื่อตามจับธัมมชโย หนึ่งในผู้ต้องหาคดีร่วมกันฟอกเงินและรับของโจร
ทีวีทุกช่องตั้งกล้องติดตามรายงานข่าวเป็นระยะตั้งแต่เช้าจนบ่ายคล้อย ทุกอย่างจึงยุติลงด้วยการคว้าน้ำเหลว เพราะดีเอสไอถูกกำแพงมนุษย์ศิษย์ธรรมกายขวางกั้นอย่างแน่นหนา การแถลงยุติการค้นและยอมล่าถอย เพื่อป้องกันการเกิดความรุนแรง ได้ก่อให้เกิดความผิดหวังอย่างรุนแรงของมวลหมู่ประชาชนเช่นเดียวกัน
อารมณ์ผิดหวังได้แพร่กระจายทางสื่อออนไลน์ทางเฟซบุ๊ก และไลน์ต่างๆ อย่างมากมาย ดีเอสไอถูกผู้คนก่นด่าว่าหน่อมแน้มไร้ประสิทธิภาพ รัฐบาลก็ถูกตำหนิไม่ต่างกันว่าไม่ใช้อำนาจเด็ดขาดกับธัมมชโย ที่หลบเลี่ยงและขัดขวางหมายศาลอย่างโจ่งแจ้ง บางอารมณ์ของผู้คนบางฝ่ายถึงกับหลุดปากว่าปล่อยให้มีรัฐซ้อนรัฐ หรือกลายเป็นรัฐล้มเหลวไป
ผมเองแรกๆ ก็รู้สึกหงุดหงิดไม่ต่างกับผู้คนทั่วไป แต่เมื่อสงบนิ่งเพ่งลมหายใจเข้าออกสักพักก็เกิดมุมมองใหม่ เห็นว่าการที่ดีเอสไอและรัฐบาลใช้วิธีการที่นุ่มนวลละมุนละม่อมในการนำหมายค้นและหมายจับไปยังวัดธรรมกาย ตามอำนาจหน้าที่ทางกฎหมาย เมื่อได้รับการขัดขวางจากกำแพงมนุษย์ชุดขาว ก็ยุติการค้นเพื่อไม่ให้เกิดการปะทะ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความรุนแรงและสูญเสียอย่างคาดไม่ถึงได้
การดำเนินการเยี่ยงนี้ ในมุมของสานุศิษย์วัดธรรมกายอาจกระหยิ่มยิ้มย่องว่าได้รับชัยชนะในการปกป้องธัมมชโยได้
แต่มองอีกมุมในแง่จิตวิทยาทางสังคม จะเห็นว่า ฝ่ายดีเอสไอและรัฐบาลต่างหากเล่าที่เป็นฝ่ายชนะอย่างขาวสะอาด
การต่อต้านขัดขวางหมายศาล เป็นการแสดงออกถึงการไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง พฤติกรรมเยี่ยงนี้ของธัมมชโยและสานุศิษย์เสมือนหนึ่งได้ตีแผ่ความไม่ชอบมาพากลของสำนักจานบินแห่งนี้ต่อสังคมอย่างชัดแจ้งขึ้น
ยิ่งการออกมาแถลงแก้เกี้ยวของคณะศิษย์ที่ประกาศว่า “ธัมมชโยจะมอบตัว ต่อเมื่อบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย” ก็ยิ่งกลายเป็นการประกาศตนอยู่เหนือกฎหมายบ้านเมืองอย่างดื้อด้านท้าทาย ทำให้คนทั่วไปรับไม่ได้ และคำว่าบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยก็กลายเป็นคำล้อเลียนประกอบคำอื่นๆ กันอย่างขำขื่นทางโลกโซเชียลทั่วไป
พฤติกรรมเพี้ยนๆ ของธัมมชโยและพฤติกรรมลุ่มหลงงมงายแบบพุทธเพี้ยนของบรรดาสานุศิษย์ทั้งหลายก็เริ่มถูกทยอยตีแผ่ต่อสังคมอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
ผมก็ขอปิดท้ายด้วยบทกวีที่เขียนแสดงความรู้สึกต่อกรณีนี้อย่างขำๆ ในอารมณ์
“ขวางได้ ก็ขวางไป”
มีหมายจับ เขาต้องทำ ตามหน้าที่
จับวันนี้ ไม่ได้ ไปวันหน้า
ต้องตามจับ ทุกวัน ทุกเวลา
มีเท่าไหร่ ก็เชิญมา นั่งสวดมนต์
หมายจับ ไม่มี กำหนดเวลา
จับในวัดวา ขอหมายค้น
ค้นยาก ค้นเย็น เป็นเพราะคน
ก็ต้องค้น เวียนวน ไปทุกวัน
ขวางได้ ก็ขวางไป ให้เต็มที่
กฎหมายมี โทษผิด ทุกขีดขั้น
เข้าแจ้งความ ร้องทุกข์ กล่าวโทษทัณฑ์
ตำรวจลง ประจำวัน เรียกตัวไป
มาตรา 189 กำหนดโทษ
ทั้งจำปรับ อย่ามาโอด ช่วยไม่ได้
อยากตายแทน อาจารย์ อาจสมใจ
ดีเอสไอ ทยอยแจ้งจับ ทุกคน
เมื่อเห็นผิด เป็นชอบ ช่วยคนผิด
ก็ต้องติด ร่างแห ยากหลุดพ้น
เดินหมากผิด จนถูกต้อน เข้าตาจน
ยิ่งดิ้น ก็ยิ่งรน หาคุกตะราง
รักประชาธิปไตยมาก อยากจะอ้วก
ตามสะดวก แล้วแต่ จะเอ่ยอ้าง
ขัดหมายศาล ส่อพิรุธ สุดอำพราง
นี่มันทาง ประชาธิปไตย แบบไหนจ๊ะ
แต่งชุดขาว สวดมนต์ คนเห็นขำ
พฤติกรรม งมงาย ไร้ตรรกะ
สกรีนเสื้อ ยกย่อง ปกป้องพระ
เริ่มล่อนจ้อน เห็นจะจะ ทั้งพระและคน
มีหมายจับ ก็ต้องจับ ตามหมายจับ
ซ่อนมุมอับ จนตรอก ออกหมายค้น
จับค้น ค้นจับ ให้อับจน
ภาพเพี้ยน ให้วน ออกทีวี
ตามจับ ตามค้น ตามหมายศาล
ใครขวางผิด ฐานขวาง เจ้าที่
ทยอยแจ้ง ทยอยจับ ดำเนินคดี
นี่ไงจ๊ะ...เสรีประชาธิปไตย (หุยฮา)
ว.แหวนลงยา