วานนี้ (22 มิ.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. พร้อมด้วย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นางอรรชกา ศรีบุญเรือง รมว.อุตสาหกรรม นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางลงพื้นที่ เพื่อติดตามผลการปฏิบัติราชการ ที่ จ.ระยอง โดยมี พล.ร.อ.ณะ อารีนิจ ผบ.ทร. นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผู้ว่าฯ ระยอง ให้การต้อนรับ
ต่อมา นายกฯประชุมร่วมกับส่วนราชการและภาคเอกชน ติดตามแนวทางการดำเนินงานพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภา ให้เป็นท่าอากาศยานพาณิชย์ แห่งที่ 3 เพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสาร และการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษบริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (จ.ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา) โดยนายกฯ กล่าวว่า เรามีศักยภาพในประเทศอยู่มาก จึงต้องใช้ให้เต็มที่ เต็มศักยภาพ เพื่อให้การเกษตร อุตสาหกรรม และท่องเที่ยวเติบโตไปพร้อมกัน โดยเฉพาะ จ.ระยอง มีรายได้สูงสุดของประเทศ เป็นอันดับ 1 ในจีดีพีต่อหัว เชื่อว่า จะสามารถสร้างได้เพิ่มมากขึ้น หลังโครงการพัฒนาโลจิสติกเหล่านี้สำเร็จโดยบริบูรณ์
ทั้งนี้ หลังการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ที่กำลังถูกพัฒนาให้เป็นสนามบินนานาชาติแห่งที่ 3 ของประเทศ และเป็นจุดเชื่อมโยงทางคมนาคมสำคัญ ในแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก นายกฯแถลงว่า สนามบินอู่ตะเภา จำเป็นต้องทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ ในพื้นที่หมื่นกว่าไร่ ต้องทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด นโยบาย คือ จะต้องป็นพื้นที่ที่ดูแลทั้งด้านความมั่นคง และพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปด้วยกัน ซึ่งข้อสรุปที่ถือเป็นข้อยุติ จำเป็นต้องไปวางแผนกันอีกครั้งเพื่อนำไปสู่งบประมาณ การออกแบบโครงการ ทั้งหมดนี้คือแผนการเดินหน้าประเทศ สร้างแรงจูงใจการลงทุนจากต่างชาติ
"สิ่งที่พิจารณาตรงนี้ เร่งรัดให้ดำเนินการในปี 59 ซึ่งจังหวัดระยอง ถือเป็นจังหวัดที่มีจีดีพีสูงสุดในประเทศไทยเป็นอันดับที่หนึ่ง เพราะมีอุตสาหกรรม เกษตร และท่องเที่ยวผสมผสานอยู่ในจังหวัดเดียว การพัฒนาคมนาคมทางอากาศ ศูนย์ซ่อมเครื่องบิน จึงถือเป็นการเพิ่มศักยภาพรับคนจาก 8 แสนคนต่อปี ให้เป็น 3 ล้านคนต่อปี สร้างความเชื่อมโยงทั้งทางบก เรือ และอากาศ โดยจะต้องให้ทางคณะกรรมการการบินระหว่างประเทศ หรือไอเคโอ มาดูความเรียบร้อยด้วย ซึ่งระยะแรกของโครงการเดินหน้าไปแล้ว ต่อไปต้องปรับปรุงถนน แก้ปัญหาจราจรที่ติดขัด ก่อนที่จะพัฒนาโครงการต่อไป"
ในส่วนของการขนส่งทางรางนั้น ได้มีการวางแผนเรื่องรถไฟ โดยจะต้องปรับปรุงให้ทันสมัย โดยใช้รางรถไฟเดิม ก่อนพัฒนาเป็นรถไฟทางคู่ หรือ รถไฟความเร็วสูง ที่ต้องวางแผนรองรับ ส่วนการลงทุนร่วม แบบ พีพีพี นั้น ให้คำนึงถึงการใช้ประโยชน์จากพื้นที่สองข้างทางรถไฟ ที่เตรียมเสนอให้ สนช.พิจารณาการใช้ประโยชน์ที่ดินจากสองข้างทางที่รางรถไฟวิ่งผ่าน สำหรับการเชื่อมโยงสามสนามบิน เพื่ออำนวยความสะดวกในการระบายผู้โดยสาร อาจต้องมีการขยายต่อแอร์พอร์ตเรียลลิงค์ เพื่อแบ่งเบาภาระสนามบินอื่นๆ
ในด้านการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกจุกเสม็ด ต้องวางแผนเชื่อมโยงไปถึงพื้นที่อื่น เช่น ท่าเรือแหลมฉบัง การใช้เรือเฟอร์รี่ ข้ามไปหัวหิน ใช้เรือท่องเที่ยวตามชายฝั่งไปถึงภาคใต้ ซึ่งก็จะสามารถลดระยะเวลาการเดินทางโดยรถยนต์จาก กทม. ถึง ภาคใต้ ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระการจราจรทางถนนด้วย ซึ่งทั้งหมดมอบหมายให้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ เป็นผู้ดูแลในภาพรวม ส่วนเรื่องของอุตสาหกรรม ที่มีการนิคมอุตสาหกรรมอยู่แล้วนั้น อาจมีการส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ เชื่อมโยงไปถึงที่เก่า
ส่วนประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบ การบุกรุกพื้นที่จะต้องมีการแก้ปัญหาให้ก่อน เช่น ทำตลาดค้าขาย สร้างที่อยู่อาศัย ตอบสนองความต้องการของคนในพื้นที่ด้วย ในเรื่องของศูนย์อากาศยาน การพัฒนานั้นคงไม่ซ่อมเฉพาะแค่เครื่องบินไทยอย่างเดียว ต้องเพิ่มขีดความสามารถให้สามารถซ่อมสายการบินอื่นได้ด้วย จุดนี้จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับการบินไทยได้จำนวนมาก ต้องมีการขยายงานให้มากขึ้น โดยอาศัยความร่วมมือกับต่างประเทศ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวยืนยันว่า การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภานี้ จะเริ่มดำเนินการทดลองใช้ ในเดือนส.ค.นี้ และภายในสิ้นปี จะสามารถเปิดใช้อย่างเป็นทางการได้ ซึ่งจะเป็นในลักษณะของการสร้างไป หาเงินไป โดยใช้กฎหมายใช้ประโยชน์จากสองข้างทางรถไฟ ใช้แอร์พอร์ตลิงค์ รถไฟทางคู่ และรถไฟความเร็วสูง เชื่อมต่อถึงสามสนามบิน
"ถ้าไว้วางใจผมสักอย่าง ก็พอคุยกันรู้เรื่อง ถ้าไม่ไว้วางใจกัน ก็จบทุกอย่าง ผมก็ทำเพื่อประเทศชาติ ขอร้องว่าให้ช่วยพูดสิ่งดีๆ ที่รัฐบาลทำอยู่บ้าง ถ้าเสนอแต่ความขัดแย้ง สิ่งดีๆก็ไม่เกิด แล้วเมือไหร่จะเกิด หลายอย่างมันยาวนานเกินไปแล้ว รัฐบาลนี้ก็มาจับให้เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ก็ต้องวางแผนให้เกิดความชัดเจน โดยจะมีการนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ในสัปดาห์หน้า ก่อนจะเริ่มต้นก่อสร้างในลักษณะของ การร่วมลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชน (Public-Private Partnership ) หรือ พีพีพี ต่อไป" นายกรัฐมนตรี กล่าว
ต่อมา นายกฯประชุมร่วมกับส่วนราชการและภาคเอกชน ติดตามแนวทางการดำเนินงานพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภา ให้เป็นท่าอากาศยานพาณิชย์ แห่งที่ 3 เพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสาร และการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษบริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (จ.ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา) โดยนายกฯ กล่าวว่า เรามีศักยภาพในประเทศอยู่มาก จึงต้องใช้ให้เต็มที่ เต็มศักยภาพ เพื่อให้การเกษตร อุตสาหกรรม และท่องเที่ยวเติบโตไปพร้อมกัน โดยเฉพาะ จ.ระยอง มีรายได้สูงสุดของประเทศ เป็นอันดับ 1 ในจีดีพีต่อหัว เชื่อว่า จะสามารถสร้างได้เพิ่มมากขึ้น หลังโครงการพัฒนาโลจิสติกเหล่านี้สำเร็จโดยบริบูรณ์
ทั้งนี้ หลังการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ที่กำลังถูกพัฒนาให้เป็นสนามบินนานาชาติแห่งที่ 3 ของประเทศ และเป็นจุดเชื่อมโยงทางคมนาคมสำคัญ ในแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก นายกฯแถลงว่า สนามบินอู่ตะเภา จำเป็นต้องทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ ในพื้นที่หมื่นกว่าไร่ ต้องทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด นโยบาย คือ จะต้องป็นพื้นที่ที่ดูแลทั้งด้านความมั่นคง และพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปด้วยกัน ซึ่งข้อสรุปที่ถือเป็นข้อยุติ จำเป็นต้องไปวางแผนกันอีกครั้งเพื่อนำไปสู่งบประมาณ การออกแบบโครงการ ทั้งหมดนี้คือแผนการเดินหน้าประเทศ สร้างแรงจูงใจการลงทุนจากต่างชาติ
"สิ่งที่พิจารณาตรงนี้ เร่งรัดให้ดำเนินการในปี 59 ซึ่งจังหวัดระยอง ถือเป็นจังหวัดที่มีจีดีพีสูงสุดในประเทศไทยเป็นอันดับที่หนึ่ง เพราะมีอุตสาหกรรม เกษตร และท่องเที่ยวผสมผสานอยู่ในจังหวัดเดียว การพัฒนาคมนาคมทางอากาศ ศูนย์ซ่อมเครื่องบิน จึงถือเป็นการเพิ่มศักยภาพรับคนจาก 8 แสนคนต่อปี ให้เป็น 3 ล้านคนต่อปี สร้างความเชื่อมโยงทั้งทางบก เรือ และอากาศ โดยจะต้องให้ทางคณะกรรมการการบินระหว่างประเทศ หรือไอเคโอ มาดูความเรียบร้อยด้วย ซึ่งระยะแรกของโครงการเดินหน้าไปแล้ว ต่อไปต้องปรับปรุงถนน แก้ปัญหาจราจรที่ติดขัด ก่อนที่จะพัฒนาโครงการต่อไป"
ในส่วนของการขนส่งทางรางนั้น ได้มีการวางแผนเรื่องรถไฟ โดยจะต้องปรับปรุงให้ทันสมัย โดยใช้รางรถไฟเดิม ก่อนพัฒนาเป็นรถไฟทางคู่ หรือ รถไฟความเร็วสูง ที่ต้องวางแผนรองรับ ส่วนการลงทุนร่วม แบบ พีพีพี นั้น ให้คำนึงถึงการใช้ประโยชน์จากพื้นที่สองข้างทางรถไฟ ที่เตรียมเสนอให้ สนช.พิจารณาการใช้ประโยชน์ที่ดินจากสองข้างทางที่รางรถไฟวิ่งผ่าน สำหรับการเชื่อมโยงสามสนามบิน เพื่ออำนวยความสะดวกในการระบายผู้โดยสาร อาจต้องมีการขยายต่อแอร์พอร์ตเรียลลิงค์ เพื่อแบ่งเบาภาระสนามบินอื่นๆ
ในด้านการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกจุกเสม็ด ต้องวางแผนเชื่อมโยงไปถึงพื้นที่อื่น เช่น ท่าเรือแหลมฉบัง การใช้เรือเฟอร์รี่ ข้ามไปหัวหิน ใช้เรือท่องเที่ยวตามชายฝั่งไปถึงภาคใต้ ซึ่งก็จะสามารถลดระยะเวลาการเดินทางโดยรถยนต์จาก กทม. ถึง ภาคใต้ ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระการจราจรทางถนนด้วย ซึ่งทั้งหมดมอบหมายให้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ เป็นผู้ดูแลในภาพรวม ส่วนเรื่องของอุตสาหกรรม ที่มีการนิคมอุตสาหกรรมอยู่แล้วนั้น อาจมีการส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ เชื่อมโยงไปถึงที่เก่า
ส่วนประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบ การบุกรุกพื้นที่จะต้องมีการแก้ปัญหาให้ก่อน เช่น ทำตลาดค้าขาย สร้างที่อยู่อาศัย ตอบสนองความต้องการของคนในพื้นที่ด้วย ในเรื่องของศูนย์อากาศยาน การพัฒนานั้นคงไม่ซ่อมเฉพาะแค่เครื่องบินไทยอย่างเดียว ต้องเพิ่มขีดความสามารถให้สามารถซ่อมสายการบินอื่นได้ด้วย จุดนี้จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับการบินไทยได้จำนวนมาก ต้องมีการขยายงานให้มากขึ้น โดยอาศัยความร่วมมือกับต่างประเทศ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวยืนยันว่า การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภานี้ จะเริ่มดำเนินการทดลองใช้ ในเดือนส.ค.นี้ และภายในสิ้นปี จะสามารถเปิดใช้อย่างเป็นทางการได้ ซึ่งจะเป็นในลักษณะของการสร้างไป หาเงินไป โดยใช้กฎหมายใช้ประโยชน์จากสองข้างทางรถไฟ ใช้แอร์พอร์ตลิงค์ รถไฟทางคู่ และรถไฟความเร็วสูง เชื่อมต่อถึงสามสนามบิน
"ถ้าไว้วางใจผมสักอย่าง ก็พอคุยกันรู้เรื่อง ถ้าไม่ไว้วางใจกัน ก็จบทุกอย่าง ผมก็ทำเพื่อประเทศชาติ ขอร้องว่าให้ช่วยพูดสิ่งดีๆ ที่รัฐบาลทำอยู่บ้าง ถ้าเสนอแต่ความขัดแย้ง สิ่งดีๆก็ไม่เกิด แล้วเมือไหร่จะเกิด หลายอย่างมันยาวนานเกินไปแล้ว รัฐบาลนี้ก็มาจับให้เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ก็ต้องวางแผนให้เกิดความชัดเจน โดยจะมีการนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ในสัปดาห์หน้า ก่อนจะเริ่มต้นก่อสร้างในลักษณะของ การร่วมลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชน (Public-Private Partnership ) หรือ พีพีพี ต่อไป" นายกรัฐมนตรี กล่าว