xs
xsm
sm
md
lg

เมฆหมอกอาทิตย์

เผยแพร่:   โดย: ไพรัตน์ แย้มโกสุม

เวลากลางวันชอบมองฟ้า ดูพระอาทิตย์และเมฆหมอก เวลากลางคืน ก็ชอบมองฟ้าอีกนั่นแหละ ดูเดือนดาวอันวาววับประดับฟ้า ดูแล้วสุดอินกับศานติสุข

ฟังเรื่องเล่าสักหน่อย ชื่อว่า... “ลูกเตะอันปราดเปรียว”

“พระรูปหนึ่ง เดินทางมาหาอาจารย์ เพื่อขอให้ช่วยตอบคำถาม ที่ถือว่าคลาสสิกมาก ในหลักตรรกะของเซน ซึ่งก็คือ “ความหมายที่แท้จริงของการเดินทางมาจากทางตะวันตกของ ท่านโพธิธรรม คืออะไร”

ท่านอาจารย์แนะว่า ก่อนที่จะเริ่มขบปัญหา พระรูปนั้นควรจะโค้งคำนับท่านเสียก่อน แล้วในตอนที่เขากำลังก้มโค้งลง อาจารย์ก็เตะเข้าที่ก้นเขาป้าบใหญ่

ลูกเตะที่ไม่คาดคิดมาก่อน ได้คลายความลังเลไม่แน่ใจที่มืดมัวออกไป การรับรู้ถึงเท้าของอาจารย์ ทำให้เขาเข้าถึง การบรรลุอย่างทันทีทันใด หลังจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็จะพูดกับทุกคนที่เจอะเจอว่า “ตั้งแต่โดนลูกเตะจากท่านหม่าจื้อ ข้ายังไม่สามารถหยุดหัวเราะได้เลย”

การหัวเราะ นอกจากจะทำให้สุขภาพกาย-ใจดีแล้ว ยังทำให้ท่านบรรลุถึงบางสิ่งบางอย่าง อย่างน่าอัศจรรย์วันมายด์ 55555.....

เมฆหมอกอาทิตย์

เมฆหมอกเปรียบเสมือนจิตคิด เหมือนหลับยืน พระอาทิตย์เปรียบเหมือนจิตไม่คิด เหมือนตื่นรู้ ฯลฯ

เรื่องเปรียบเทียบ ก็เปรียบไปได้ต่างๆ นานา ตามความคิดความเข้าใจของตน คนอื่นจะเข้าใจหรือไม่นั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ส่วนมากท่านผู้รู้ จะเปรียบเทียบได้ดี มีศิลปะ เข้าใจง่าย ขออนุญาตสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ ยกคำพูดของ ท่านโอโช แปลโดย ดร.ประพนธ์ ผาสุกยืด ในหนังสือ “เซน : หนทางอันย้อนแย้ง” ดังนี้...

“ตอนเด็กเกิดมาใหม่ๆ ในตอนนั้น เขาคือสภาวะขั้นสูงสุด แล้วความคิดจะค่อยๆ เข้ามาเรื่อยๆ เขาจะสะสมความรู้ไปเรื่อยๆ เขาจะเขียนสิ่งต่างๆ หลายอย่างลงไปบนกระดานชนวนแห่งการดำรงอยู่ของเขา แล้วเขาก็กลายเป็นผู้รู้ รู้นั่นรู้นี่ เขาจะจำเพาะเจาะจงว่า ตัวเขาคือหมอ คือวิศวกร คือศาสตราจารย์

แต่ในชั่วขณะที่เขาเกิดขึ้นมาในตอนแรกนั้น เขาเป็นเพียงความตระหนักรู้ที่บริสุทธิ์ เป็นเพียงความสดใหม่ เป็นกระดานชนวนที่ยังไม่ถูกอะไรขีดเขียนลงไป ไม่มีแม้แต่ลายเซ็นตัวเอง ไม่มีชื่อ และไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร

นั่นคือความบริสุทธิ์อันไร้เดียงสาที่มีอยู่เดิม และนั่นเป็นสภาวะขั้นสูงสุดของพวกเรา สภาวะการดำรงอยู่ขั้นสูงสุดของพวกเรานั้นมีมาก่อน ที่จะมีความคิด เมื่อความคิดอยู่ที่นั่น มันก็ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ว่ามันถูกบดบังไว้ เปรียบเสมือนกับแสงอาทิตย์ที่ถูกบดบัง โดยเมฆหมอกทั้งหลาย เมื่อใดก็ตามที่มีเมฆหมอกปกคลุมอยู่ มันก็ดูเหมือนกับว่าพระอาทิตย์ได้หายไป

เราไม่มีวันที่จะสูญเสียสภาวะขั้นสูงสุดนั้นไป สภาวะขั้นสูงสุดดำรงอยู่ มันไม่อาจจะหายไปไหนได้ เพราะมันเป็นธรรมชาติภายในที่แท้จริงของเรา ไม่มีวันที่เราจะสูญเสียมันไป แต่มันคงจะถูกบดบังไว้โดยเมฆหมอก

แสงอาทิตย์อาจถูกเมฆหมอกบดบังไว้ จนดูคล้ายกับว่า ความมืดแห่งค่ำคืนได้ย่างกรายเข้ามาแล้ว แต่นั่นเป็นเพียงสถานการณ์ชั่วคราวเท่านั้น

เราถูกความคิดบดบังไว้ เราอยู่ตรงนั้น ในขณะที่ความคิดก็อยู่ตรงนั้น

เราจะเป็นอยู่อย่างแท้จริงอีกครั้งหนึ่ง ก็ต่อเมื่อความคิดนั้นหายไป

เพราะจริงๆ แล้ว เราอยู่ที่ตรงนั้นเสมอมา แต่เมื่อใดที่ความคิดอยู่ตรงนั้น มันก็เป็นการยากที่จะรู้ว่าเราเป็นใคร และความรู้สึกตัวที่มีอยู่นี้ คืออะไรกันแน่

ความคิดทำให้เราว้าวุ่นใจ ความคิดทำให้ไม่มีความสงบ หากมีเพียงชั่วขณะที่ปราศจากความคิด เราก็จะติดต่อกับสภาวะอันสูงสุดนี้ได้

แต่หากใครเริ่มคิดแล้วล่ะก็ เขาจะคิด คิด และคิดต่อไปเรื่อยๆ แล้วเขาก็จะพลาดมันไป

หลังจากที่เห็นว่า ความคิดไม่ได้พาเราไปที่ไหน ก็อาจทำให้การคิดนั้นหยุดลงโดยปริยาย

หากใครนั่งคิดอย่างจริงจังไปเรื่อยๆ ในที่สุด สภาวะแห่งการไม่คิดก็จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ จุดสิ้นสุดแห่งความคิดนั้นจะมาถึงในที่สุด และจะเป็นไปอย่างธรรมชาติ นั่นแหละคือสิ่งที่เซนหยิบยื่นให้”

ฟังคำของท่านโอโชแล้ว ทำให้คิดถึงหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ในหนังสือ หลวงปู่ฝากไว้ ที่ว่า... “คิดเท่าไรๆ ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดได้ จึงรู้ แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละ จึงรู้”

ท่านโอโช กล่าวว่า... “หากใครนั่งคิดอย่างจริงจังไปเรื่อยๆ ในที่สุดภาวะแห่งการไม่คิดก็จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ จุดสิ้นสุดแห่งความคิดนั้น จะมาถึงในที่สุด และจะเป็นไปอย่างธรรมชาติ

แม้สองท่านจะต่างกัน แต่ความคิดก็ตรงกัน เป็นหนทางอันย้อนแย้ง เหมือนเมฆหมอกและพระอาทิตย์ ดุจดั่งสองด้านของชีวิต นั่นแล

ชีวิตสองด้าน

สองด้านของชีวิต มีคำเปรียบเทียบเหมือนโน่น เหมือนนี่มากมาย เช่น สังขตธรรม-อสังขตธรรม, สังขาร-วิสังขาร, ดี-ชั่ว, บาป-บุญ, สมมติ-วิมุตติ, เทพ-มาร, ธรรม-อธรรม, กุศล -อกุศล, ขี้โกง-โปร่งใส, เศร้าหมอง-ผ่องใส, หลับยืน-ตื่นรู้ ฯลฯ

แต่ทั้งสองด้านนั้น ก็เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนสองด้านของเหรียญอันเดียวกัน

ผู้ตื่นรู้ คือผู้รู้ทัน รู้ทันอะไร? รู้ทันสองด้านของชีวิต แล้วก็จะลิขิตตนเองอย่างไร ในการดำรงอยู่ จะเอาแบบไหนระหว่างเศร้าหมองกับผ่องใส

เศร้าหมองเบิกบาน

เศร้าหมองเบิกบาน หรือเศร้าหมองผ่องใส มีความหมายเหมือนกัน เป็นสองด้านของชีวิต (ดูเพิ่มเติมบทความ เศร้าหมองผ่องใส ในผู้จัดการออนไลน์ ฉบับวันที่ 19 มกราคม 2559)

เบิกบาน และผ่องใส ความหมายเหมือนกัน เป็นจิตเดิมแท้ ตรงกันข้ามกับจิตเศร้าหมอง หรือจิตใหม่เทียม

ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ท่านเทศน์อย่างลึกซึ้งถึงใจว่า...

“จิตเดิมเป็นธรรมชาติใสสว่าง แต่มืดมัวไปเพราะอุปกิเลส จิตเดิมนี้เลื่อมประภัสสร แจ้งมาแต่เดิม แต่อาศัยอุปกิเลสเครื่องเศร้าหมองเป็นอาคันตุกะ สัญจรปกคลุมหุ้มห่อ จึงทำให้จิตมิส่องแสงสว่างได้ ท่านเปรียบไว้ในบทกลอนหนึ่งว่า...ไม้ชะงกหกพันง่า (กิ่ง) กะปอมก่า (กิ้งก่า) ขึ้นมื้อฮ้อย กะปอมน้อยขึ้นมื้อพัน ครั้นตัวมาบ่ทัน ขึ้นนำคู่มื้อๆ

ธรรมชาติของจิตเป็นของผ่องใส ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แต่อาศัยของปลอม คืออุปกิเลสที่สัญจรเข้ามาปกคลุม จึงทำให้หมดรัศมี ดุจพระอาทิตย์เมื่อเมฆบดบัง ฉะนั้น อย่าพึงเข้าใจว่า พระอาทิตย์เข้าไปหาเมฆ เมฆไหลมาบดบังพระอาทิตย์ต่างหาก

คือบ้านตนเอง

ชีวิตคือการเดินทาง ออกจากบ้าน แล้วกลับบ้าน บางคนก็ถึงบ้าน บางคนก็ไม่ถึงบ้าง บ้านแต่ละคน แต่ละหลัง ก็แตกต่างกันไป บางหลังก็เป็นบ้านเศร้าหมอง บางหลังก็เป็นบ้านผ่องใส หรือบ้านเบิกบาน

บ้านที่แท้จริงเป็นอย่างไร?

หลวงพ่อชา สุภัทโท ท่านบอกว่า... “บ้านที่แท้จริงของเรา คือความรู้สึกที่มันสงบ ความสงบนั่นแหละ คือบ้านที่แท้จริงของเรา”

นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ-สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบ ไม่มี

นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ-นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

นิพฺพานํ ปรมํ สุญฺญํ-นิพพานเป็นความว่างอย่างยิ่ง

พุทธพจน์ 3 บทนี้ คือบ้านเบิกบาน หรือบ้านผ่องใส อันเป็นบ้านที่แท้จริงของเรา ที่เราสร้างเอง (อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ-ตนแลเป็นที่พึ่งของตน) ตลอดการเดินทาง บนหนทางอันย้อนแย้ง

“เมฆหมอกอาทิตย์
ชีวิตสองด้าน
เศร้าหมองเบิกบาน
คือบ้านตนเอง”

ชีวิตอันน้อยนิดนี้ ดูไปก็มีทุกสิ่ง ดูไปก็ไม่มีอะไร เสียเวลาว้าวุ่นขุ่นมัวกับเจ้าความคิด อันไม่รู้จักจบจักสิ้นจริงๆ อยากจะได้ลูกเตะจากท่านอาจารย์สักป้าบใหญ่ พอจะได้หยุดลงหยุดโง่กับมายาสมมติกันสักที 55555
กำลังโหลดความคิดเห็น