ริมฝั่งเจ้าพระยา
โดย...สุนันท์ ศรีจันทรา
คงต้องตั้งคำถามว่า ทำไมนางทองคำ ศรีจันทร์ แม่นายสมเกียรติ ศรีจันทร์ ชายขาพิการที่ถูก 6 วัยรุ่นรุมสังหาร ในซอยโชคชัย4 จึงต้องออกมาร้องขอความเป็นธรรมให้ลูกชาย
เพราะเมื่อคดีนี้เป็นคดีสะเทือนขวัญ และได้รับความสนใจจากประชาชนทั้งประเทศ จนการทำงานของตำรวจถูกจับตาอย่างใกล้ชิด คดีจึงไม่น่าจะพลิก
แต่ใครจะบอกได้ว่า ถ้าไม่มี นายอนันตชัย ไชยเดช ทนายความผู้เห็นเหตุการณ์ ประกาศตัวเป็นพยาน และรับหน้าที่เป็นทนายให้ญาติชายขาพิการ คดี 6 โจ๋ฆ่าโหด โดยมี 4 ลูกตำรวจร่วมในทีมจะถูกดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา
อย่าลืมว่า ในช่วงเริ่มต้นการสอบสวน มีนายตำรวจบางคนพยายามพลิกคดี โดยอ้างคำให้การของผู้ต้องหา และระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการทะเลาะวิวาท แถมยังมีภาพจากกล้องวงจรปิดสนับสนุนคำให้การของจำเลยเสียด้วย
คดีทำท่าจะพลิกเหมือนกัน
แต่หลังจากกระแสสังคมให้ความสนใจ หลังจากมี “คลิป” เป็นหลักฐาน และมีพยานยืนยันว่า 6 โจ๋เป็นฝ่ายบุกหาเรื่อง โดยมีแฟนสาวอีก 2 คน ทำหน้าที่เป็นกองเชียร์ให้สังหารชายขาพิการ นายตำรวจใหญ่ที่ออกมาชี้นำสังคม เพื่อเปลี่ยนรูปคดีก็หลบฉากไป
แม้ดูเหมือนว่า ตำรวจจะดำเนินคดีกับกลุ่มวัยรุ่นที่ร่วมกันฆ่าชายขาพิการอย่างเด็ดขาด ไม่เว้นแฟนสาวของแก๊งอาชญากรวัยโจ๋ที่ร่วมสนับสนุน แต่ข้อหาก็ยังเบาอยู่ โดยเป็นเพียงการตั้งข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ขณะที่นายอนันตชัยเห็นว่า ตำรวจควรแจ้งข้อร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งมีโทษที่หนักกว่า
คดีแก๊ง 6วัยรุ่นบุกสังหารชายขาพิการ ถ้าไม่อยู่ในความสนใจของประชาชน ถ้าสื่อไม่นำเสนอชนิดเกาะติด และถ้าไม่มีนายอนันตชัยอยู่ในเหตุการณ์ ยังไม่รู้ว่า ครอบครับชายพิการจะได้รับความเป็นธรรมหรือไม่-พยานจะถูกข่มขู่หรือเปล่า เช่นเดียวกับคดี 5นักศึกษาซึ่งถูกตำรวจไล่ยิง ก่อนลงมาทำร้าย ที่จังหวัดพิษณุโลก และตกเป็นข่าวครึมโครม จน 3 นายตำรวจถูกดำเนินคดี ถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งผู้ที่เห็นเหตุการณ์และให้การเป็นพยานถูกข่มขู่
คดีสังหารชายขาพิการ นายอนันตชัยที่เป็นพยานถูกข่มขู่เหมือนกัน แต่เพราะความมุ่งมั่นที่จะเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับเหยื่อแก๊งวัยรุ่นทมิฬ จึงไม่หวั่นไหวต่อแรงกดดันใดๆ ไม่กลัวคำขู่ ไม่เกรงใจตำรวจที่แจ้งข้อหาอ่อนละมุน และกัดไม่ปล่อยการดำเนินคดีกับกลุ่มลูกตำรวจ
ถ้าเป็นคนทั่วไป ถ้าไม่ใช่ทนายคนนี้ คงไม่มีใครอยากเอาตัวเข้าไปยุ่ง ปฏิเสธที่จะเป็นพยาน เพราะกลัวภัยจะมาถึง กลัวความเดือดร้อน กลัวเสียเวลา กลัวจะมีปัญหากับตำรวจ เพราะลูกตำรวจถึง4 คนร่วมอยู่ในแก๊งฆ่าชายขาพิการ
แต่นายอนันตชัยเป็นทนายที่มีความกล้าหาญ เป็นทนายที่มีอุดมการณ์ รักความถูกต้อง และเป็นพลเมืองดีที่พร้อมแสดงตัว ไม่ยอมให้ความเป็นธรรมถูกย่ำ ยี จึงยืดหยัดที่จะช่วยครอบครัวชายขาพิการที่ตาย พร้อมจะเป็นพยาน พร้อมตรวจสอบการทำงานของตำรวจ เพื่อลากคอกลุ่มฆาตกรไปชดใช้กรรม
อาชีพทนายความ ต้องผดุงไว้ซึ่งความถูกต้องเป็นธรรม ซึ่งนายอนันตชัยยึดมั่นในจรรยาบรรณของวิชาชีพ จึงอุทิศตัวเพื่อความถูกต้องและเป็นธรรม โดยไม่กังวลกับผลกระทบที่ตามมา ไม่ว่าในรูปแบบใด
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ควรนำกระเช้าดอกไม้ไปให้กำลังใจนายอนันตชัย ในฐานะพลเมืองดี
ตำรวจอาจไม่ชอบให้คนที่รู้กฎหมายเข้ามาจุ้นจ้านการทำงาน ไม่อยากให้มีใครเข้ามาตรวจสอบการสอบสวน จึงแกล้งทำเป็นละเลยการจัดกิจกรรมเพื่อพลเมืองดี ไม่ยอมประกาศเกียรติคุณให้
ถ้าตำรวจไม่ยอมทำสิ่งดีๆที่ควรทำ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาก็ควรออกมาทำหน้าที่แทน ในฐานะผู้นำประเทศ โดยกล่าวชมเชยทนายดีๆ คนนี้บ้าง เพราะถือเป็นบุคคลที่เป็นแบบอย่างเยี่ยงวีรบุรุษ เพื่อให้กำลังใจคนดีอย่างนายอนันตชัย
ถ้ามีคนดี มีคนกล้า มีคนที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ พร้อมจะเสียสละเพื่อความถูกต้องเป็นธรรม เหมือนนายอนันตชัยจำนวนมากๆ สังคมไทยคงอยู่กันอย่างสงบสุขขึ้น และคนเลวๆ คงหาที่ยืนยาก
เสียดายที่คนดีอย่างนายอนันตชัยมีน้อย
และเสียดายที่นายอนันตชัย มีบทบาทเป็นเพียงทนายความธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ถ้าเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ประชาชนคงนอนตาหลับ เพราะมั่นใจได้ว่า จะได้รับความเป็นธรรมจากการทำงานของตำรวจ
ไม่ต้องสิ้นหวังกับตำรวจเหมือนปัจจุบัน
ยิ่งถ้ามีคนอย่างทนาย “อนันตชัย” เป็นนายกรัฐมนตรี ประเทศคงจะพัฒนาไปไกล ปัญหาต่างๆจะได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมและฉับไว
เพราะนายอนันตชัยพิสูจน์ให้เห็นแล้วถึงความเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ มุ่งมั่นในอุดมการณ์ พร้อมจะเสียสละทุ่มเทเพื่อทำให้สังคมนี้ดีขึ้น
น่าเสียดายจริงๆ ที่คนดีๆ คนพูดจริงทำจริงอย่างทนายอนันตชัยไม่ได้มีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ เพราะถ้าเป็นผู้นำประเทศ ประชาชนคงไม่ต้องฝันลมๆแล้งๆ
ไม่ต้องทวงถามถึงความสุขที่ พล.อ.ประยุทธ์รับปากจะคืนให้ตลอดเกือบ2 ปีที่กำลังจะผ่านไป
ทำอย่างไรจึงจะมีคนอย่างทนาย “อนันตชัย” เป็นนายกรัฐมนตรีบ้าง
โดย...สุนันท์ ศรีจันทรา
คงต้องตั้งคำถามว่า ทำไมนางทองคำ ศรีจันทร์ แม่นายสมเกียรติ ศรีจันทร์ ชายขาพิการที่ถูก 6 วัยรุ่นรุมสังหาร ในซอยโชคชัย4 จึงต้องออกมาร้องขอความเป็นธรรมให้ลูกชาย
เพราะเมื่อคดีนี้เป็นคดีสะเทือนขวัญ และได้รับความสนใจจากประชาชนทั้งประเทศ จนการทำงานของตำรวจถูกจับตาอย่างใกล้ชิด คดีจึงไม่น่าจะพลิก
แต่ใครจะบอกได้ว่า ถ้าไม่มี นายอนันตชัย ไชยเดช ทนายความผู้เห็นเหตุการณ์ ประกาศตัวเป็นพยาน และรับหน้าที่เป็นทนายให้ญาติชายขาพิการ คดี 6 โจ๋ฆ่าโหด โดยมี 4 ลูกตำรวจร่วมในทีมจะถูกดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา
อย่าลืมว่า ในช่วงเริ่มต้นการสอบสวน มีนายตำรวจบางคนพยายามพลิกคดี โดยอ้างคำให้การของผู้ต้องหา และระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการทะเลาะวิวาท แถมยังมีภาพจากกล้องวงจรปิดสนับสนุนคำให้การของจำเลยเสียด้วย
คดีทำท่าจะพลิกเหมือนกัน
แต่หลังจากกระแสสังคมให้ความสนใจ หลังจากมี “คลิป” เป็นหลักฐาน และมีพยานยืนยันว่า 6 โจ๋เป็นฝ่ายบุกหาเรื่อง โดยมีแฟนสาวอีก 2 คน ทำหน้าที่เป็นกองเชียร์ให้สังหารชายขาพิการ นายตำรวจใหญ่ที่ออกมาชี้นำสังคม เพื่อเปลี่ยนรูปคดีก็หลบฉากไป
แม้ดูเหมือนว่า ตำรวจจะดำเนินคดีกับกลุ่มวัยรุ่นที่ร่วมกันฆ่าชายขาพิการอย่างเด็ดขาด ไม่เว้นแฟนสาวของแก๊งอาชญากรวัยโจ๋ที่ร่วมสนับสนุน แต่ข้อหาก็ยังเบาอยู่ โดยเป็นเพียงการตั้งข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ขณะที่นายอนันตชัยเห็นว่า ตำรวจควรแจ้งข้อร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งมีโทษที่หนักกว่า
คดีแก๊ง 6วัยรุ่นบุกสังหารชายขาพิการ ถ้าไม่อยู่ในความสนใจของประชาชน ถ้าสื่อไม่นำเสนอชนิดเกาะติด และถ้าไม่มีนายอนันตชัยอยู่ในเหตุการณ์ ยังไม่รู้ว่า ครอบครับชายพิการจะได้รับความเป็นธรรมหรือไม่-พยานจะถูกข่มขู่หรือเปล่า เช่นเดียวกับคดี 5นักศึกษาซึ่งถูกตำรวจไล่ยิง ก่อนลงมาทำร้าย ที่จังหวัดพิษณุโลก และตกเป็นข่าวครึมโครม จน 3 นายตำรวจถูกดำเนินคดี ถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งผู้ที่เห็นเหตุการณ์และให้การเป็นพยานถูกข่มขู่
คดีสังหารชายขาพิการ นายอนันตชัยที่เป็นพยานถูกข่มขู่เหมือนกัน แต่เพราะความมุ่งมั่นที่จะเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับเหยื่อแก๊งวัยรุ่นทมิฬ จึงไม่หวั่นไหวต่อแรงกดดันใดๆ ไม่กลัวคำขู่ ไม่เกรงใจตำรวจที่แจ้งข้อหาอ่อนละมุน และกัดไม่ปล่อยการดำเนินคดีกับกลุ่มลูกตำรวจ
ถ้าเป็นคนทั่วไป ถ้าไม่ใช่ทนายคนนี้ คงไม่มีใครอยากเอาตัวเข้าไปยุ่ง ปฏิเสธที่จะเป็นพยาน เพราะกลัวภัยจะมาถึง กลัวความเดือดร้อน กลัวเสียเวลา กลัวจะมีปัญหากับตำรวจ เพราะลูกตำรวจถึง4 คนร่วมอยู่ในแก๊งฆ่าชายขาพิการ
แต่นายอนันตชัยเป็นทนายที่มีความกล้าหาญ เป็นทนายที่มีอุดมการณ์ รักความถูกต้อง และเป็นพลเมืองดีที่พร้อมแสดงตัว ไม่ยอมให้ความเป็นธรรมถูกย่ำ ยี จึงยืดหยัดที่จะช่วยครอบครัวชายขาพิการที่ตาย พร้อมจะเป็นพยาน พร้อมตรวจสอบการทำงานของตำรวจ เพื่อลากคอกลุ่มฆาตกรไปชดใช้กรรม
อาชีพทนายความ ต้องผดุงไว้ซึ่งความถูกต้องเป็นธรรม ซึ่งนายอนันตชัยยึดมั่นในจรรยาบรรณของวิชาชีพ จึงอุทิศตัวเพื่อความถูกต้องและเป็นธรรม โดยไม่กังวลกับผลกระทบที่ตามมา ไม่ว่าในรูปแบบใด
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ควรนำกระเช้าดอกไม้ไปให้กำลังใจนายอนันตชัย ในฐานะพลเมืองดี
ตำรวจอาจไม่ชอบให้คนที่รู้กฎหมายเข้ามาจุ้นจ้านการทำงาน ไม่อยากให้มีใครเข้ามาตรวจสอบการสอบสวน จึงแกล้งทำเป็นละเลยการจัดกิจกรรมเพื่อพลเมืองดี ไม่ยอมประกาศเกียรติคุณให้
ถ้าตำรวจไม่ยอมทำสิ่งดีๆที่ควรทำ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาก็ควรออกมาทำหน้าที่แทน ในฐานะผู้นำประเทศ โดยกล่าวชมเชยทนายดีๆ คนนี้บ้าง เพราะถือเป็นบุคคลที่เป็นแบบอย่างเยี่ยงวีรบุรุษ เพื่อให้กำลังใจคนดีอย่างนายอนันตชัย
ถ้ามีคนดี มีคนกล้า มีคนที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ พร้อมจะเสียสละเพื่อความถูกต้องเป็นธรรม เหมือนนายอนันตชัยจำนวนมากๆ สังคมไทยคงอยู่กันอย่างสงบสุขขึ้น และคนเลวๆ คงหาที่ยืนยาก
เสียดายที่คนดีอย่างนายอนันตชัยมีน้อย
และเสียดายที่นายอนันตชัย มีบทบาทเป็นเพียงทนายความธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ถ้าเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ประชาชนคงนอนตาหลับ เพราะมั่นใจได้ว่า จะได้รับความเป็นธรรมจากการทำงานของตำรวจ
ไม่ต้องสิ้นหวังกับตำรวจเหมือนปัจจุบัน
ยิ่งถ้ามีคนอย่างทนาย “อนันตชัย” เป็นนายกรัฐมนตรี ประเทศคงจะพัฒนาไปไกล ปัญหาต่างๆจะได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมและฉับไว
เพราะนายอนันตชัยพิสูจน์ให้เห็นแล้วถึงความเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ มุ่งมั่นในอุดมการณ์ พร้อมจะเสียสละทุ่มเทเพื่อทำให้สังคมนี้ดีขึ้น
น่าเสียดายจริงๆ ที่คนดีๆ คนพูดจริงทำจริงอย่างทนายอนันตชัยไม่ได้มีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ เพราะถ้าเป็นผู้นำประเทศ ประชาชนคงไม่ต้องฝันลมๆแล้งๆ
ไม่ต้องทวงถามถึงความสุขที่ พล.อ.ประยุทธ์รับปากจะคืนให้ตลอดเกือบ2 ปีที่กำลังจะผ่านไป
ทำอย่างไรจึงจะมีคนอย่างทนาย “อนันตชัย” เป็นนายกรัฐมนตรีบ้าง