ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - สุสานคนเป็น “เขย่าขวัญ”ทั้งโจร - สุจริตชน “ชัวร์”ไม่มั่วนิ่มมีตำรวจร่วมรู้เห็นเป็นใจด้วย แฉยุคฆ่าตัดตอนประกาศสงครามยาเสพติดโดย “ทักษิณ ชินวัตร” ตำรวจอีสานสนองนโยบายเต็มที่ ทั้งยิงทิ้ง อุ้มฆ่า เปิดโปงขั้นตอนทรมานเหยื่อสุดทารุณ มีทั้งดีดไข่ ช๊อตไฟฟ้า หรือถอดเล็บมือเล็บเท้า ก่อนนำไปวิสามัญฯหรือเผานั่งยางเพื่อทำลายหลักฐาน
กลายเป็นระเบิดลูกใหม่ที่รอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ลงมาเก็บกู้เพื่อไม่ให้สะเก็ดปลิวไปโดนใครจากกรณีพบสุสานคนเป็น หรือจุดเผานั่งยางในเขตป่าสงวนแห่งชาติกุดจับ หมู่ 3 บ้านคำบอนเวียงชัย ต.หนองแวง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ซึ่งจากการลงพื้นที่ของพนักงานสอบสวนพบว่ามีร่องรอยต่างๆอาทิโครงลวดล้อยางรถยนต์ เศษกระดูกมนุษย์ ฟัน หัวกระสุนและปลอกปืนจำนวนหนึ่งรวม 23 จุด นั่นหมายความว่าจะต้องมีการฆาตกรรมอำพรางเผาทำลายศพอย่างน้อย 23 ศพตามจำนวน “กองฟอน”ยางรถยนต์ที่พบไปด้วย
เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเป็นเรื่องเก่าที่ได้ยินได้ฟังกันมานานโดยเฉพาะนักข่าวสายอาชญากรรม ยิ่งเป็นพวกรุ่นเก๋าผ่านงานมาอย่างโชกโชน ประเภทฝังตัวอยู่ตามกองสืบพูดแบบ “ฟันธง”ไม่เข้าใครออกใครก็คือรู้ทั้งรู้ เหตุที่ไม่หยิบมาพูดก็เพราะถูกกลืนโดยวัฒนะธรรมการนับเป็นพวก หรืออาจด้วยความจำเป็น บางคนเห็นดีเห็นงานช่วยปกปิดไปด้วยเลยก็มี
เคยได้ยินได้ฟังเรื่องทำนองนี้มาก่อน อดีตนายตำรวจมือปราบทั้งที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 และที่อื่นๆต่างให้ความเห็นหลากหลายเช่นยอมรับว่าอาจจะเป็นแหล่งเผาทำลายศพจากนโยบายปราบปรามยาเสพติด หรืออาชญากรรมทุกรูปแบบซึ่งเกือบ 100%จะเป็นตำรวจฝ่ายสืบสวน ประกอบด้วยสืบสวนภาค สืบสวนจังหวัดและสืบสวนโรงพักแต่ไม่ควรทิ้งหลักฐานต่างๆให้ปรากฏเช่นกรณีกลุ่มคนร้ายลักพาตัวนางบังอร ทองอ่อน เจ้าแม่เงินกู้ไปฆ่าเผานั่งยางปรากฏว่าเมื่อมีผู้พบศพยังเหลือชิ้นส่วนขา และกระเพาะอาหาร อีกทั้งรถ จยย.ของคนตายที่นำไปทิ้งไว้ห่างจากจุดเกิดเหตุไม่มากนักจึงเชื่อว่าน่าจะเป็นฝีมือของ “ผู้ช่วยตำรวจ”หรือบรรดามิจฉาชีพ นักเลงในพื้นที่ซึ่งตำรวจฝ่ายสืบสวนนิยมนำมาเป็นมือไม้ให้เป็นตัวแทนทำผิดกฏหมาย
“ลักษณะที่เจอในภาพข่าวต่างๆถือว่าเป็นการทำงานที่หยาบ หากตำรวจเป็นคนจัดการทุกอย่างต้องเรียบร้อยไม่เหลือร่องรอยให้ติดตามได้ การเผาทำลายศพนอกจากวิธีนั่งยางแล้วยังมีถังแดง คือถังน้ำมันขนาด 200 ลิตรดัดแปลงให้มีช่องลมให้อากาศถ่ายเทด้านล่าง จากแนวตั้งสูงขั้นไปประมาณ 1 ศอกจะมีตะแกรงรองรับศพ เมื่อมีเป้าหมายมาก็จะจับยัดใส่ถังใช้น้ำมันก๊าดเป็นเชื้อเพลิง เมื่อเผาจะมีคนคอยเฝ้าพลิกไปมาเพื่อเผาไม่ให้เหลือซากซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมงจะเหลือเพียงเถ้ากระดูกที่ป่นจนเป็นแป้ง เป็นวิธีที่แน่นอนกว่าและนิยมมากกว่า ส่วนจุดที่กำหนดแล้วแต่ฝ่ายสืบสวนของแต่ละภาค มีทั้งแนวป่า จ.กาญจนบุรี ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ หรือตามไร่มันสำปะหลังที่ห่างสายตาผู้คน”
อดีตนายตำรวจมือปราบรายนี้ยังระบุด้วยว่า สำหรับสุสานคนเป็นที่พบในพื้นที่ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี นั้นน่าจะเป็นจุดเผาทำลายศพของฝ่ายสืบสวน บช.ภ.4 อาจจะร่วมกับสืบจังหวัด และสืบโรงพัก โดยกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 มีพื้นที่บริหารประกอบด้วย จ.ขอนแก่น อันเป็นที่ตั้งกองบัญชาการฯและฝ่ายสืบสวนภาคฯ จ.อุดรธานี จ.กาฬสินธุ์ จ.ร้อยเอ็ด จ.หนองคาย จ.สกลนคร จ.มหาสารคาม จ.เลย จ.นครพนม จ.มุกดาหารและ จ.หนองบัวลำภู ซึ่งทราบกันดีว่ามีปัญหาอาชญากรรมต่างๆมากมาย ตั้งแต่นักเลงหัวไม้ แก๊งลักเครื่องมือเกษตร ลักวัว-ควายรวมทั้งการแพร่ระบาดของยาเสพติดเนื่องจากพื้นที่หลายจังหวัดมีแนวเขตติดกับประเทศเพื่อนบ้าน
“อาจมีความจำเป็นเรื่องการปราบปรามด้วยเพราะถ้าตำรวจอ่อนไม่เข้มแข็ง ไม่ทำให้ผู้ร้ายหวาดกลัวก็จะไม่สามารถควบคุมพวกนอกกฏหมายได้ แต่การลงมืออุ้ม หรือจัดการกับใครสักคนก็ต้องสืบให้แน่ชัด เมื่อรู้ตัวแล้วแต่เราไม่สามารถจัดการได้ในทางปกติ จะเป็นด้วยอิทธิพลหรือความเจนจัดจนไม่สามารถหาพยานหลักฐานมามัดตัวได้ก็จะใช้ทางมืด มีทั้งยิงทิ้ง อุ้มไปสอบรีดเอาความลับแล้วฆ่าทิ้ง
แน่นอนว่าวิธีดังกล่าวผิดกฏหมาย เป็นระบบศาลเตี้ยแต่ได้ผล สถิติคดีต่างๆลดลง ยาเสพติดก็ลดลงเพียงแต่ว่าถ้าการข่าวตำรวจพลาด หรือมีอคติ มีวาระแฝงเช่นรับจ้างคู่อริ คู่แข่งหรือเหตุผลใดก็ตามย่อมเป็นบาปติดตัวคนที่เขาตั้งใจทำงานแต่ถูกเพื่อนร่วมงานหลอก หรือบางเคสเป็นเรื่องของการลุแก่อำนาจ การอุ้มคนผิด 100 คนอาจจะตายหรือสูญหายไป 8-90 คน ที่รอดมาได้ก็คือผู้ต้องหาที่นำมาแถลงข่าว ส่วนคนที่ไม่รู้เรื่อง หรือคนดีหากถูกอุ้มแม้จะโกหกยอมรับสารภาพแต่ตำรวจเขามีวิธีทดสอบกลับ พวกนี้อุ้มมา 100 คนก็ตาย 100 คนเพราะถ้าปล่อยไปตำรวจทีมอุ้มก็ต้องติดคุก”
สำหรับรายชื่อนายตำรวจที่เคยลงมากำกับดูแลพื้นที่อีสานตอนบน หรือกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันประกอบด้วยพล.ต.ท.พิชัย สุนทรสัจบูรณ์ พล.ต.ท.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช พล.ต.ท.สมพงษ์ คงเพชรศักดิ์ พล.ต.ท.ภาณุ เกิดลาภผล พล.ต.ท.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา และพล.ต.ท.บุญเลิศ ใจประดิษฐ์ นอกจากนั้นยังมีนายตำรวจคนดังคือ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อดีตผบ.ตร.ที่ผันตัวมาเล่นการเมืองและประสบความสำเร็จเป็นรัฐมนตรี แลรองนายกรัฐมนตรีโดยเส้นทางสายอาชีพตำรวจของ “บิ๊กผิว”เคยเป็นสารวัตรใหญ่ สภ.อ.อุดรธานี เมื่อปี 2518ต่อเมื่อมีการปรับโครงสร้างตำรวจพล.ต.อ.ประชา ยังกลับมาเป็น ผกก.สภ.อ.อุดรธานี อีกครั้งในปี 2522 จนนับได้ว่าเขาคือตำรวจตัวจริงเสียงจริงที่สามารถกุมมวลชนได้อย่างเนกอบเป็นกำในพื้นที่ จ.อุดรธานี รวมทั้งจังหวัดใกล้เคียงด้วย
ช่วงปี 2544 อันเป็นช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ชนะการเลือกตั้งในนามพรรคไทยรักไทย ได้ประกาศทำสงครามกับยาเสพติด พร้อมทั้งกวดขันบรรดาเจ้ามือหวยใต้ดินเนื่องจากเตรียมเข็นนโยบายหวยบนดินขึ้นมาแทนปรากฏว่าเกิดคดีฆ่าตัดตอนอย่างถี่ยิบจนหมดยุค “ทักษิณ”ประมาณว่ามีเหยื่อจากนโยบายดังกล่าวมากกว่า 3,000 รายซึ่งในจำนวนนี้กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 มียอดบุคคลสาปสูญเป็นจำนวนมาก หลายรายหากไม่ถูกอุ้มก็ใช้วิธีส่งยมทูตไปยิงทิ้งถึงบ้านซึ่งสัญญาณที่ตำรวจภาคส่งมาในเวลานั้นคือแผน “กลิ่นธูปควันเทียน”หลังจากปฏิบัติการไม่นานนักปรากฏว่าถูกต่อต้านด้วยกลุ่มสิทธิมนุษยชนจนที่สุดต้องยกเลิกไป
สำหรับปฏิบัติการอุ้มฆ่าของตำรวจในรีต และนอกรีต บางคนบางกลุ่มนั้นส่วนใหญ่ใช้ห้องสืบสวน เป็นกองบัญชาการฯแต่ถ้ามีชั้นความลับมากขึ้นก็อาจจะใช้บ้านสวนบ้านป่าของตัวเองหรือสมัครพรรคพวกจัดเป็นเซฟเฮ้าส์ เมื่อลักพาตัวเหยื่อไปได้แล้วจะนำไปทรมานในรูปแบบต่างๆมีทั้งทุบตีแบบไม่ให้เกิดร่องรอยฝกช้ำ เช่นทุบด้วยกระบองมีนวมหุ้ม ด้วยสมุดโทรศัพท์ ช๊อตด้วยไฟฟ้า จับกดน้ำ แช่น้ำแข็ง ดีดไข่บีบอวัยวะเพศ หรือกระทั่งการถอดเล็บมือเล็บเท้า หลังจากได้ความลับหรือคาดคั้นจนถึงที่สุดแล้วบางรายอาจรอดชีวิตแต่ส่วนใหญ่ไม่รอด ขั้นตอนต่อไปคืออาจนำไปวิสามัญฆาตกรรม หรือไปฆ่าทิ้งเผาทำลายศพ
นับเป็นวัฏจักรของบรรดา “มือปราบ”บางคนที่ทำมารุ่นต่อรุ่นสืบทอดจนกลายเป็นเรื่องธรรมดากระทั่งเกิดคดีตำรวจนอกรีตอุ้มฆ่าเศรษฐีเงินกู้ ความลับต่างๆที่ถูกครอบงำจะด้วยค่านิยมใช้ศาลเตี้ยมากกว่าศาลสถิตย์ยุติธรรม หรือความหวาดกลัวก็ตามแต่เมื่อมีการใช้อำนาจเลยเถิดความจริงจึงถูกเปิดเผยขึ้น
และเป็นเรื่องที่สังคมไทยต้องจับตา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้รักษากฏหมายแต่กลับมีตำรวจนอกรีตบางคน บางแก๊งตั้งตัวเป็นศาลเตี้ย มาเฟียกระทั่งตกเป็นจำเลยหมายเลข 1
ไอ้ที่เขาดักคอกันว่าไม่มีอะไรหรอก ยังไงบรรดาเจ้านายก็คอยคุ้มหัวให้อยู่แล้ว ดูกันซิว่าจะเป็นจริงตามนั้นหรือเปล่า