วานนี้ (28 เม.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน“Startup Thailand 2016”ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมี ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ดร.อุตตม สาวนายน รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และนักธุรกิจ Startup ร่วมงาน จำนวนมาก โดยงานกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 เม.ย.-1พ.ค.59 ภายใต้แนวคิด“Unite to Rise” ซึ่งเป็นการรวบรวม Startup และหน่วยงานที่มีความเกี่ยวข้องกับ Startup ทุกภาคส่วน เป็นครั้งแรกของประเทศไทย
ดร.สมคิด กล่าวว่า เราต้องการสร้างธุรกิจใหม่ๆ ให้ผู้ประกอบการมีโอกาสลงทุนสร้างกิจการใหม่ ซึ่งจะเป็นการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับประเทศในอนาคต ซึ่งมีถึง 8 ประเภท ประกอบด้วย ธุรกิจสตาร์ทอัพ ด้านการเกษตรและอาหาร , ด้านการส่งเสริมอุตสาหกรรม , ด้านการศึกษาและการสนับสนุนการทำงานของภาครัฐ , ด้านอสังหาริมทรัพย์ , เกี่ยวกับการใช้ชีวิตประจำวันทั้งด้านบริการส่วนบุคคล การท่องเที่ยว ความบันเทิง , ด้านการเข้าถึงสินค้า ,ด้านการเงิน และด้านสุขภาพ รัฐบาลต้องการสร้างความตื่นตัวให้กับทั้งประเทศ สร้างโอกาสให้นักธุรกิจได้พบกับนักลงทุนจากต่างประเทศ และสถาบันการเงินเพื่อขยายกิจการ และเพื่อให้โอกาสได้เชื่อมโยงกับต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
ดร.อุตตม กล่าวว่า ปีนี้เราจะผลักดันสตาร์ทอัพอย่างเข้มข้น โดยจะไม่ทำให้กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ โดยต้องกระจายไปต่างจังหวัดด้วย เพราะโอกาสของสตาร์ทอัพ เกิดขึ้นได้ทุกที่ เพราะเทคโนโลยีเอื้อกันหมดแล้ว ซึ่งคนไทยมีความคิดสร้างสรรค์สูงมาก ทำให้ขณะนี้มีสตาร์ทอัพ 1,000-2,500 ราย และขณะนี้กำลังหารือกันว่า จะให้ย่านสยามสแควร์ เป็นชุมชนสตาร์ทอัพในกรุงเทพฯ และย่านถนนนิมมานเหมินทร์ เป็นชุมชนสตาร์ทอัพ ของจ.เชียงใหม่
"กระทรวงการคลัง ได้ออกพระราชกฤษฎีกาที่สามารถลดหย่อนภาษีให้กับผู้ที่จะมาธุรกิจสตาร์ทอัพ ทั้งในส่วนของเงินรายได้ เงินปันผล โอนหุ้น รวมทั้งได้มีการจัดสรรกองทุนขึ้นมาหลายกองให้ธนาคารของรัฐ 3 ธนาคารได้แก่ กรุงไทย ออมสิน และเอสเอ็มอีแบงก์ สนับสนุนสตาร์ทอัพแห่งละ 2,000 ล้านบาท กองทุนส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อสนับสนุนสตาร์ทพอัพ" ดร.อุตตม กล่าว
ทั้งนี้ งานดังกล่าวจัดขึ้นโดย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับ 11 หน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน ประกอบด้วย กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เครือข่ายประชารัฐ และประชาคมสตาร์ทอัพไทย
ดร.สมคิด กล่าวว่า เราต้องการสร้างธุรกิจใหม่ๆ ให้ผู้ประกอบการมีโอกาสลงทุนสร้างกิจการใหม่ ซึ่งจะเป็นการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับประเทศในอนาคต ซึ่งมีถึง 8 ประเภท ประกอบด้วย ธุรกิจสตาร์ทอัพ ด้านการเกษตรและอาหาร , ด้านการส่งเสริมอุตสาหกรรม , ด้านการศึกษาและการสนับสนุนการทำงานของภาครัฐ , ด้านอสังหาริมทรัพย์ , เกี่ยวกับการใช้ชีวิตประจำวันทั้งด้านบริการส่วนบุคคล การท่องเที่ยว ความบันเทิง , ด้านการเข้าถึงสินค้า ,ด้านการเงิน และด้านสุขภาพ รัฐบาลต้องการสร้างความตื่นตัวให้กับทั้งประเทศ สร้างโอกาสให้นักธุรกิจได้พบกับนักลงทุนจากต่างประเทศ และสถาบันการเงินเพื่อขยายกิจการ และเพื่อให้โอกาสได้เชื่อมโยงกับต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
ดร.อุตตม กล่าวว่า ปีนี้เราจะผลักดันสตาร์ทอัพอย่างเข้มข้น โดยจะไม่ทำให้กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ โดยต้องกระจายไปต่างจังหวัดด้วย เพราะโอกาสของสตาร์ทอัพ เกิดขึ้นได้ทุกที่ เพราะเทคโนโลยีเอื้อกันหมดแล้ว ซึ่งคนไทยมีความคิดสร้างสรรค์สูงมาก ทำให้ขณะนี้มีสตาร์ทอัพ 1,000-2,500 ราย และขณะนี้กำลังหารือกันว่า จะให้ย่านสยามสแควร์ เป็นชุมชนสตาร์ทอัพในกรุงเทพฯ และย่านถนนนิมมานเหมินทร์ เป็นชุมชนสตาร์ทอัพ ของจ.เชียงใหม่
"กระทรวงการคลัง ได้ออกพระราชกฤษฎีกาที่สามารถลดหย่อนภาษีให้กับผู้ที่จะมาธุรกิจสตาร์ทอัพ ทั้งในส่วนของเงินรายได้ เงินปันผล โอนหุ้น รวมทั้งได้มีการจัดสรรกองทุนขึ้นมาหลายกองให้ธนาคารของรัฐ 3 ธนาคารได้แก่ กรุงไทย ออมสิน และเอสเอ็มอีแบงก์ สนับสนุนสตาร์ทอัพแห่งละ 2,000 ล้านบาท กองทุนส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อสนับสนุนสตาร์ทพอัพ" ดร.อุตตม กล่าว
ทั้งนี้ งานดังกล่าวจัดขึ้นโดย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับ 11 หน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน ประกอบด้วย กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เครือข่ายประชารัฐ และประชาคมสตาร์ทอัพไทย
