ผู้จัดการรายวัน360-กกต. เชือดไก่ให้ลิงดู ประเดิมแจ้งความเอาผิดกองทุนใน จ.ขอนแก่น เป็นรายแรก หลังโพสต์เพซบุ๊กหยาบคาย ป่วนการประชามติร่างรัฐธรรมนูญ "สมชัย"เผยต้องการกระตุกสังคมให้หันมาใช้เหตุผลมากกว่าสร้างความวุ่นวาย ระบุความผิดมีโทษคุก 10 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสน แนะคนไทยเจอการกระทำผิด แจ้งตำรวจดำเนินคดีได้เลย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเช้าวานนี้ (27เม.ย.) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 ที่ สน.ทุ่งสองห้อง โดยมี ร.ต.ท.กฤติเดช ชอบค้าขาย เป็นร้อยเวรเจ้าของสำนวน
นายสมชัย กล่าวว่า ได้พบการกระทำผิดหนึ่งกรณี จากการโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก โดยกลุ่มองค์กรกลุ่มหนึ่งซึ่งขอเรียกว่าเป็นกองทุนหนึ่ง ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ใน จ.ขอนแก่น มีเนื้อหาในลักษณะก้าวร้าว หยาบคาย และนำไปสู่เจตนาในการชักจูงประชาชนไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งเกี่ยวกับการรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ และเห็นว่าสามารถเชื่อมโยงการกระทำผิดจากองค์กรไปยังตัวบุคคลไม่ยาก เพราะเป็นองค์กรทางการ และมีผู้จัดการชัดเจน ซึ่งตนได้นำหลักฐานเสนอต่อพนักงานสอบสวนแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของตำรวจ ที่จะต้องสอบสวนว่าข้อความที่โพสต์ ทำโดยผู้บริหาร หรือบุคลากรภายใน แต่ไม่ว่าจะโพสต์โดยใคร ผู้บริหารก็ต้องรับผิดชอบ เพราะเป็นการโพสต์ต่อสาธารณะ
ส่วนความผิดจะไปถึงใครนั้น ขึ้นอยู่กับพนักงานสอบสวนที่จะต้องเรียกคนรับผิดชอบขององค์กรดังกล่าวมาสอบสวนเพิ่มเติมว่าใครเป็นผู้กระทำความผิด แม้ว่าข้อความดังกล่าวจะมีการลบทิ้งไปแล้ว แต่ได้มีการถ่ายเอกสารและเซ็นต์รับรองไว้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ตนจะไม่เร่งรัดการดำเนินคดี ขอให้เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน โดยการแจ้งความในครั้งนี้ กระทำในนาม กกต. ที่ไม่จำเป็นต้องรอให้ กกต. ลงมติ ซึ่งหลังจากนี้ จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุม กกต. เพื่อรับทราบต่อไป
นายสมชัยกล่าวว่า กรณีนี้ถือว่ามีองค์ประกอบการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ประชามติ อย่างสมบูรณ์ อยู่ในกลุ่มสีแดง ซึ่งหากประชาชนพบการกระทำผิดเช่นนี้ ก็สามารถแจ้งความดำเนินคดีได้เลย โดยไม่ต้องร้องต่อ กกต. เพราะเข้าข่ายกระทำผิดตาม มาตรา 61 วรรค 2 ในฐานความผิดก่อให้เกิดความวุ่นวายในการออกเสียงประชามติ มีโทษจำคุก 10 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท และศาลอาจให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปีด้วย
สำหรับการโพสต์ข้อความรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ โดยให้เหตุผลรองรับ ไม่ถือว่าผิดกฎหมาย แต่เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ รวมทั้งการแสดงความเห็นทางวิชาการต่อสาธารณะ ที่อยู่ในขอบเขตของกฎหมาย กกต. ไม่เคยไปยุ่ง
นายสมชัยกล่าวว่า การแจ้งความครั้งนี้ จะช่วยหยุดความรุนแรง และช่วยให้การทำประชามติเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ เพราะการแจ้งความ ไม่ได้มีเจตนาจะเอาผิดหรือเอาใครขึ้นศาล เข้าคุก แต่ต้องการให้เป็นแบบอย่าง มีการพูดด้วยเหตุผลอย่างเป็นวิชาการ และเป็นสุภาพชน แต่หากโพสต์ข้อความหยาบคาย รุนแรง ก้าวร้าว ข่มขู่ ถือเป็นความผิดที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ซึ่งตามกฎหมายว่าด้วยประชามติ ผู้พบเห็นการกระทำผิดกฎหมายทุกคนไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าพนักงาน หรือ กกต. สามารถยื่นแจ้งความด้วยตนเองได้
ส่วนจะต้องตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อดูแลเรื่องนี้หรือไม่นั้น ขอให้เป็นเรื่องของที่ประชุม กกต. จะพิจารณาอีกครั้ง และในวันศุกร์ที่ 29 เม.ย.นี้ กกต.จะประชุมเพื่อกำหนดแนวปฏิบัติในส่วนกลุ่มสีเทา ที่ยังไม่ชัดเจนว่าจะทำได้ หรือไม่ได้ โดยจะได้บทสรุปเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในวันดังกล่าวด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่นายสมชัย กำลังให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้เดินทางมาที่ สน. โดยปฏิเสธว่าไม่ได้มาดูคดีนี้ แต่มาติดตามคดีของลูกน้อง
พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวว่า จากที่ได้เจอกับนายสมชัย ซึ่งมาร้องทุกข์กล่าวโทษ จึงถือโอกาสสั่งกำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการสอบสวน และรวบรวมพยานหลักฐาน ตามที่กล่าวหาว่ากระทำผิดตาม มาตรา 61 วรรค 2 ของพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ เพราะหากการกระทำดังกล่าวเข้าฐานความผิด ก็ต้องดำเนินคดีไปตามกฎหมาย
"ขอย้ำเตือนประชาชนทุกคนว่า ช่วงนี้อยู่ระหว่างที่ พ.ร.บ.ประชามติ มีผลใช้บังคับแล้ว การแสดงความคิดเห็นใด ก็ต้องอยู่ในกรอบของข้อกฎหมาย โดยส่วนตัวไม่มีความกังวลว่าจะมีการฟ้องร้องกันมากขึ้น เพราะทุกอย่างอยู่ที่ข้อเท็จจริง หากเจตนาบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรแอบแฝง ก็คงไม่มีปัญหาใด โดยเชื่อว่ากฎหมายจะช่วยให้ทุกอย่างสงบเรียบร้อย ผมมีหน้าที่รักษากฎหมาย รักคนไทยทุกคน อยากให้ทุกคนเดินหน้าร่วมกันเพื่อทำให้บ้านเมืองสงบสุข เพื่อประเทศไทยจะได้น่าอยู่ และน่าท่องเที่ยว คนจะได้มาเที่ยวในประเทศมากๆ เศรษฐกิจก็จะได้ดีด้วย"พล.ต.ท.ศานิตย์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า นายประวิช รัตนเพียร ได้ทำหน้าที่ประธานการประชุม กกต. เพื่อพิจารณาถึงกรณีที่นายสมชัยไปแจ้งความดำเนินคดี โดยระบุว่า กกต. เป็นองค์กร ต้องทำหน้าที่แบบองค์กร และหาก กกต. ไม่มีมติให้ดำเนินการ ต่อไปการจะไปแจ้งความดำเนินคดีอีก ก็ขอให้ทำในนามส่วนตัว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเช้าวานนี้ (27เม.ย.) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 ที่ สน.ทุ่งสองห้อง โดยมี ร.ต.ท.กฤติเดช ชอบค้าขาย เป็นร้อยเวรเจ้าของสำนวน
นายสมชัย กล่าวว่า ได้พบการกระทำผิดหนึ่งกรณี จากการโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก โดยกลุ่มองค์กรกลุ่มหนึ่งซึ่งขอเรียกว่าเป็นกองทุนหนึ่ง ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ใน จ.ขอนแก่น มีเนื้อหาในลักษณะก้าวร้าว หยาบคาย และนำไปสู่เจตนาในการชักจูงประชาชนไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งเกี่ยวกับการรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ และเห็นว่าสามารถเชื่อมโยงการกระทำผิดจากองค์กรไปยังตัวบุคคลไม่ยาก เพราะเป็นองค์กรทางการ และมีผู้จัดการชัดเจน ซึ่งตนได้นำหลักฐานเสนอต่อพนักงานสอบสวนแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของตำรวจ ที่จะต้องสอบสวนว่าข้อความที่โพสต์ ทำโดยผู้บริหาร หรือบุคลากรภายใน แต่ไม่ว่าจะโพสต์โดยใคร ผู้บริหารก็ต้องรับผิดชอบ เพราะเป็นการโพสต์ต่อสาธารณะ
ส่วนความผิดจะไปถึงใครนั้น ขึ้นอยู่กับพนักงานสอบสวนที่จะต้องเรียกคนรับผิดชอบขององค์กรดังกล่าวมาสอบสวนเพิ่มเติมว่าใครเป็นผู้กระทำความผิด แม้ว่าข้อความดังกล่าวจะมีการลบทิ้งไปแล้ว แต่ได้มีการถ่ายเอกสารและเซ็นต์รับรองไว้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ตนจะไม่เร่งรัดการดำเนินคดี ขอให้เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน โดยการแจ้งความในครั้งนี้ กระทำในนาม กกต. ที่ไม่จำเป็นต้องรอให้ กกต. ลงมติ ซึ่งหลังจากนี้ จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุม กกต. เพื่อรับทราบต่อไป
นายสมชัยกล่าวว่า กรณีนี้ถือว่ามีองค์ประกอบการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ประชามติ อย่างสมบูรณ์ อยู่ในกลุ่มสีแดง ซึ่งหากประชาชนพบการกระทำผิดเช่นนี้ ก็สามารถแจ้งความดำเนินคดีได้เลย โดยไม่ต้องร้องต่อ กกต. เพราะเข้าข่ายกระทำผิดตาม มาตรา 61 วรรค 2 ในฐานความผิดก่อให้เกิดความวุ่นวายในการออกเสียงประชามติ มีโทษจำคุก 10 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท และศาลอาจให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปีด้วย
สำหรับการโพสต์ข้อความรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ โดยให้เหตุผลรองรับ ไม่ถือว่าผิดกฎหมาย แต่เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ รวมทั้งการแสดงความเห็นทางวิชาการต่อสาธารณะ ที่อยู่ในขอบเขตของกฎหมาย กกต. ไม่เคยไปยุ่ง
นายสมชัยกล่าวว่า การแจ้งความครั้งนี้ จะช่วยหยุดความรุนแรง และช่วยให้การทำประชามติเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ เพราะการแจ้งความ ไม่ได้มีเจตนาจะเอาผิดหรือเอาใครขึ้นศาล เข้าคุก แต่ต้องการให้เป็นแบบอย่าง มีการพูดด้วยเหตุผลอย่างเป็นวิชาการ และเป็นสุภาพชน แต่หากโพสต์ข้อความหยาบคาย รุนแรง ก้าวร้าว ข่มขู่ ถือเป็นความผิดที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ซึ่งตามกฎหมายว่าด้วยประชามติ ผู้พบเห็นการกระทำผิดกฎหมายทุกคนไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าพนักงาน หรือ กกต. สามารถยื่นแจ้งความด้วยตนเองได้
ส่วนจะต้องตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อดูแลเรื่องนี้หรือไม่นั้น ขอให้เป็นเรื่องของที่ประชุม กกต. จะพิจารณาอีกครั้ง และในวันศุกร์ที่ 29 เม.ย.นี้ กกต.จะประชุมเพื่อกำหนดแนวปฏิบัติในส่วนกลุ่มสีเทา ที่ยังไม่ชัดเจนว่าจะทำได้ หรือไม่ได้ โดยจะได้บทสรุปเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในวันดังกล่าวด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่นายสมชัย กำลังให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้เดินทางมาที่ สน. โดยปฏิเสธว่าไม่ได้มาดูคดีนี้ แต่มาติดตามคดีของลูกน้อง
พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวว่า จากที่ได้เจอกับนายสมชัย ซึ่งมาร้องทุกข์กล่าวโทษ จึงถือโอกาสสั่งกำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการสอบสวน และรวบรวมพยานหลักฐาน ตามที่กล่าวหาว่ากระทำผิดตาม มาตรา 61 วรรค 2 ของพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ เพราะหากการกระทำดังกล่าวเข้าฐานความผิด ก็ต้องดำเนินคดีไปตามกฎหมาย
"ขอย้ำเตือนประชาชนทุกคนว่า ช่วงนี้อยู่ระหว่างที่ พ.ร.บ.ประชามติ มีผลใช้บังคับแล้ว การแสดงความคิดเห็นใด ก็ต้องอยู่ในกรอบของข้อกฎหมาย โดยส่วนตัวไม่มีความกังวลว่าจะมีการฟ้องร้องกันมากขึ้น เพราะทุกอย่างอยู่ที่ข้อเท็จจริง หากเจตนาบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรแอบแฝง ก็คงไม่มีปัญหาใด โดยเชื่อว่ากฎหมายจะช่วยให้ทุกอย่างสงบเรียบร้อย ผมมีหน้าที่รักษากฎหมาย รักคนไทยทุกคน อยากให้ทุกคนเดินหน้าร่วมกันเพื่อทำให้บ้านเมืองสงบสุข เพื่อประเทศไทยจะได้น่าอยู่ และน่าท่องเที่ยว คนจะได้มาเที่ยวในประเทศมากๆ เศรษฐกิจก็จะได้ดีด้วย"พล.ต.ท.ศานิตย์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า นายประวิช รัตนเพียร ได้ทำหน้าที่ประธานการประชุม กกต. เพื่อพิจารณาถึงกรณีที่นายสมชัยไปแจ้งความดำเนินคดี โดยระบุว่า กกต. เป็นองค์กร ต้องทำหน้าที่แบบองค์กร และหาก กกต. ไม่มีมติให้ดำเนินการ ต่อไปการจะไปแจ้งความดำเนินคดีอีก ก็ขอให้ทำในนามส่วนตัว
