รายงานข่าวจาก บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) (อสมท) แจ้งว่า เมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2559 ที่ห้องบอลรูม Hall A ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยในช่วงที่เปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นซักถามข้อสงสัยกับผู้บริหารและคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ได้มีผู้ถือหุ้นรายหนึ่งได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารงานของ อสมท รวมทั้งตั้งประเด็นคำถามที่น่าสนใจ 2 ประเด็นต่อบอร์ด อสมท คือ ประเด็นที่ 1 การขาดคุณสมบัติของ นายศิวะพร ชมสุวรรณ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท และ ประเด็นที่ 2 ทวงถามถึงแนวทางการดำเนินคดีในส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ในคดียักยอกค่าโฆษณาของ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด เพิ่มเติมจากคดีความที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมขณะนี้ ซึ่งมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้ว่ามีพนักงานระดับบริหารของ อสมท เกี่ยวข้องกับการทุจริต โดยมีการกระทำผิดรวมแล้วมากกว่า 500 ครั้ง แต่คดีได้เริ่มหมดอายุความตั้งแต่เดือน ก.พ.58 – มิ.ย.59 ทั้งนี้ผู้ถือหุ้นรายเดียวกันนี้ยังได้อ้างถึงบันทึกข้อความ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ นร.0601/261 ลงวันที่ 31 ส.ค.58 เรื่อง การแก้ไขปัญหาทุจริตในหน่วยงานของรัฐและการขาดอายุความ ส่งถึงกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท
“พอผู้ถือหุ้นคนนั้นถามเสร็จ ก็ไม่มีผู้บริหารหรือบอร์ด อสมท ที่อยู่ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นวันนั้นใช้สิทธิ์ชี้แจงแต่อย่างใด มีเพียงการตัดบทและขอรับเรื่องทั้ง 2 ประเด็นดังกล่าวนำเข้าที่ประชุมบอร์ด อสมท ที่จะมีการประชุมในวันจันทร์ที่ 25 เม.ย.นี้เท่านั้น” แหล่งข่าวระดับสูงใน อสมท ระบุ
ผู้สื่อข่าวได้ทำการตรวจสอบทั้ง 2 ประเด็นที่ผู้ถือหุ้นรายดังกล่าวได้ตั้งคำถาม โดยพบว่าในประเด็นการขาดคุณสมบัติของ นายศิวะพรนั้น ในช่วงเข้ารับการสรรหาและก่อนเริ่มปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาจ้างเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.57 ก็ได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงคุณสมบัติของนายศิวะพรที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่ทาง อสมท ได้ประกาศไว้ในเงื่อนไขการรับสมัครเป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ว่า “ผู้สมัครจะต้องมีความรู้และประสบการณ์ในการบริหารจัดการองค์กรระดับกรมขึ้นไป หรือเทียบเท่า หากเป็นหน่วยงานเอกชน ต้องดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้บริหารสูงสุดองค์กรหรือเทียบเท่าที่มีรายได้ไม่น้อยกว่า 1,500 ล้านบาท และต้องมีระยะในการดำรงตำแหน่งนั้นๆไม่ต่ำกว่า 2 ปี”
จากการตรวจสอบประวัติการทำงานของนายศิวะพรพบว่า เคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารบริษัทหลายแห่ง
อาทิ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อักษร เอ็ดดูเคชั่น จำกัด กลุ่มธุรกิจสื่อการศึกษาทางเลือกในเครืออักษรเจริญทัศน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (LIVE) ธุรกิจโทรทัศน์บอกรับสมาชิก กรรมการผู้จัดการ บริษัท มีโมชั่น จำกัด ประกอบกิจการประเภทกิจกรรมการผลิตภาพยนตร์และวีดิทัศน์ กรรมการ บริษัท เดอร์มอลแคร์ (ประเทศไทย) จำกัด กิจการประเภทการขายส่งเครื่องสำอาง และ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เนชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็ดดูเทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) (NINE) ซึ่งแต่ละแห่งมีรายได้ไม่ถึง 1,500 ล้านบาทต่อปีตามที่กำหนดไว้ โดย NINE ซึ่งเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ยังมีรายได้เพียงแค่ 200 ล้านบาทเศษต่อปีเท่านั้น
ที่สำคัญยังมีคุณสมบัติของนายศิวะพรยังเข้าข่ายขัด พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุณสมบัติมาตรฐานสําหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ 6) ซึ่งระบุไว้ในมาตราที่ 8 ตรี ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ วงเล็บที่ (12) ระบุว่า “ไม่เป็นหรือภายในระยะเวลา 3 ปีก่อนวันได้รับแต่งตั้งไม่เคยเป็นกรรมการ หรือผู้บริหารหรือผู้มีอํานาจในการจัดการหรือมีส่วนได้เสียในนิติบุคคลซึ่งเป็นผู้รับสัมปทาน ผู้ร่วมทุน หรือมีประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกับกิจการของรัฐวิสาหกิจนั้น เว้นแต่การเป็นประธานกรรมการ หรือ กรรมการในนิติบุคคลดังกล่าวโดยการมอบหมายของรัฐวิสาหกิจนั้น”
โดย นายศิวะพร ได้ลาออกจาก NINE ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเนชั่นมัลติมีเดียกรุ๊ป ที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับสื่อสารมวลชนเช่นเดียวกับ อสมท เมื่อช่วงต้นปี 2557 ก่อนเข้ารับการคัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท เมื่อช่วงปลายปีเดียวกัน ซึ่งระยะเวลายังพ้นกำหนด 3 ปีที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งเมื่อเดือน มี.ค.56 ยังพบว่า อสมท ได้ว่าจ้าง บริษัท มีโมชั่น จำกัด ซึ่งมี นายศิวะพร เป็นกรรมการผู้จัดการในขณะนั้น สำหรับการบันทึกภาพ/บทรายการโทรทัศน์/โปรดิวเซอร์ควบคุมการตัดต่อ ในส่วนของ 17 จังหวัดภาคเหนือ จังหวัดละ 150,000 บาท รวมเป็นเงิน 2,728,500 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ซึ่งก็ยังไม่ครบกำหนดระยะเวลา 3 ปีก่อนเข้ารับตำแหน่งผู้บริหารใน อสมท ตามที่กฎหมายกำหนดเช่นกัน
สำหรับการตรวจสอบในประเด็นที่ 2 เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินคดีในส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดในคดีที่ อัยการสูงสุด (อสส.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.พิชชาภา เอี่ยมสะอาด อดีตพนักงาน อสมท นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรชื่อดัง บริษัท ไร่ส้ม จำกัด และ น.ส.มณฑา ธีระเดช พนักงาน บ.ไร่ส้ม เป็นจำเลย กรณียักยอกเงินค่าโฆษณาเกินเวลาในรายการคุยคุ้ยข่าว ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ อสมท กว่า 138 ล้านบาท เหตุเกิดระหว่างวันที่ 1 ก.พ.48 - 15 ก.ค.49 ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการของศาลอุทธรณ์นั้น เมื่อตรวจสอบบันทึกข้อความ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ นร.0601/261 ลงวันที่ 31 ส.ค.58 (ลงนามโดย ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ปลัดสำนักนายกฯในขณะนั้น) เรื่อง การแก้ไขปัญหาทุจริตในหน่วยงานของรัฐและการขาดอายุความ ส่งถึงกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท ก็พบว่า ได้มีการอ้างอิงถึงผลการพิจารณาศึกษาสัญญาร่วมดำเนินรายการระหว่าง อสมท กับ บ.ไร่ส้ม ของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สื่อสารมวลชน การวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสารสนเทศ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ระบุว่าจากการศึกษาพบว่า การดำเนินการระหว่าง อสมท กับ บ.ไร่ส้ม อาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 ตลอดจนพบความผิดพลาดบกพร่องในหลายหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งพบว่ามีการทุจริตฉ้อโกงและปลอมเอกสารเกิดขึ้นต่างกรรมต่างวาระกว่า 340 วัน จำนวนมากกว่า 500 ครั้ง และได้มีการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดฐานฉ้อโกงและปลอมเอกสาร แต่หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องมิได้มีการพิจารณาและดำเนินการแต่อย่างใด ท้ายบันทึกข้อความยังได้ระบุว่า ให้ ติดตามและรายงานผลทุก 7 วัน อย่างไรก็ตามตลอดระยะเวลากว่า 7 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่ได้รับหนังสือ ปรากฎว่า ทาง อสมท ไม่ได้ชี้แจงหรือดำเนินการใดๆ
บันทึกข้อความฉบับดังกล่าวยังได้อ้างอิงถึง บันทึกข้อความ สำนักรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ที่ นร.0405 (ลร.5) ลงวันที่ 29 ก.ค.58 เรื่องการแก้ไขปัญหาทุจริตในหน่วยงานของรัฐและการขาดอายุความ ระบุตอนหนึ่งจากผลการสอบของ กมธ.สื่อสารมวลชนฯ สนช. ที่เสนอให้สำนักนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้กำกับดูแล อสมท ดำเนินคดีต่อบุคคล คณะบุคคล และนิติบุคคลที่ต้องมีส่วนรับผิดชอบในกรณีนี้ ก่อนคดีจะขาดอายุความตั้งแต่เดือน ก.พ.58 – มิ.ย.59 พร้อมระบุว่า มีความน่าจะเป็นไปได้สูงว่า ที่จะมีพนักงานในระดับผู้บริหารของ อสมท มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตดังกล่าว
เมื่อสอบถามไปยังสมาชิก สนช. ซึ่งร่วมเป็น กมธ.สื่อสารมวลชนฯ สนช.ด้วย ได้เปิดเผยว่า การพิจารณาศึกษาข้อสัญญาที่เกี่ยวกับ บ.ไร่ส้ม นอกเหนือ นายสรยุทธ์ และนางพิชชาภา ที่ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกแล้ว กมธ.ก็ยังได้ตรวจสอบย้อนหลังโดยละเอียด ผ่านรายงานของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ชุดที่มี พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ เป็นประธาน ซึ่ง อสมท ตั้งขึ้นเมื่อช่วงปี 2550 ที่พบว่าในระหว่างเกิดกรณียักยอกค่าโฆษณารายการคุยคุ้ยข่าวนั้น มี นายธนะชัย วงศ์ทองศรี รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายบริหารในปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งสำคัญหลหายตำแหน่งในช่วงปี 2548-49 ทั้งหัวหน้าฝ่ายกฎหมายธุรกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายธุรกิจ รักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยใหญ่สำนักกฎหมายและเลขานุการบริษัท รวมทั้งตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักกลยุทธ์การตลาด ที่มีหน้าที่คอยตรวจเช็คคิวโฆษณา จึงถูกระบุว่าเป็นผู้ที่ละเลยการกำกับ ควบคุมดูแลการทำงานของผู้ใต้บังคับบัญชา จนทำให้เกิดการทุจริตต่อหน้าที่ด้วย
***“น้าเน็ก” รับพิธีกร “เรื่องเล่าเช้านี้”
หลังการออกไปของผู้ดำเนินรายการชื่อดัง “สรุยุทธ สุทัศนะจินดา” ก็เป็นที่จับตาเหลือเกินว่ารายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” จะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบหรือจะมีใครมานั่งทำหน้าที่ดังกล่าวแทนเจ้าตัวหรือไม่
โดยหลังจากที่มีการปรับเปลี่ยนรายการไปบ้างแล้ว ล่าสุด ทางด้านของ “เน็ก เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา” ก็ได้มีการโพสต์คู่กับ “น้องไบรท์” พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ พร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Nanake555 เผยว่า วันจันทร์ที่ 25 เมษายน นี้ ตนเองจะไปรับหน้าที่เป็นพิธีกรข่าวในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ซึ่งก็ได้มีคนเข้ามาร่วมแสดงความยินดีกับเจ้าตัวมากมาย.
“พอผู้ถือหุ้นคนนั้นถามเสร็จ ก็ไม่มีผู้บริหารหรือบอร์ด อสมท ที่อยู่ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นวันนั้นใช้สิทธิ์ชี้แจงแต่อย่างใด มีเพียงการตัดบทและขอรับเรื่องทั้ง 2 ประเด็นดังกล่าวนำเข้าที่ประชุมบอร์ด อสมท ที่จะมีการประชุมในวันจันทร์ที่ 25 เม.ย.นี้เท่านั้น” แหล่งข่าวระดับสูงใน อสมท ระบุ
ผู้สื่อข่าวได้ทำการตรวจสอบทั้ง 2 ประเด็นที่ผู้ถือหุ้นรายดังกล่าวได้ตั้งคำถาม โดยพบว่าในประเด็นการขาดคุณสมบัติของ นายศิวะพรนั้น ในช่วงเข้ารับการสรรหาและก่อนเริ่มปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาจ้างเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.57 ก็ได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงคุณสมบัติของนายศิวะพรที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่ทาง อสมท ได้ประกาศไว้ในเงื่อนไขการรับสมัครเป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ว่า “ผู้สมัครจะต้องมีความรู้และประสบการณ์ในการบริหารจัดการองค์กรระดับกรมขึ้นไป หรือเทียบเท่า หากเป็นหน่วยงานเอกชน ต้องดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้บริหารสูงสุดองค์กรหรือเทียบเท่าที่มีรายได้ไม่น้อยกว่า 1,500 ล้านบาท และต้องมีระยะในการดำรงตำแหน่งนั้นๆไม่ต่ำกว่า 2 ปี”
จากการตรวจสอบประวัติการทำงานของนายศิวะพรพบว่า เคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารบริษัทหลายแห่ง
อาทิ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อักษร เอ็ดดูเคชั่น จำกัด กลุ่มธุรกิจสื่อการศึกษาทางเลือกในเครืออักษรเจริญทัศน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (LIVE) ธุรกิจโทรทัศน์บอกรับสมาชิก กรรมการผู้จัดการ บริษัท มีโมชั่น จำกัด ประกอบกิจการประเภทกิจกรรมการผลิตภาพยนตร์และวีดิทัศน์ กรรมการ บริษัท เดอร์มอลแคร์ (ประเทศไทย) จำกัด กิจการประเภทการขายส่งเครื่องสำอาง และ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เนชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็ดดูเทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) (NINE) ซึ่งแต่ละแห่งมีรายได้ไม่ถึง 1,500 ล้านบาทต่อปีตามที่กำหนดไว้ โดย NINE ซึ่งเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ยังมีรายได้เพียงแค่ 200 ล้านบาทเศษต่อปีเท่านั้น
ที่สำคัญยังมีคุณสมบัติของนายศิวะพรยังเข้าข่ายขัด พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุณสมบัติมาตรฐานสําหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ 6) ซึ่งระบุไว้ในมาตราที่ 8 ตรี ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ วงเล็บที่ (12) ระบุว่า “ไม่เป็นหรือภายในระยะเวลา 3 ปีก่อนวันได้รับแต่งตั้งไม่เคยเป็นกรรมการ หรือผู้บริหารหรือผู้มีอํานาจในการจัดการหรือมีส่วนได้เสียในนิติบุคคลซึ่งเป็นผู้รับสัมปทาน ผู้ร่วมทุน หรือมีประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกับกิจการของรัฐวิสาหกิจนั้น เว้นแต่การเป็นประธานกรรมการ หรือ กรรมการในนิติบุคคลดังกล่าวโดยการมอบหมายของรัฐวิสาหกิจนั้น”
โดย นายศิวะพร ได้ลาออกจาก NINE ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเนชั่นมัลติมีเดียกรุ๊ป ที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับสื่อสารมวลชนเช่นเดียวกับ อสมท เมื่อช่วงต้นปี 2557 ก่อนเข้ารับการคัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท เมื่อช่วงปลายปีเดียวกัน ซึ่งระยะเวลายังพ้นกำหนด 3 ปีที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งเมื่อเดือน มี.ค.56 ยังพบว่า อสมท ได้ว่าจ้าง บริษัท มีโมชั่น จำกัด ซึ่งมี นายศิวะพร เป็นกรรมการผู้จัดการในขณะนั้น สำหรับการบันทึกภาพ/บทรายการโทรทัศน์/โปรดิวเซอร์ควบคุมการตัดต่อ ในส่วนของ 17 จังหวัดภาคเหนือ จังหวัดละ 150,000 บาท รวมเป็นเงิน 2,728,500 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ซึ่งก็ยังไม่ครบกำหนดระยะเวลา 3 ปีก่อนเข้ารับตำแหน่งผู้บริหารใน อสมท ตามที่กฎหมายกำหนดเช่นกัน
สำหรับการตรวจสอบในประเด็นที่ 2 เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินคดีในส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดในคดีที่ อัยการสูงสุด (อสส.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.พิชชาภา เอี่ยมสะอาด อดีตพนักงาน อสมท นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรชื่อดัง บริษัท ไร่ส้ม จำกัด และ น.ส.มณฑา ธีระเดช พนักงาน บ.ไร่ส้ม เป็นจำเลย กรณียักยอกเงินค่าโฆษณาเกินเวลาในรายการคุยคุ้ยข่าว ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ อสมท กว่า 138 ล้านบาท เหตุเกิดระหว่างวันที่ 1 ก.พ.48 - 15 ก.ค.49 ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการของศาลอุทธรณ์นั้น เมื่อตรวจสอบบันทึกข้อความ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ นร.0601/261 ลงวันที่ 31 ส.ค.58 (ลงนามโดย ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ปลัดสำนักนายกฯในขณะนั้น) เรื่อง การแก้ไขปัญหาทุจริตในหน่วยงานของรัฐและการขาดอายุความ ส่งถึงกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท ก็พบว่า ได้มีการอ้างอิงถึงผลการพิจารณาศึกษาสัญญาร่วมดำเนินรายการระหว่าง อสมท กับ บ.ไร่ส้ม ของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สื่อสารมวลชน การวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสารสนเทศ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ระบุว่าจากการศึกษาพบว่า การดำเนินการระหว่าง อสมท กับ บ.ไร่ส้ม อาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 ตลอดจนพบความผิดพลาดบกพร่องในหลายหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งพบว่ามีการทุจริตฉ้อโกงและปลอมเอกสารเกิดขึ้นต่างกรรมต่างวาระกว่า 340 วัน จำนวนมากกว่า 500 ครั้ง และได้มีการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดฐานฉ้อโกงและปลอมเอกสาร แต่หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องมิได้มีการพิจารณาและดำเนินการแต่อย่างใด ท้ายบันทึกข้อความยังได้ระบุว่า ให้ ติดตามและรายงานผลทุก 7 วัน อย่างไรก็ตามตลอดระยะเวลากว่า 7 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่ได้รับหนังสือ ปรากฎว่า ทาง อสมท ไม่ได้ชี้แจงหรือดำเนินการใดๆ
บันทึกข้อความฉบับดังกล่าวยังได้อ้างอิงถึง บันทึกข้อความ สำนักรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ที่ นร.0405 (ลร.5) ลงวันที่ 29 ก.ค.58 เรื่องการแก้ไขปัญหาทุจริตในหน่วยงานของรัฐและการขาดอายุความ ระบุตอนหนึ่งจากผลการสอบของ กมธ.สื่อสารมวลชนฯ สนช. ที่เสนอให้สำนักนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้กำกับดูแล อสมท ดำเนินคดีต่อบุคคล คณะบุคคล และนิติบุคคลที่ต้องมีส่วนรับผิดชอบในกรณีนี้ ก่อนคดีจะขาดอายุความตั้งแต่เดือน ก.พ.58 – มิ.ย.59 พร้อมระบุว่า มีความน่าจะเป็นไปได้สูงว่า ที่จะมีพนักงานในระดับผู้บริหารของ อสมท มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตดังกล่าว
เมื่อสอบถามไปยังสมาชิก สนช. ซึ่งร่วมเป็น กมธ.สื่อสารมวลชนฯ สนช.ด้วย ได้เปิดเผยว่า การพิจารณาศึกษาข้อสัญญาที่เกี่ยวกับ บ.ไร่ส้ม นอกเหนือ นายสรยุทธ์ และนางพิชชาภา ที่ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกแล้ว กมธ.ก็ยังได้ตรวจสอบย้อนหลังโดยละเอียด ผ่านรายงานของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ชุดที่มี พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ เป็นประธาน ซึ่ง อสมท ตั้งขึ้นเมื่อช่วงปี 2550 ที่พบว่าในระหว่างเกิดกรณียักยอกค่าโฆษณารายการคุยคุ้ยข่าวนั้น มี นายธนะชัย วงศ์ทองศรี รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายบริหารในปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งสำคัญหลหายตำแหน่งในช่วงปี 2548-49 ทั้งหัวหน้าฝ่ายกฎหมายธุรกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายธุรกิจ รักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยใหญ่สำนักกฎหมายและเลขานุการบริษัท รวมทั้งตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักกลยุทธ์การตลาด ที่มีหน้าที่คอยตรวจเช็คคิวโฆษณา จึงถูกระบุว่าเป็นผู้ที่ละเลยการกำกับ ควบคุมดูแลการทำงานของผู้ใต้บังคับบัญชา จนทำให้เกิดการทุจริตต่อหน้าที่ด้วย
***“น้าเน็ก” รับพิธีกร “เรื่องเล่าเช้านี้”
หลังการออกไปของผู้ดำเนินรายการชื่อดัง “สรุยุทธ สุทัศนะจินดา” ก็เป็นที่จับตาเหลือเกินว่ารายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” จะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบหรือจะมีใครมานั่งทำหน้าที่ดังกล่าวแทนเจ้าตัวหรือไม่
โดยหลังจากที่มีการปรับเปลี่ยนรายการไปบ้างแล้ว ล่าสุด ทางด้านของ “เน็ก เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา” ก็ได้มีการโพสต์คู่กับ “น้องไบรท์” พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ พร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Nanake555 เผยว่า วันจันทร์ที่ 25 เมษายน นี้ ตนเองจะไปรับหน้าที่เป็นพิธีกรข่าวในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ซึ่งก็ได้มีคนเข้ามาร่วมแสดงความยินดีกับเจ้าตัวมากมาย.