การอนุมัติบรรจุนายปฏิพัทธ์ จันทร์โอชา บุตรชาย พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม เข้ารับราชการในตำแหน่ง รรก.นายทหารปฏิบัติการกิจการพลเรือน ทภ.3 (อัตรา พ.ต.) รับเงินเดือนระดับ น.1 ชั้น 18 (15,000 บาท) และแต่งตั้งยศเป็นว่าที่ร้อยตรี (เหล่า สบ.) ตั้งแต่วันออกคำสั่งลงนามโดยพล.อ.ปรีชาเอง กลายเป็นคำถามของสังคมไทย
ว่านี่เป็นการใช้อภิสิทธิ์หรือไม่ เมื่อเทียบกับบุคคลจำนวนมากที่ต้องการเข้ารับราชการ และมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับลูกของพล.อ.ปรีชา หลานชายของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.
ทันทีที่เอกสารลับนี้ถูกเปิดเผยออกมาคำพูดของพล.อ.ปรีชาก็คือ เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ทำกัน
โฆษกกระทรวงกลาโหมออกมายืนยันว่า เป็นเรื่องปกติที่กองทัพเปิดกว้างสำหรับทุกคนที่ประสงค์และสมัครใจรับใช้ชาติ
คำถามว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับทุกคนง่ายดายอย่างนี้จริงๆ หรือ
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม บอกว่า “เรื่องธรรมดา ไม่เห็นเป็นไรเลย เป็นอำนาจผม อำนาจ รมว.กลาโหม รับใครได้เลยทันทีทันใด เพราะหากขาดตำแหน่งที่จะมาทำงาน นี่เป็นสาขาพิเศษ ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติครบ ผ่านการตรวจร่างกายแล้ว ไม่มีคดีติดตัว ตามระเบียบ ทุกอย่าง จบปริญญาตรี เป็นตำแหน่งคุณสมบัติพิเศษในด้านนี้”
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และลุงของนายปฏิพัทธ์ บอกว่า “เรื่องการแต่งตั้งลูกน้องชาย ปัดโธ่ เขาก็แต่งตั้งกันทุกปี เขาเปิดกันทุกปี เป็นการแข่งขันส่วนหนึ่ง อีกส่วนเป็นการคัดเลือกจากคณะกรรมการระดับบน แล้วปลัดกลาโหมก็เซ็นชื่อไปในฐานะที่ได้รับมอบอำนาจให้เซ็นชื่อ จริงๆ ไอ้นี่มันก็ซื่อ จริงๆ ไม่ควรเซ็นด้วยซ้ำไป แต่มันก็ไม่ได้ จะให้คนอื่นเซ็นเพราะเป็นเรื่องของกฎหมาย เอาล่ะ ผมไม่ตอบดีกว่าในเรื่องนี้ ผมไม่ได้สนใจว่าเป็นนามสกุลเดียวกับผมเพราะผมบอกแล้วว่า ผมทำตามกฎหมาย ทำตามสิ่งที่มันมี ซึ่งถ้าทำตามกฎหมายทุกอย่างก็จบ วันนี้ก็มีคนไปฟ้องร้องก็ไปฟ้องสิ เรื่องแบบนี้เขาทำกันทุกปี ไม่ใช่เพิ่งมาทำปีนี้ให้น้อง ให้หลานเสียเมื่อไหร่”
นำคำพูดพล.อ.ประวิตรและพล.อ.ประยุทธ์มาขีดเส้นใต้ที่สาขาพิเศษ คุณสมบัติพิเศษและทำตามกฎหมาย
ที่นี้มาดูช่องทางที่กฎหมายเปิดโอกาสให้นายปฏิพัทธ์เข้ารับราชการทหารในครั้งนี้คือ การรับบุคคลพลเรือนเข้าเป็นทหารในสาขาวิชาเฉพาะ หรือผู้ที่มีคุณสมบัติพิเศษตามที่หน่วยต้องการ โดยมากเป็นสาขาวิชาหายากหรือที่กองทัพขาดแคลน หรือเป็นไปตามนโยบายของกองทัพ เช่น บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้านภาษาจีน, นักวิทยาศาสตร์ในสาขาที่ขาดแคลน เป็นต้น
คุณสมบัติพิเศษ วิชาที่หายากหรือที่กองทัพขาดแคลน ต้องเข้าหลักเกณฑ์นี้จึงจะใช้ช่องทางนี้ได้
นายปฏิพัทธ์จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร คำถามว่า คณะนิเทศศาสตร์เป็นสาขาวิชาที่หายากหรือไม่ มีคุณสมบัติพิเศษหรือไม่ ผมคิดว่าใครก็ตอบได้ว่าไม่ เพราะมีบัณฑิตคณะนี้จบการศึกษาออกมาปีละหลายพันคน เรียกว่าจบจนล้นตลาดก็ว่าได้ มีคนจบสาขานี้ตกงานเต็มไปหมด ผมท้าโดยไม่ต้องสำรวจเลยว่าคนที่จบนิเทศศาสตร์ แต่ยังเป็นนายทหารชั้นประทวนในกองทัพก็ยังมี
เมื่อไม่ใช่วิชาที่หายากก็ไม่น่าจะเข้าหลักเกณฑ์การรับสมัครข้อนี้ได้ ต้องไปเข้าหลักเกณฑ์ที่ว่า การรับบุคคลพลเรือนจากภายนอกเข้าเป็นทหาร มีทั้งชั้นประทวนและสัญญาบัตร ด้วยวิธีเปิดสอบเป็นการทั่วไปไม่ใช่หรือ
เว้นเสียแต่ว่านายปฏิพัทธ์จะมีคุณสมบัติโดดเด่นเป็นพิเศษเหนือกว่าคนจบนิเทศศาสตร์คนอื่นๆ ก็ลองอธิบายมาสิครับว่า โดดเด่นพิเศษกว่าอย่างไร
จะอ้างว่าใครๆ ก็ทำกัน ก็ไม่น่าจะอ้างได้ เพราะมันมีหลักเกณฑ์ของมันว่าอย่างไหนต้องสอบ อย่างไหนไม่ต้องสอบ และเราคงไม่สามารถอ้างว่าใครๆก็ทำกันเพื่อฝ่าฝืนกฎหมายได้
เห็นรถขนเงินเกิดอุบัติเหตุจนเงินกระเด็นออกมานอกรถกระจัดกระจายคนก็กรูเข้าไปแย่งกันใหญ่ เราจะอ้างว่าใครๆ ก็ทำกันได้ไหม
พล.อ.ประวิตรอ้างว่า เป็นอำนาจของผมจะรับใครรับได้ทันทีทันใดนั้นจริงหรือ กองทัพไม่ใช่บริษัทส่วนตัวของใครนะครับ เขามีหลักเกณฑ์ตรงไหนที่เขียนว่า รมว.กลาโหมจะรับใครก็รับได้ อธิบายสิครับว่า คุณสมบัติของนายปฏิพัทธ์นั้นเข้ากับหลักเกณฑ์มีคุณสมบัติพิเศษเพื่อเป็นนายทหารสัญญาบัตรข้อไหน
ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้นเลย นอกจากบอกว่านี่เป็นเรื่องของระบบอุปถัมภ์ อภิสิทธิชน ชนชั้น และความไม่เท่าเทียมกันในสังคมไทย
ไม่เพียงแต่การแถสีข้างของผู้มีอำนาจเท่านั้น ผมยังได้ยินตรรกะประหลาดจากมวลชนที่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นใครก็ทำกัน ทักษิณก็เคยทำ เฉลิมก็เคยทำ จะอะไรนักหนาเงินเดือนแค่หมื่นห้า บรรจุลูกทหารเข้ารับราชการเป็นเรื่องปกติ โดยไม่มองว่านั่นเป็นเรื่องปกติที่ผิดปกติหรือไม่
คำถามว่าสิ่งที่ใครๆ ก็ทำ ทักษิณและเฉลิมเคยทำนั้นผิดหรือถูก เป็นความยุติธรรมกับคนอื่นในสังคมไหม และทำไมเราออกมาขับไล่ทักษิณและลิ่วล้อของทักษิณ นี่เป็นสิ่งที่เราเรียกร้องให้ปฏิรูปใช่หรือไม่
ที่ตรรกะบิดเบี้ยวมากก็คือชัย ราชวัตร ระบุว่า “ฝากลูกเข้าทหารทั้งๆ ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนทำเป็นดิ้นพล่านจะเป็นจะตาย พ่องฝากน้องสาวเป็นนายกฯ ทั้งๆ ที่ไม่มีคุณสมบัติซักข้อ พากันสรรเสริญกันอื้ออึง แปลกใจตัวเองกันบ้างไหม”
เอ้ยยิ่งลักษณ์นี่ถึงโง่แต่ประชาชนที่สนับสนุนเขาก็เลือกมานะครับ แม้ว่าเราจะมองเหมือนกันว่ายิ่งลักษณ์ทั้งโง่และไม่มีคุณสมบัติ แต่เขาก็มาตามขั้นตอน ไม่ใช่ทักษิณจับยัดเข้ามานะครับ ระบบและกฎหมายของประเทศนี้เปิดช่องให้เขาเข้ามา ซึ่งถ้าคิดว่าไม่ดีเราก็ต้องไปแก้กฎหมายและระบบเหมือนที่เราเรียกร้องการปฏิรูปนั่นแหละครับ
หรืออย่างน้อยก็ต้องทำให้ประชาชนอีกด้านมองเห็นความชั่วร้ายของระบอบทักษิณและลิ่วล้อ ที่พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าชาวบ้านชาวนาไม่เข้าใจประชาธิปไตยก็ต้องทำให้เขารู้และเข้าใจ
คนที่ออกมาต่อสู้กับทักษิณนั้น เพราะไม่พอใจที่ทักษิณใช้อำนาจอย่างเหิมเกริม แสวงหาประโยชน์จากอำนาจ แต่งตั้งวงศ์วานว่านเครือเข้าสู่อำนาจ ทำไมมองว่าสิ่งที่พล.อ.ปรีชารับลูกตัวเองเข้ารับราชการในกองทัพจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ถามกลับว่าถ้าทักษิณจะตั้งนายพานทองแท้เป็นนายทหารตอนมีอำนาจจะถูกต้องไหม
เรื่องนี้ไม่โทษนายปฏิพัทธ์นะครับ เพราะเขาเองก็ไม่ต้องการเข้ารับราชการทหาร แต่กลายเป็นเหยื่อของอำนาจนิยม ระบบอุปถัมภ์อภิสิทธิชนในสังคมไทย
ผมคิดว่าจิตใจที่อยุติธรรมเท่านั้นที่มองเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แล้วเราจะชี้หน้าว่าระบอบทักษิณชั่วช้าได้อย่างไร
ว่านี่เป็นการใช้อภิสิทธิ์หรือไม่ เมื่อเทียบกับบุคคลจำนวนมากที่ต้องการเข้ารับราชการ และมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับลูกของพล.อ.ปรีชา หลานชายของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.
ทันทีที่เอกสารลับนี้ถูกเปิดเผยออกมาคำพูดของพล.อ.ปรีชาก็คือ เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ทำกัน
โฆษกกระทรวงกลาโหมออกมายืนยันว่า เป็นเรื่องปกติที่กองทัพเปิดกว้างสำหรับทุกคนที่ประสงค์และสมัครใจรับใช้ชาติ
คำถามว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับทุกคนง่ายดายอย่างนี้จริงๆ หรือ
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม บอกว่า “เรื่องธรรมดา ไม่เห็นเป็นไรเลย เป็นอำนาจผม อำนาจ รมว.กลาโหม รับใครได้เลยทันทีทันใด เพราะหากขาดตำแหน่งที่จะมาทำงาน นี่เป็นสาขาพิเศษ ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติครบ ผ่านการตรวจร่างกายแล้ว ไม่มีคดีติดตัว ตามระเบียบ ทุกอย่าง จบปริญญาตรี เป็นตำแหน่งคุณสมบัติพิเศษในด้านนี้”
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และลุงของนายปฏิพัทธ์ บอกว่า “เรื่องการแต่งตั้งลูกน้องชาย ปัดโธ่ เขาก็แต่งตั้งกันทุกปี เขาเปิดกันทุกปี เป็นการแข่งขันส่วนหนึ่ง อีกส่วนเป็นการคัดเลือกจากคณะกรรมการระดับบน แล้วปลัดกลาโหมก็เซ็นชื่อไปในฐานะที่ได้รับมอบอำนาจให้เซ็นชื่อ จริงๆ ไอ้นี่มันก็ซื่อ จริงๆ ไม่ควรเซ็นด้วยซ้ำไป แต่มันก็ไม่ได้ จะให้คนอื่นเซ็นเพราะเป็นเรื่องของกฎหมาย เอาล่ะ ผมไม่ตอบดีกว่าในเรื่องนี้ ผมไม่ได้สนใจว่าเป็นนามสกุลเดียวกับผมเพราะผมบอกแล้วว่า ผมทำตามกฎหมาย ทำตามสิ่งที่มันมี ซึ่งถ้าทำตามกฎหมายทุกอย่างก็จบ วันนี้ก็มีคนไปฟ้องร้องก็ไปฟ้องสิ เรื่องแบบนี้เขาทำกันทุกปี ไม่ใช่เพิ่งมาทำปีนี้ให้น้อง ให้หลานเสียเมื่อไหร่”
นำคำพูดพล.อ.ประวิตรและพล.อ.ประยุทธ์มาขีดเส้นใต้ที่สาขาพิเศษ คุณสมบัติพิเศษและทำตามกฎหมาย
ที่นี้มาดูช่องทางที่กฎหมายเปิดโอกาสให้นายปฏิพัทธ์เข้ารับราชการทหารในครั้งนี้คือ การรับบุคคลพลเรือนเข้าเป็นทหารในสาขาวิชาเฉพาะ หรือผู้ที่มีคุณสมบัติพิเศษตามที่หน่วยต้องการ โดยมากเป็นสาขาวิชาหายากหรือที่กองทัพขาดแคลน หรือเป็นไปตามนโยบายของกองทัพ เช่น บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้านภาษาจีน, นักวิทยาศาสตร์ในสาขาที่ขาดแคลน เป็นต้น
คุณสมบัติพิเศษ วิชาที่หายากหรือที่กองทัพขาดแคลน ต้องเข้าหลักเกณฑ์นี้จึงจะใช้ช่องทางนี้ได้
นายปฏิพัทธ์จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร คำถามว่า คณะนิเทศศาสตร์เป็นสาขาวิชาที่หายากหรือไม่ มีคุณสมบัติพิเศษหรือไม่ ผมคิดว่าใครก็ตอบได้ว่าไม่ เพราะมีบัณฑิตคณะนี้จบการศึกษาออกมาปีละหลายพันคน เรียกว่าจบจนล้นตลาดก็ว่าได้ มีคนจบสาขานี้ตกงานเต็มไปหมด ผมท้าโดยไม่ต้องสำรวจเลยว่าคนที่จบนิเทศศาสตร์ แต่ยังเป็นนายทหารชั้นประทวนในกองทัพก็ยังมี
เมื่อไม่ใช่วิชาที่หายากก็ไม่น่าจะเข้าหลักเกณฑ์การรับสมัครข้อนี้ได้ ต้องไปเข้าหลักเกณฑ์ที่ว่า การรับบุคคลพลเรือนจากภายนอกเข้าเป็นทหาร มีทั้งชั้นประทวนและสัญญาบัตร ด้วยวิธีเปิดสอบเป็นการทั่วไปไม่ใช่หรือ
เว้นเสียแต่ว่านายปฏิพัทธ์จะมีคุณสมบัติโดดเด่นเป็นพิเศษเหนือกว่าคนจบนิเทศศาสตร์คนอื่นๆ ก็ลองอธิบายมาสิครับว่า โดดเด่นพิเศษกว่าอย่างไร
จะอ้างว่าใครๆ ก็ทำกัน ก็ไม่น่าจะอ้างได้ เพราะมันมีหลักเกณฑ์ของมันว่าอย่างไหนต้องสอบ อย่างไหนไม่ต้องสอบ และเราคงไม่สามารถอ้างว่าใครๆก็ทำกันเพื่อฝ่าฝืนกฎหมายได้
เห็นรถขนเงินเกิดอุบัติเหตุจนเงินกระเด็นออกมานอกรถกระจัดกระจายคนก็กรูเข้าไปแย่งกันใหญ่ เราจะอ้างว่าใครๆ ก็ทำกันได้ไหม
พล.อ.ประวิตรอ้างว่า เป็นอำนาจของผมจะรับใครรับได้ทันทีทันใดนั้นจริงหรือ กองทัพไม่ใช่บริษัทส่วนตัวของใครนะครับ เขามีหลักเกณฑ์ตรงไหนที่เขียนว่า รมว.กลาโหมจะรับใครก็รับได้ อธิบายสิครับว่า คุณสมบัติของนายปฏิพัทธ์นั้นเข้ากับหลักเกณฑ์มีคุณสมบัติพิเศษเพื่อเป็นนายทหารสัญญาบัตรข้อไหน
ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้นเลย นอกจากบอกว่านี่เป็นเรื่องของระบบอุปถัมภ์ อภิสิทธิชน ชนชั้น และความไม่เท่าเทียมกันในสังคมไทย
ไม่เพียงแต่การแถสีข้างของผู้มีอำนาจเท่านั้น ผมยังได้ยินตรรกะประหลาดจากมวลชนที่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นใครก็ทำกัน ทักษิณก็เคยทำ เฉลิมก็เคยทำ จะอะไรนักหนาเงินเดือนแค่หมื่นห้า บรรจุลูกทหารเข้ารับราชการเป็นเรื่องปกติ โดยไม่มองว่านั่นเป็นเรื่องปกติที่ผิดปกติหรือไม่
คำถามว่าสิ่งที่ใครๆ ก็ทำ ทักษิณและเฉลิมเคยทำนั้นผิดหรือถูก เป็นความยุติธรรมกับคนอื่นในสังคมไหม และทำไมเราออกมาขับไล่ทักษิณและลิ่วล้อของทักษิณ นี่เป็นสิ่งที่เราเรียกร้องให้ปฏิรูปใช่หรือไม่
ที่ตรรกะบิดเบี้ยวมากก็คือชัย ราชวัตร ระบุว่า “ฝากลูกเข้าทหารทั้งๆ ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนทำเป็นดิ้นพล่านจะเป็นจะตาย พ่องฝากน้องสาวเป็นนายกฯ ทั้งๆ ที่ไม่มีคุณสมบัติซักข้อ พากันสรรเสริญกันอื้ออึง แปลกใจตัวเองกันบ้างไหม”
เอ้ยยิ่งลักษณ์นี่ถึงโง่แต่ประชาชนที่สนับสนุนเขาก็เลือกมานะครับ แม้ว่าเราจะมองเหมือนกันว่ายิ่งลักษณ์ทั้งโง่และไม่มีคุณสมบัติ แต่เขาก็มาตามขั้นตอน ไม่ใช่ทักษิณจับยัดเข้ามานะครับ ระบบและกฎหมายของประเทศนี้เปิดช่องให้เขาเข้ามา ซึ่งถ้าคิดว่าไม่ดีเราก็ต้องไปแก้กฎหมายและระบบเหมือนที่เราเรียกร้องการปฏิรูปนั่นแหละครับ
หรืออย่างน้อยก็ต้องทำให้ประชาชนอีกด้านมองเห็นความชั่วร้ายของระบอบทักษิณและลิ่วล้อ ที่พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าชาวบ้านชาวนาไม่เข้าใจประชาธิปไตยก็ต้องทำให้เขารู้และเข้าใจ
คนที่ออกมาต่อสู้กับทักษิณนั้น เพราะไม่พอใจที่ทักษิณใช้อำนาจอย่างเหิมเกริม แสวงหาประโยชน์จากอำนาจ แต่งตั้งวงศ์วานว่านเครือเข้าสู่อำนาจ ทำไมมองว่าสิ่งที่พล.อ.ปรีชารับลูกตัวเองเข้ารับราชการในกองทัพจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ถามกลับว่าถ้าทักษิณจะตั้งนายพานทองแท้เป็นนายทหารตอนมีอำนาจจะถูกต้องไหม
เรื่องนี้ไม่โทษนายปฏิพัทธ์นะครับ เพราะเขาเองก็ไม่ต้องการเข้ารับราชการทหาร แต่กลายเป็นเหยื่อของอำนาจนิยม ระบบอุปถัมภ์อภิสิทธิชนในสังคมไทย
ผมคิดว่าจิตใจที่อยุติธรรมเท่านั้นที่มองเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แล้วเราจะชี้หน้าว่าระบอบทักษิณชั่วช้าได้อย่างไร