การบรรจุนายปฏิพัทธ์ จันทร์โอชา บุตรชายของพล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม น้องชายพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นว่าที่ร้อยตรี ประจำกองทัพภาคที่ 3 อัตราเงินเดือน 15,000 บาท ทำให้สังคมตั้งคำถามถึงความเหมาะสมตามมาทันที
แม้จะมีคำอธิบายจากกองทัพ แม้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะออกมาแจกแจงขั้นตอนการรับลูกชายพล.อ.ปรีชาเข้ารับราชการในกองทัพบก โดยอ้างว่าเป็นเรื่องปกติ แต่เป็นความปกติที่ประชาชนอาจยอมรับไม่ได้
เพราะการที่หลานชายพล.อ.ประยุทธ์ได้เข้ารับราชการในกองทัพบก ใครจะกล้าหาญออกมาปฏิเสธว่า ไม่มีการใช้เส้นสาย ไม่มีการใช้อำนาจบารมี และไม่มีเรื่องของระบบอุปถัมภ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
เป็นที่รู้กันอยู่ว่า คนที่ขึ้นมาเป็นใหญ่ในกองทัพ เป็นใหญ่ในหน่วยงานราชการ หรือขึ้นมามีอำนาจทางการเมือง มักจะนำลูกนำหลาน นำพวกพ้องบรรจุเข้ารับราชการหรือเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ จนแทบเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันไปแล้ว
แต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องมาช้านาน จนทำให้หลายหน่วยงานเต็มไปด้วย “เด็กเส้น” หรือ “เด็กฝาก” ลูกท่านหลานเธอเดินขวักไขว่ ทำให้บางหน่วยงานรัฐต้องแบกภาระต้นทุนด้านบุคลากร กระทบต่อฐานะการดำเนินงานย่ำแย่ โดยบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งกลายเป็นองค์กรที่เทอะทะ ขาดทุนมโหฬาร เป็นหนึ่งในตัวอย่าง
พล.อ.ประยุทธ์พยายามสร้างตัวเองให้เป็นผู้นำที่ดี จึงต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดข้อครหาใด โดยเฉพาะการใช้อำนาจเพื่อตัวเองหรือพวกพ้อง และไม่ทำตัวเป็นอภิสิทธิชนเหมือนนักการเมือง
แต่การผลักดันลูกชายพล.อ.ปรีชาเข้าบรรจุในกองทัพ พล.อ.ประยุทธ์เสียหาย กลายเป็นผู้นำที่ไม่มีความแตกต่างจากผู้นำในอดีต และทำให้สังคมเกิดความรู้สึกว่า ทหารไม่ได้มีความแตกต่างจากนักการเมืองที่พล.อ.ประยุทธ์ ประณามอยู่บ่อยๆ แต่อย่างใด
เพราะเมื่อเป็นใหญ่ เมื่อมีอำนาจ ทหารก็ใช้ระบบอุปถัมภ์เอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องเหมือนกัน
การใช้อำนาจฝากลูกนำหลานบรรจุเป็นข้าราชการหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ เป็นการเบียดบังโอกาสของประชาชนทั่วไป เพราะเมื่อลูกหลานของผู้มีอำนาจได้รับการบรรจุ 1 ตำแหน่ง หมายถึงลูกหลานชาวบ้านอีก 1 คน ต้องสูญเสียโอกาสได้เข้ารับราชการ
ข้าราชการทั้งระบบ มีเด็กเส้นเด็กฝากนับหมื่นนับแสนคน เบียดบังโอกาสลูกของประชาชนทั่วไปหมด ดังนั้น ธรรมเนียมการใช้อภิสิทธิ์ฝากเด็กเส้นบรรจุเป็นข้าราชการ ควรต้องถูกรื้อทำลาย เพื่อนำความเท่าเทียมกลับคืนสู่สังคม
พล.อ.ประยุทธ์ไม่เพียงแต่ไม่ยอมให้หลานชายใช้อภิสิทธิ์บรรจุเป็นนายทหารในกองทัพเท่านั้น แต่จะต้องปฏิรูประบบราชการทั้งหมด จัดระเบียบใหม่ในการรับบุคคลเข้าเป็นข้าราชการ โดยต้องเป็นไปตามขั้นตอนที่โปร่งใส และล้มเลิกระบบเด็กเส้นเด็กฝาก
การผลักดันนายปฏิพัทธ์เข้ามาเป็นนายทหารสัญญาบัตรกองทัพบกนั้น เข้าใจพล.อ.ปรีชาได้ เพราะในฐานะของคนเป็นพ่อ ย่อมต้องการสร้างอนาคตให้ลูก ต้องการวางหลักประกันให้ลูก และถือว่า การใช้อำนาจบรรจุลูกเป็นเรื่องปกติที่คนมีอำนาจในกองทัพปฏิบัติกันมาช้านาน
แต่พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีสิทธิคิดเหมือนน้องชาย เพราะวางเดิมพันการบริหารประเทศไว้สูงมาก ต้องแบกภาระการแก้ปัญหาไว้เต็มบ่า และจะทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาไม่ได้
เพราะถ้าประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่สนับสนุนรัฐบาลทหาร และหันมาต่อต้านรัฐบาลทหาร ความฝันที่จะคืนความสงบสุขให้ประชาชนจะพังทลายลง
เมื่ออาสาเข้ามาทำงานใหญ่ เมื่อประกาศตัวยอมเสียสละเพื่อกอบกู้วิกฤตชาติ และเมื่อต้องการความศรัทธาจากประชาชน พล.อ.ประยุทธ์ต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดจุดด่างพร้อย
ต้องข้ามพ้นผลประโยชน์ส่วนตัว ต้องเป็นแบบอย่างผู้นำที่ดี และต้องสร้างบรรทัดฐานใหม่ทางสังคม ไม่ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง เพื่อขจัดคำติฉินนินทา
การบรรจุลูกพล.อ.ปรีชาเข้ามาติดดาวบนบ่าในกองทัพนั้น จะอ้างความชอบธรรมอย่างไรก็อ้างไป แต่ในส่วนของประชาชน ไม่ว่าจะมองในมุมไหน ก็เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
รัฐบาลที่มุ่งมั่นสร้างสังคมที่โปร่งใส จะปล่อยให้เกิดการใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องแน่ เป็นเรื่องราวฉาวโฉ่ทำลายความรู้สึกของประชาชนได้หรือ
และ “จันทร์โอชา” กล้าตอบหรือว่า การที่ลูกชายพล.อ.ปรีชาได้บรรจุเข้ากองทัพ ไม่ได้เป็นโควตาของ “เด็กเส้น”
แม้จะมีคำอธิบายจากกองทัพ แม้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะออกมาแจกแจงขั้นตอนการรับลูกชายพล.อ.ปรีชาเข้ารับราชการในกองทัพบก โดยอ้างว่าเป็นเรื่องปกติ แต่เป็นความปกติที่ประชาชนอาจยอมรับไม่ได้
เพราะการที่หลานชายพล.อ.ประยุทธ์ได้เข้ารับราชการในกองทัพบก ใครจะกล้าหาญออกมาปฏิเสธว่า ไม่มีการใช้เส้นสาย ไม่มีการใช้อำนาจบารมี และไม่มีเรื่องของระบบอุปถัมภ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
เป็นที่รู้กันอยู่ว่า คนที่ขึ้นมาเป็นใหญ่ในกองทัพ เป็นใหญ่ในหน่วยงานราชการ หรือขึ้นมามีอำนาจทางการเมือง มักจะนำลูกนำหลาน นำพวกพ้องบรรจุเข้ารับราชการหรือเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ จนแทบเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันไปแล้ว
แต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องมาช้านาน จนทำให้หลายหน่วยงานเต็มไปด้วย “เด็กเส้น” หรือ “เด็กฝาก” ลูกท่านหลานเธอเดินขวักไขว่ ทำให้บางหน่วยงานรัฐต้องแบกภาระต้นทุนด้านบุคลากร กระทบต่อฐานะการดำเนินงานย่ำแย่ โดยบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งกลายเป็นองค์กรที่เทอะทะ ขาดทุนมโหฬาร เป็นหนึ่งในตัวอย่าง
พล.อ.ประยุทธ์พยายามสร้างตัวเองให้เป็นผู้นำที่ดี จึงต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดข้อครหาใด โดยเฉพาะการใช้อำนาจเพื่อตัวเองหรือพวกพ้อง และไม่ทำตัวเป็นอภิสิทธิชนเหมือนนักการเมือง
แต่การผลักดันลูกชายพล.อ.ปรีชาเข้าบรรจุในกองทัพ พล.อ.ประยุทธ์เสียหาย กลายเป็นผู้นำที่ไม่มีความแตกต่างจากผู้นำในอดีต และทำให้สังคมเกิดความรู้สึกว่า ทหารไม่ได้มีความแตกต่างจากนักการเมืองที่พล.อ.ประยุทธ์ ประณามอยู่บ่อยๆ แต่อย่างใด
เพราะเมื่อเป็นใหญ่ เมื่อมีอำนาจ ทหารก็ใช้ระบบอุปถัมภ์เอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องเหมือนกัน
การใช้อำนาจฝากลูกนำหลานบรรจุเป็นข้าราชการหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ เป็นการเบียดบังโอกาสของประชาชนทั่วไป เพราะเมื่อลูกหลานของผู้มีอำนาจได้รับการบรรจุ 1 ตำแหน่ง หมายถึงลูกหลานชาวบ้านอีก 1 คน ต้องสูญเสียโอกาสได้เข้ารับราชการ
ข้าราชการทั้งระบบ มีเด็กเส้นเด็กฝากนับหมื่นนับแสนคน เบียดบังโอกาสลูกของประชาชนทั่วไปหมด ดังนั้น ธรรมเนียมการใช้อภิสิทธิ์ฝากเด็กเส้นบรรจุเป็นข้าราชการ ควรต้องถูกรื้อทำลาย เพื่อนำความเท่าเทียมกลับคืนสู่สังคม
พล.อ.ประยุทธ์ไม่เพียงแต่ไม่ยอมให้หลานชายใช้อภิสิทธิ์บรรจุเป็นนายทหารในกองทัพเท่านั้น แต่จะต้องปฏิรูประบบราชการทั้งหมด จัดระเบียบใหม่ในการรับบุคคลเข้าเป็นข้าราชการ โดยต้องเป็นไปตามขั้นตอนที่โปร่งใส และล้มเลิกระบบเด็กเส้นเด็กฝาก
การผลักดันนายปฏิพัทธ์เข้ามาเป็นนายทหารสัญญาบัตรกองทัพบกนั้น เข้าใจพล.อ.ปรีชาได้ เพราะในฐานะของคนเป็นพ่อ ย่อมต้องการสร้างอนาคตให้ลูก ต้องการวางหลักประกันให้ลูก และถือว่า การใช้อำนาจบรรจุลูกเป็นเรื่องปกติที่คนมีอำนาจในกองทัพปฏิบัติกันมาช้านาน
แต่พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีสิทธิคิดเหมือนน้องชาย เพราะวางเดิมพันการบริหารประเทศไว้สูงมาก ต้องแบกภาระการแก้ปัญหาไว้เต็มบ่า และจะทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาไม่ได้
เพราะถ้าประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่สนับสนุนรัฐบาลทหาร และหันมาต่อต้านรัฐบาลทหาร ความฝันที่จะคืนความสงบสุขให้ประชาชนจะพังทลายลง
เมื่ออาสาเข้ามาทำงานใหญ่ เมื่อประกาศตัวยอมเสียสละเพื่อกอบกู้วิกฤตชาติ และเมื่อต้องการความศรัทธาจากประชาชน พล.อ.ประยุทธ์ต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดจุดด่างพร้อย
ต้องข้ามพ้นผลประโยชน์ส่วนตัว ต้องเป็นแบบอย่างผู้นำที่ดี และต้องสร้างบรรทัดฐานใหม่ทางสังคม ไม่ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง เพื่อขจัดคำติฉินนินทา
การบรรจุลูกพล.อ.ปรีชาเข้ามาติดดาวบนบ่าในกองทัพนั้น จะอ้างความชอบธรรมอย่างไรก็อ้างไป แต่ในส่วนของประชาชน ไม่ว่าจะมองในมุมไหน ก็เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
รัฐบาลที่มุ่งมั่นสร้างสังคมที่โปร่งใส จะปล่อยให้เกิดการใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องแน่ เป็นเรื่องราวฉาวโฉ่ทำลายความรู้สึกของประชาชนได้หรือ
และ “จันทร์โอชา” กล้าตอบหรือว่า การที่ลูกชายพล.อ.ปรีชาได้บรรจุเข้ากองทัพ ไม่ได้เป็นโควตาของ “เด็กเส้น”