วานนี้ (18เม.ย.) นายโกวิท โพธิสาร พนักงานองค์กรกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เข้ายื่นฟ้องคณะกรรมการนโยบายส.ส.ท. ได้แก่ นายณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ นางสมศรี หาญอนันทสุข นายชัชวาลย์ ทองดีเลิศ นายสัมพันธ์ เตชะอธิก นางปราณี ทินกร นางลดาวัลย์ บัวเอี่ยม นายธีรภัทร สงวนกชกร น.ส.รุ่งมณี เมฆโสภณ และ นายพิพัทธ์ ชนะสงคราม กับ คณะกรรมการสรรหาผู้อำนวยการ ส.ส.ท. พ.ศ. 2558 ได้แก่ นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ น.ส.บุญยืน ศิริธรรม นายไพโรจน์ พลเพชร นายต่อพงษ์ เสลานนท์ นายโกศล สงเนียม และ นายบุญอยู่ ขอพรประเสริฐ รวมทั้ง 15 ราย ต่อศาลปกครองกลาง กรณีร่วมกันสรรหา และแต่งตั้ง ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ อดีต ผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็น ผอ. ส.ส.ท. ขัดต่อข้อบังคับส.ส.ท.ว่าด้วย หลักเกณฑ์ วิธีการรับสมัครและสรรหา ผอ.ส.ส.ท. พ.ศ. 2558 และ พ.ร.บ. ส.ส.ท. พ.ศ.2551 โดยขอให้ศาลฯ มีคำสั่งเพิกถอนกระบวนการสรรหา และคำสั่งแต่งตั้ง ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ เป็น ผอ. ส.ส.ท.
ทั้งนี้ นายโกวิท กล่าวว่า ในมาตรา 32 (3) พ.ร.บ. ส.ส.ท. พ.ศ. 2551 และในข้อบังคับส.ส.ท. ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการรับสมัคร และสรรหา ผอ. ส.ส.ท. พ.ศ. 2558 ข้อ 4.1.4 ระบุว่า คุณสมบัติของ ผอ.ส.ส.ท. ต้องมีความรู้ความเข้าใจ และมีความเชี่ยวชาญ หรือมีประสบการณ์ในกิจการวิทยุกระจายเสียงและกิจการวิทยุโทรทัศน์ หรือการสื่อสารมวลชน แต่เมื่อพิจารณาจากข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งประวัติการศึกษา ประวัติการทำงาน รวมทั้งผลงาน และประสบการณ์ที่สำคัญ ที่ใช้ประกอบการสมัครนั้น จะเห็นได้ว่า ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ มิได้มีประวัติการศึกษาด้านสื่อสารมวลชน ไม่เคยปฏิบัติงานด้านสื่อสารมวลชน ไม่เคยทำงานในกิจการอันเกี่ยวข้องกับสื่อสารมวลชน ตนและเพื่อนพนักงาน ส.ส.ท. จึงได้ทำจดหมายทักท้วง แต่คณะกรรมการนโยบาย ส.ส.ท. ชี้แจงว่า เนื่องจากสภาพภูมิทัศน์สื่อมีการเปลี่ยนแปลง และเทคโนโลยีทางการสื่อสารก้าวหน้าขึ้น ทำให้มีผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจ และมีความเชี่ยวชาญเกิดขึ้นมากมาย โดยไม่จำเป็นที่ผู้มาดำรงตำแหน่ง ผอ.ส.ส.ท. จะต้องทำงานสังกัดองค์กรสื่อสารมวลชน หรือมีประสบการณ์ด้านสื่อสารมวลชนโดยตรง ซึ่งคำชี้แจงดังกล่าว ไม่อาจสร้างความเข้าใจและยอมรับได้ และเห็นว่ากระบวนการสรรหา ผอ. ส.ส.ท. ซึ่งเป็นองค์กรสื่อสาธารณะ ที่ประชาชนทั้งประเทศเป็นเจ้าของ ขัดกับกฎหมายสูงสุดของส.ส.ท. อันเป็นสิ่งที่ต้องธำรงยึดถือไว้เป็นหลักในดำเนินงาน จึงขอให้ศาลฯ ได้โปรดมีคำพิพากษา เพิกถอนกระบวนการสรรหา และคำสั่งแต่งตั้ง ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ เป็นผู้อำนวยการ ส.ส.ท.
ทั้งนี้ นายโกวิท กล่าวว่า ในมาตรา 32 (3) พ.ร.บ. ส.ส.ท. พ.ศ. 2551 และในข้อบังคับส.ส.ท. ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการรับสมัคร และสรรหา ผอ. ส.ส.ท. พ.ศ. 2558 ข้อ 4.1.4 ระบุว่า คุณสมบัติของ ผอ.ส.ส.ท. ต้องมีความรู้ความเข้าใจ และมีความเชี่ยวชาญ หรือมีประสบการณ์ในกิจการวิทยุกระจายเสียงและกิจการวิทยุโทรทัศน์ หรือการสื่อสารมวลชน แต่เมื่อพิจารณาจากข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งประวัติการศึกษา ประวัติการทำงาน รวมทั้งผลงาน และประสบการณ์ที่สำคัญ ที่ใช้ประกอบการสมัครนั้น จะเห็นได้ว่า ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ มิได้มีประวัติการศึกษาด้านสื่อสารมวลชน ไม่เคยปฏิบัติงานด้านสื่อสารมวลชน ไม่เคยทำงานในกิจการอันเกี่ยวข้องกับสื่อสารมวลชน ตนและเพื่อนพนักงาน ส.ส.ท. จึงได้ทำจดหมายทักท้วง แต่คณะกรรมการนโยบาย ส.ส.ท. ชี้แจงว่า เนื่องจากสภาพภูมิทัศน์สื่อมีการเปลี่ยนแปลง และเทคโนโลยีทางการสื่อสารก้าวหน้าขึ้น ทำให้มีผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจ และมีความเชี่ยวชาญเกิดขึ้นมากมาย โดยไม่จำเป็นที่ผู้มาดำรงตำแหน่ง ผอ.ส.ส.ท. จะต้องทำงานสังกัดองค์กรสื่อสารมวลชน หรือมีประสบการณ์ด้านสื่อสารมวลชนโดยตรง ซึ่งคำชี้แจงดังกล่าว ไม่อาจสร้างความเข้าใจและยอมรับได้ และเห็นว่ากระบวนการสรรหา ผอ. ส.ส.ท. ซึ่งเป็นองค์กรสื่อสาธารณะ ที่ประชาชนทั้งประเทศเป็นเจ้าของ ขัดกับกฎหมายสูงสุดของส.ส.ท. อันเป็นสิ่งที่ต้องธำรงยึดถือไว้เป็นหลักในดำเนินงาน จึงขอให้ศาลฯ ได้โปรดมีคำพิพากษา เพิกถอนกระบวนการสรรหา และคำสั่งแต่งตั้ง ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ เป็นผู้อำนวยการ ส.ส.ท.