พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พญ.มยุรา กุสุมภ์ ที่ปรึกษารมว.สาธารณสุข และดร.คณิศ แสงสุพรรณ ประธานกรรมการ สบร. ร่วมกันเป็นสักขีพยาน การลงนามความร่วมมือระหว่าง สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) หรือ สบร. กับกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เพื่อพัฒนาสมองเด็กไทยตามแนวคิด "ครอบครัวอบอุ่นเลี้ยงลูกตามรอยพระยุคลบาท" โดยจัดการเรียนรู้ตามหลักการพัฒนาสมอง (Brain-based Learning หรือ BBL)ให้กับเด็กในศูนย์เด็กเล็กและเด็กที่มารับบริการ ณ สถานบริการสาธารณสุขทุกระดับ
ทั้งนี้ แนวคิดการจัดการเรียนรู้ตามหลักการพัฒนาสมอง มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทยในการก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ ดังนั้น รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ด้วยตระหนักว่า เด็กเป็นอนาคตที่สำคัญที่สุดของชาติ และเชื่อว่าแต่ละบุคคลมีศักยภาพที่แตกต่างกัน หากได้รับการเรียนรู้โดยเน้นการจัดการเรียนรู้ และพัฒนาสมอง เพื่อให้เกิดศักยภาพสูงสุดในการเรียนรู้ของแต่ละช่วงวัย และดึงศักยภาพของแต่ละบุคคลออกมาใช้ใน การเรียน การทำงาน การอยู่ร่วมกันในสังคม ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ
"จากการศึกษาวิจัยตามหลัก BBLพบว่า การดูแลเด็กอย่างเหมาะสม ในช่วงอายุ 0 - 5 ปี มีความสำคัญที่สุดต่อการพัฒนาสมอง และส่งผลต่อการเจริญเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ ในนามของรัฐบาล ขอน้อมนำแนวคิดการเลี้ยงดูพระโอรส และพระธิดา ของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ผ่านการเล่นตามรอยพระยุคลบาท เพราะว่าการเล่นทำให้มีความสุข สนุก เพลิดเพลิน เกิดการเรียนรู้ในความสำเร็จและการแก้ปัญหา สามารถเพิ่มประสบการณ์ เกิดความเชื่อมั่น และภูมิใจในตนเอง อันเป็นที่มาของพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่เป็นประโยชน์คณานับประการต่อการพัฒนาประเทศและความร่มเย็นเป็นสุขของเหล่าพสกนิกรชาวไทย"
"โดยความร่วมมือของ OKMD และกรมอนามัย เพื่อพัฒนาสมองตั้งแต่ในครรภ์จนถึง 5 ปี ในครั้งนี้ จะเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาตั้งแต่ต้นทาง เพื่อให้เด็กได้เติบโตและเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพ ภายใต้กรอบแนวคิด ครอบครัวอบอุ่นเลี้ยงลูกตามรอยพระยุคลบาท เพื่อให้เด็กมีสุขภาพดี สมองดี อารมณ์ดี เตรียมพร้อมเรียนรู้สู่โลกกว้างต่อไป" พล.อ.อ.ประจิน กล่าว
ด้าน ดร.คณิศ แสงสุพรรณ ประธานกรรมการบริหาร สบร. กล่าวว่า ปีที่ผ่านมา สบร.ได้นำแนวคิด BBLไปใช้ยังศูนย์อนามัยที่ 1 กรมอนามัย ในการพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องให้มีความรู้ ความเข้าใจเรื่องสมองกับการเรียนรู้ มีทักษะกระบวนการในการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย และผู้เลี้ยงดูเด็กในช่วงตั้งแต่ในครรภ์มารดา - 3 ปีแรก ให้สามารถนำความรู้ และทักษะไปใช้ในการอบรม ดูแลเลี้ยงดูเด็กของตนได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม ตามโครงสร้างการทำงานของสมองและพัฒนาการตามช่วงวัย ความร่วมมือในครั้งนึ้จึงเป็นการขยายแนวคิดในการหนุนเสริมการสร้างความรู้ และทักษะกระบวนการ BBL ให้กับงานอนามัยแม่และเด็ก โดยการพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการแพทย์ บุคลากรสาธารณสุข ภายใต้โครงการสร้างพ่อแม่ และลูกคุณภาพ ในสถานบริการสาธารณสุขทุกระดับ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โรงเรียนระดับปฐมวัย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และเครือข่ายการดำเนินงานของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข นอกจากบุคลากรสาธารณสุขระดับเขตและผู้ปฏิบัติในพื้นที่มีความรู้ ความเข้าใจสามารถนำความรู้ที่ได้ไปสู่การปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพแล้ว พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ครอบครัว และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการดูแลเด็กตั้งแต่ในครรภ์มารดา - 5 ปี จะตระหนักถึงความสำคัญในการเลี้ยงดูเด็ก และนำความรู้ ทักษะไปใช้ในการเลี้ยงดูเด็กได้อีกด้วย
ผู้สนใจติดตามรายละเอียดได้ที่ เว็บไซต์ www.okmd.or.th และ www.facebook.com/BrainbasedLearning.BBL
ทั้งนี้ แนวคิดการจัดการเรียนรู้ตามหลักการพัฒนาสมอง มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทยในการก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ ดังนั้น รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ด้วยตระหนักว่า เด็กเป็นอนาคตที่สำคัญที่สุดของชาติ และเชื่อว่าแต่ละบุคคลมีศักยภาพที่แตกต่างกัน หากได้รับการเรียนรู้โดยเน้นการจัดการเรียนรู้ และพัฒนาสมอง เพื่อให้เกิดศักยภาพสูงสุดในการเรียนรู้ของแต่ละช่วงวัย และดึงศักยภาพของแต่ละบุคคลออกมาใช้ใน การเรียน การทำงาน การอยู่ร่วมกันในสังคม ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ
"จากการศึกษาวิจัยตามหลัก BBLพบว่า การดูแลเด็กอย่างเหมาะสม ในช่วงอายุ 0 - 5 ปี มีความสำคัญที่สุดต่อการพัฒนาสมอง และส่งผลต่อการเจริญเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ ในนามของรัฐบาล ขอน้อมนำแนวคิดการเลี้ยงดูพระโอรส และพระธิดา ของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ผ่านการเล่นตามรอยพระยุคลบาท เพราะว่าการเล่นทำให้มีความสุข สนุก เพลิดเพลิน เกิดการเรียนรู้ในความสำเร็จและการแก้ปัญหา สามารถเพิ่มประสบการณ์ เกิดความเชื่อมั่น และภูมิใจในตนเอง อันเป็นที่มาของพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่เป็นประโยชน์คณานับประการต่อการพัฒนาประเทศและความร่มเย็นเป็นสุขของเหล่าพสกนิกรชาวไทย"
"โดยความร่วมมือของ OKMD และกรมอนามัย เพื่อพัฒนาสมองตั้งแต่ในครรภ์จนถึง 5 ปี ในครั้งนี้ จะเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาตั้งแต่ต้นทาง เพื่อให้เด็กได้เติบโตและเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพ ภายใต้กรอบแนวคิด ครอบครัวอบอุ่นเลี้ยงลูกตามรอยพระยุคลบาท เพื่อให้เด็กมีสุขภาพดี สมองดี อารมณ์ดี เตรียมพร้อมเรียนรู้สู่โลกกว้างต่อไป" พล.อ.อ.ประจิน กล่าว
ด้าน ดร.คณิศ แสงสุพรรณ ประธานกรรมการบริหาร สบร. กล่าวว่า ปีที่ผ่านมา สบร.ได้นำแนวคิด BBLไปใช้ยังศูนย์อนามัยที่ 1 กรมอนามัย ในการพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องให้มีความรู้ ความเข้าใจเรื่องสมองกับการเรียนรู้ มีทักษะกระบวนการในการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย และผู้เลี้ยงดูเด็กในช่วงตั้งแต่ในครรภ์มารดา - 3 ปีแรก ให้สามารถนำความรู้ และทักษะไปใช้ในการอบรม ดูแลเลี้ยงดูเด็กของตนได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม ตามโครงสร้างการทำงานของสมองและพัฒนาการตามช่วงวัย ความร่วมมือในครั้งนึ้จึงเป็นการขยายแนวคิดในการหนุนเสริมการสร้างความรู้ และทักษะกระบวนการ BBL ให้กับงานอนามัยแม่และเด็ก โดยการพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการแพทย์ บุคลากรสาธารณสุข ภายใต้โครงการสร้างพ่อแม่ และลูกคุณภาพ ในสถานบริการสาธารณสุขทุกระดับ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โรงเรียนระดับปฐมวัย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และเครือข่ายการดำเนินงานของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข นอกจากบุคลากรสาธารณสุขระดับเขตและผู้ปฏิบัติในพื้นที่มีความรู้ ความเข้าใจสามารถนำความรู้ที่ได้ไปสู่การปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพแล้ว พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ครอบครัว และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการดูแลเด็กตั้งแต่ในครรภ์มารดา - 5 ปี จะตระหนักถึงความสำคัญในการเลี้ยงดูเด็ก และนำความรู้ ทักษะไปใช้ในการเลี้ยงดูเด็กได้อีกด้วย
ผู้สนใจติดตามรายละเอียดได้ที่ เว็บไซต์ www.okmd.or.th และ www.facebook.com/BrainbasedLearning.BBL
