ผู้จัดการรายวัน360- "ครม.ตู่" ปรับขยายเพดานเงินเดือน ทหาร-ตำรวจ ระดับสูง อ้างให้เทียบเท่าข้าราชการพลเรือนที่ก่อนหน้านี้มีเพดานสูงกว่า พร้อมปรับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดจาก 400 บาท เพิ่มเป็น 600 บาทต่อเดือน ครอบคลุมเด็กอายุ 1-3 ขวบ
วานนี้ (22มี.ค.) พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุมครม. มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้กับข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือน ที่ก่อนหน้านี้ มีการเพิ่มอัตราเงินเดือนของข้าราชการพลเรือนขึ้นไป ทำให้สูงกว่าเจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ อัตราเงินเดือนยังเท่ากัน โดยเห็นชอบให้ปรับปรุงอัตราเพดานเงินเดือน ให้เท่ากับข้าราชการพลเรือน ที่มีการปรับขึ้นไปก่อนหน้านี้
อาทิ ระดับ พล.ท. -พล.อ.ท.-พล.ร.ท. และ พล.ต.ท. ที่มีเพดานเงินเดิมอยู่ที่ 74,320 บาทต่อเดือน ให้เพิ่มเพดานไปอยู่ที่ 75,560 - 76,800 บาทต่อเดือน เท่ากับผู้บริหารระดับสูง ขณะที่ พล.ต.-พล.อ.ต.-พล.ร.ต. และ พล.ต.ต. เท่ากับให้อัตราเพดานเงินเดือนจากเดิมอยู่ที่ 69,040 บาทต่อเดือน ไปอยู่ที่ 70,360 - 74,320 บาท เท่ากับผู้บริหารระดับต้น ส่วนระดับ พ.อ. นาวาเอก นาวาอากาศเอก และ พ.ต.อ. จากเดิมอยู่ที่ 58,390 บาทต่อเดิน ไปอยู่ที่ 59,500 บาทต่อเดือน เท่ากับระดับอำนวยการต้นหรือผู้ชำนาญการพิเศษ
นอกจากนี้ ครม.ยังเห็นชอบตามที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ให้ขยายระยะเวลาการจ่ายเงินอุดหนุนในโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จากเดิมที่กำหนดให้จ่ายเงินตั้งแต่เด็กแรกเกิด จนอายุครบ 1 ปี ที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.58 ถึงวันที่ 30 ก.ย.59 หัวละ 400 บาทต่อเดือน ขยายเป็นตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 3 ปี พร้อมทั้งเพิ่มวงเงินเป็น 600 บาทต่อเดือน เนื่องจากค่าใช้จ่ายในเรื่องอาหารที่มีผลต่อการเจริญเติบโตต่อการพัฒนาสมอง หัวเฉลี่ยอยู่ที่ 500-800 บาท จึงหาเกณฑ์ที่เหมาะสม คือ 600 บาทต่อเดือน โดยจากการตรวจสอบข้อมูลจากทีดีอาร์ไอ และยูนิเซฟ พบว่า เด็กอายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ปี เป็นช่วงที่มีความสำคัญที่สุดต่อการเจริญเติบโต เป็นช่วงที่ร่างกาย สมอง และสติปัญญาจะพัฒนาได้ดีที่สุด ถ้ามีการดูแลเอาใจใส่จะทำให้พัฒนาการดีเป็นบุคคลกรที่มีคุณภาพสูงของสังคม
อย่างไรก็ตาม โครงการช่วงแรกคือเด็กที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 58 ถึงวันที่ 30 ก.ย.59 .ใช้งบประมาณ 864 ล้านบาท ขณะที่ เด็กที่เกิดในปี 60 ตามที่ขยายโครงการนั้น ใช้งบประมาณ 468 ล้านบาท
"นายกฯ ปรารภว่า ทั้งข้อมูลจากยูนิเซฟ และทีดีอาร์ไอ เป็นข้อมูลเฉพาะการดำเนินการ แต่ข่อมูลผลสัมฤทธิ์ของโครงการว่าเงินที่จ่ายลงไปนั้น ทำให้มีพัฒนาการของเด็กไปแค่ไหน มีการรั่วไหลของเงินหรือไม่ ได้หมายความว่าทุจริต แต่หมายถึงแม่ที่รับเงินไป แต่อาจมีลูกอยู่กับยายที่ต่างจังหวัดและจะมั่นใจได้ยังไงว่าเงินจะไปถึงเด็กจริง ลักษณะนี้ท่านนายกฯให้ไปรวบรวมปัญหาแล้วหาแนวทางแก้ไขมาเสนอกัน" พล.ต.สรรเสริญ กล่าว
--------------
วานนี้ (22มี.ค.) พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุมครม. มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยาให้กับข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำของอัตราเงินเดือน ที่ก่อนหน้านี้ มีการเพิ่มอัตราเงินเดือนของข้าราชการพลเรือนขึ้นไป ทำให้สูงกว่าเจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ อัตราเงินเดือนยังเท่ากัน โดยเห็นชอบให้ปรับปรุงอัตราเพดานเงินเดือน ให้เท่ากับข้าราชการพลเรือน ที่มีการปรับขึ้นไปก่อนหน้านี้
อาทิ ระดับ พล.ท. -พล.อ.ท.-พล.ร.ท. และ พล.ต.ท. ที่มีเพดานเงินเดิมอยู่ที่ 74,320 บาทต่อเดือน ให้เพิ่มเพดานไปอยู่ที่ 75,560 - 76,800 บาทต่อเดือน เท่ากับผู้บริหารระดับสูง ขณะที่ พล.ต.-พล.อ.ต.-พล.ร.ต. และ พล.ต.ต. เท่ากับให้อัตราเพดานเงินเดือนจากเดิมอยู่ที่ 69,040 บาทต่อเดือน ไปอยู่ที่ 70,360 - 74,320 บาท เท่ากับผู้บริหารระดับต้น ส่วนระดับ พ.อ. นาวาเอก นาวาอากาศเอก และ พ.ต.อ. จากเดิมอยู่ที่ 58,390 บาทต่อเดิน ไปอยู่ที่ 59,500 บาทต่อเดือน เท่ากับระดับอำนวยการต้นหรือผู้ชำนาญการพิเศษ
นอกจากนี้ ครม.ยังเห็นชอบตามที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ให้ขยายระยะเวลาการจ่ายเงินอุดหนุนในโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จากเดิมที่กำหนดให้จ่ายเงินตั้งแต่เด็กแรกเกิด จนอายุครบ 1 ปี ที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.58 ถึงวันที่ 30 ก.ย.59 หัวละ 400 บาทต่อเดือน ขยายเป็นตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 3 ปี พร้อมทั้งเพิ่มวงเงินเป็น 600 บาทต่อเดือน เนื่องจากค่าใช้จ่ายในเรื่องอาหารที่มีผลต่อการเจริญเติบโตต่อการพัฒนาสมอง หัวเฉลี่ยอยู่ที่ 500-800 บาท จึงหาเกณฑ์ที่เหมาะสม คือ 600 บาทต่อเดือน โดยจากการตรวจสอบข้อมูลจากทีดีอาร์ไอ และยูนิเซฟ พบว่า เด็กอายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ปี เป็นช่วงที่มีความสำคัญที่สุดต่อการเจริญเติบโต เป็นช่วงที่ร่างกาย สมอง และสติปัญญาจะพัฒนาได้ดีที่สุด ถ้ามีการดูแลเอาใจใส่จะทำให้พัฒนาการดีเป็นบุคคลกรที่มีคุณภาพสูงของสังคม
อย่างไรก็ตาม โครงการช่วงแรกคือเด็กที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 58 ถึงวันที่ 30 ก.ย.59 .ใช้งบประมาณ 864 ล้านบาท ขณะที่ เด็กที่เกิดในปี 60 ตามที่ขยายโครงการนั้น ใช้งบประมาณ 468 ล้านบาท
"นายกฯ ปรารภว่า ทั้งข้อมูลจากยูนิเซฟ และทีดีอาร์ไอ เป็นข้อมูลเฉพาะการดำเนินการ แต่ข่อมูลผลสัมฤทธิ์ของโครงการว่าเงินที่จ่ายลงไปนั้น ทำให้มีพัฒนาการของเด็กไปแค่ไหน มีการรั่วไหลของเงินหรือไม่ ได้หมายความว่าทุจริต แต่หมายถึงแม่ที่รับเงินไป แต่อาจมีลูกอยู่กับยายที่ต่างจังหวัดและจะมั่นใจได้ยังไงว่าเงินจะไปถึงเด็กจริง ลักษณะนี้ท่านนายกฯให้ไปรวบรวมปัญหาแล้วหาแนวทางแก้ไขมาเสนอกัน" พล.ต.สรรเสริญ กล่าว
--------------