ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ความเป็นอภิสิทธิ์ชนเผยให้เห็นอย่างแจ่มแจ้งแดงแจ๋ทุกครั้งไป เมื่อเกิดเหตุลูกคนรวยขับรถชนคนตายไม่นานเรื่องก็เงียบหายเข้ากลีบเมฆ เช่นเดียวกับ ดรามาควันคลุ้งที่สังคมไทยจับจ้องอย่างหนัก กรณี 'เสี่ยเบนซ์ตีนผีซิ่งชนฟอร์ด' ที่ดูท่าจะเข้าอีหรอบเดิม แต่ดันโดนกระแสโซเชียลตะปบเอาเสียก่อน
สาวไส้เบื้องลึกเบื้องหลังอันไม่ชอบธรรมในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ฯ รวมทั้งโยงใยถึงอดีตนายกหญิงไทย ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นตัวแปรสำคัญให้ 'บิ๊กตู่' พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกมากำชับด้วยน้ำเสียงหนักแน่นหรือเปล่าว่า จะรวยจะจนก็อยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2559 เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยกรณีลูกคนรวยขับรถชนคนตาย ย่ำยี่ระบบยุติธรรมอีกครา เจนภพ วีรพร อายุ 37 ปี ทายาทนักธุรกิจกลุ่ม 'เลนโซ่กรุ๊ป' ซึ่งปรากฎชื่อเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทธุรกิจกว่า 15 แห่ง รวมวงเงินทุนจดทะเบียนมากกว่า 1,000ล้านบาท ซิ่งรถเบนซ์ รุ่นพิเศษ CLS 63 AMG ทะเบียน ษง 3333 กรุงเทพมหานคร พุ่งชนท้ายคู่กรณีรถเก๋ง ฟอร์ด รุ่น เฟียสต้า ทะเบียน ฆย 6911 เป็นเหตุให้ไฟลุกไหม้มีผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต 2 รายทันที บริเวณ ถ.พหลโยธิน ขาออก ช่วงหลัก ก.ม. ที่ 52 - 53 อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา
ทว่า เจ้าตัวได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย และถูกนำส่งโรงพยาบาลบางปะอิน ก่อนเคลื่อนย้ายไปโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท แต่ประเด็นที่สังคมตั้งคำถามดังสนั่นคือ การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้รับผิดชอบคดี
เหตุใดจึงไม่ดำเนินการตรวจเลือดผู้ขับขี่ เพื่อตรวจวัดแอลกอฮอล์และสารเสพติด ภายในเวลา 48 ชม.?
ฟากตำรวจผู้รับผิดชอบคดีแจ้งว่า ผู้ต้องหาปฏิเสธ..ไม่สามารถไปบังคับเขาได้ ทั้งยังบอกด้วยว่า ให้ตำรวจไปดมกลิ่นเหล้าผู้ต้องหาในวันนั้นแล้วซึ่งก็ไม่มีกลิ่นแต่อย่างใด! รวมทั้งยังมีประเด็น พนักงานสอบสวนตั้งข้อหาผู้ขับขี่รถเบนซ์ล่าช้า สะท้อนให้เห็นว่าคนรวยขับเบนซ์ถืออภิสิทธิ์เหนือกว่า เขาต้องการสิ่งใดตำรวจก็ผ่อนปรน
เหมาะสมหรือไม่คงไม่ต้องอธิบายความให้ยืดยาว เห็นชัดอยู่แล้วว่า 'ละเลยการปฏิบัติหน้าที่' งานนี้ก็แค่โดนเด้งไปตามระเบียบ
อย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 142 บัญญัติชัดเจนอยู่แล้วว่า ถ้าผู้ขับขี่ปฏิเสธไม่ยอมให้พิสูจน์ กฎหมายก็ให้ถือว่าผู้ขับขี่ มีแอลกอฮอล์ในร่างกายเกินกฎหมายกำหนด มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับตั้งแต่ 10,000- 20,000 บาท
ขณะที่ พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 43 ทวิ ห้ามมิให้ผู้ขับขี่เสพยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ รวมทั้งให้อำนาจตำรวจในการกักตัวไว้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง จนกว่าผู้ต้องสงสัยจะยอมให้ตรวจสารเสพติดได้
จนล่วงเข้าวันที่ 17 มี.ค. 2559 เจ้าหน้าที่ตำรวจถึงเดินทางไปยังโรงพยาบาลสมมิติเวชเพื่อแจ้งข้อหากับ เจนภพ ในข้อหาขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย พร้อมสอบปากคำในรายละเอียดเป็นครั้งแรก
โดยทาง เจษฎา วีรพร บิดาของผู้ขับรถเบนซ์ ชี้แจ้งถึงอาการและข้อครหาที่สังคมเคลือบแคลงต่อพฤติกรรมของลูกชายตน เบื้องต้นเขามีอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าไม่ทราบต้องมีการผ่าตัดหรือไม่ รวมถึงทีมแพทย์กำลังตรวจเช็คสมองว่ามีอาการปกติร่วมด้วยหรือไม่ 'เนื่องจากลูกชายจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้'
งานนี้แว่วเสียงจากแพทย์เฉพาะทางด้านระบบประสาทและโรคทางสมองว่า อาการความจำเสื่อมชั่วคราวมักเกิดขึ้นในละคร ส่วนความเป็นจริงมีเปอร์เซ็นต์น้อยมาก
ต่อมา มีรายงานว่า 'พบซองยารักษาโรคซึมเศร้า' LEXAPRO 10 MG จากสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา บนรถเบนซ์คันเกิดเหตุระบุชื่อของ เจนภพ วีรพร ซึ่งมีข้อมูลเปิดเผยต่อว่า ตัวยามีผลข้างเคียงทำให้มีอาการง่วงซึมได้ หลังจากรับประทานควรหลีกเลี่ยงการขับรถ และหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะตัวยาจะออกฤทธิ์ก่อให้เกิดอาการหน้ามืดวิงเวียน
คดีดังกล่าวเป็นที่ถกเถียงอย่างหนักในสังคมไทย เข้าสู่วันที่ 22 มี.ค. 59 พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงมาเร่งติดตามคลี่คลายคดีด้วยตนเอง เพราะเป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน และเปิดเผยผลการตรวจสารเสพติด เบื้องต้นพบว่ายาเป็นสารที่ออกฤทธิ์ทางประสาท หรือยากล่อมประสาท
พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ในส่วนของการดำเนินคดีนั้น ผู้ต้องหาจะใช้ช่องทางนี้ในการสู้คดีก็เป็นสิทธิ์ของผู้ต้องหา ซึ่งต้องสู้ตามข้อกฎหมาย ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้กังวลแต่อย่างใด และอย่าไปมองว่าตำรวจจะช่วยเหลือผู้ต้องหา ทุกอย่างต้องว่าไปตามกระบวนการกฎหมาย ตำรวจไม่สามารถไปลดโทษใครได้ บางครั้งเราส่งฟ้องไปถึงศาล ศาลอาจจะสั่งยกฟ้องก็ได้ ซึ่งกรณีแบบนี้เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก
ในส่วนของรูปคดี เจษฎา บิดาของผู้ต้องหา กล่าวว่า คดีความปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย พร้อมเปิดใจในประเด็นที่โลกออนไลน์ขุดคุ้ยประวัติพฤติกรรมการขับขี่ของบุตรชาย
อ้างอิงจาก เฟซบุ๊กแฟนเพจ CSI LA เปิดเผยข้อมูล จากพนักงานจากกรุงเทพประกันภัย เผยว่า รถทะเบียน ษง 3333 ของ เจนภพ วีรพร นั้นเคยมีประวัติการชนอย่างโชกโชนมาทั้งหมด 5 ครั้ง ซึ่งมีเหยื่อที่ถูกเขาชน 4 ปีที่แล้วด้วยรถ BMW Z4 ทะเบียนเดียวกับรถเบนซ์คันเกิดเหตุออกมาแสดงตัว นอกจากนี้ มีคลิปหลักฐานชี้ชัดว่า เจนภพ ซิ่งรถพุ่งชนไม้กั้นทางด่วนด้วย พร้อมทั้งจี้ให้ตำรวจเร่งทำคดีอย่าเฉยเมินอย่างคดีลูกคนรวยที่ผ่านๆ มา
ทางด้านพ่อของผู้ต้องหายอมรับว่า ที่ผ่านมาลูกชายเคยประสบอุบัติเหตุมาแล้ว 2 - 3 ครั้ง แต่ก็เป็นเรื่องของอุบัติเหตุบนถนนที่เกิดขึ้นได้เสมอ เพียงแต่ครั้งนี้เป็นอุบัติเหตุรุนแรงที่สุด และวอนขอให้สังคมหยุดซ้ำเติม ยืนยันว่าครอบครัวตนจะพร้อมดูแลและรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่
ทว่า มีการสร้างเฟซบุ๊กปลอมปล่อยข่าวลือว่าทางครอบครัวของผู้ต้องหาคดีขับรถชนคนตายจะจ่ายเงินชดเชยแก่ครอบผู้เสียชีวิตรายละ15 ล้านบาท เจษฎา กล่าวยืนยันว่าไม่เชื่อเรื่องจริงแต่อย่างใด ในเรื่องสินไหมชดเชยนั้นคงต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย
ไม่เพียงถูกขุดคุ้ยพฤติกรรมการขับขี่อันไร้ความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ชาวเน็ตยังขุดคุ้ยภาพเก่าที่เผยความสนิทชิดเชื้อระหว่าง เจนภพ ผู้ต้องหา กับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตอกย้ำเครือข่ายอันน่าเกรงขามที่ทำเอาผู้พิทักษ์สันติราษฎร์สายแดงออกอาการงอก่องอขิง
“มีเพจปลอมระบุว่าผมนายเจนภพ ลูกนายเจษฎา ขอยินดีจะชดใช้เบื้องต้น 15 ล้านบาทต่อผู้เสียชีวิตต่อคน หรือระบุว่าแม้แต่อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์โทรมาถามไถ่ทุกข์สุข ซึ่งเป็นเพจปลอม เมื่อเช้า (18 มี.ค. 2559) มอบอำนาจให้ทนายความไปแจ้งความที่ บก.ปอท. เพราะทำกันเกินเหตุ สังคมยิ่งไขว้เขวยิ่งเข้าใจผิดกันใหญ่ ลงอะไรเพ้อเจ้อ" เจษฎา กล่าว
สำหรับผู้เสียชีวิตทั้ง 2 ราย ได้รับพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งทางครอบครัวถาวร และครอบครัวฮ้อแสงชัย รู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้น
ขณะที่ 'บิ๊กตู่' มิได้นิ่งนอนใจเร่งจี้คดีดังกล่าวเพื่อสร้างบรรทัดฐานในการดำเนินคดีไม่ว่าจนหรือรวยต่างอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าท่านนายกฯ ได้รับการมอบหมายนายทหารคนสนิท ไปร่วมในพิธีพระราชทานเพลิงศพ พร้อมมอบมอบเงินส่วนตัวร่วมทำบุญ
พล.ต.สรรเสริญ กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายลดความเหลื่อมล้ำของสังคม ฉะนั้นเรื่อง นี้ใครทำถูกทำผิดกฎหมายว่าอย่างไรก็ต้องดำเนินการไปตามนั้นจะต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย จะต้องไม่ทำให้สังคมมีความรู้สึกว่าคนมีเงินได้รับการคุ้มครองมากกว่า หรือกฎหมายไม่สามารถทำอะไรกับคนที่มีฐานะดีได้
สำหรับลำดับความคืบหน้าของคดีนั้น เมื่อ18 มี.ค. 2559พนักงานสอบสวนชุดใหม่ได้ควบคุมตัว เจนภพ ที่ปรากกฎตัวอย่างน่าสังเวชถูกห่ามร่างนอนบนเตียงคนไข้ (ประเมินด้วยสภาพภายนอกฟกซ้ำเพียงเล็กน้อย) ไปฟังคำพิพากษาศาลฝากขังผัดแรก 12 วัน ทว่า ทางทนายได้ยื่นประกันวงเงินสด 200,000 บาท ศาลจึงให้ประกันโดยวางเงื่อนไข ห้ามออกนอกประเทศ ห้ามขับรถ ยึดใบขับขี่ เรียกตัวมาพบศาลเมื่อไหร่ก็ได้กรณีไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข จากนั้นได้นำตัวเสี่ยเบนซ์กลับไปรักษาที่โรงพยาบาลสมิติเวชต่อ
ต่อมา พนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานในคดีโดยครบถ้วนแล้ว และพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมแก่ 'เจนภพ วีรพร' ผู้ต้องหาใน 2 ฐานความผิด คือขัดขืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานที่กระทำการตามหน้าที่ และขับรถในขณะมึนเมา โดยขณะพนักงานสืบสวนสอบสวนจะได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ทราบว่าก่อนเกิดเหตุนั้นผู้ต้องหามีพฤติกรรมการขับขี่อย่างไร มีการกระทำความผิดในข้อหาอื่นๆ หรือไม่ และตรวจสอบประวัติย้อนหลังเพิ่มเติมด้วยเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม
ส่วนสุดท้ายคดีจะจบลงอย่างไร และเมื่อไหร่ ฟันธงแบบไม่กลัวหักได้อย่างมั่นใจว่า “ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล”