“หากการเดินทางท่องเที่ยวคือการเปิดสายตาให้รู้จักการใช้ชีวิต การอ่านหนังสือดีๆ สักเล่มภายใต้หลังคาบ้านอันเงียบสงบ คงเป็นการเปิดโลกกว้างที่ยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน”
FEEL GOOD ขอแนะนำหนังสือน่าอ่านที่ควรอ่านสักครั้งในชีวิต ยิ่งใกล้ถึงงานสัปดาห์หนังสือเข้ามาทุกที สาวกนักอ่านทั้งหลายคงเตรียมจดรายชื่อหนังสือที่ชอบ เพื่อตามหามาไว้ครอบครองกันอย่างใจจดใจจ่อ แต่จะดีสักแค่ไหนถ้าได้รู้ว่ามีหนังสือเจ๋งๆ ถูกถ่ายทอดออกมาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ชีวิต และยังทำให้เข้าใจความหมายของการใช้ชีวิตมากขึ้น รอคุณให้เปิดอ่านมันอยู่...
“The Diving Bell and The Butterfly” ชีวิตที่ไม่เคยยอมแพ้!
ว่ากันว่า หนังสือ “The Diving Bell and The Butterfly” โดย “Jean-Dominique Bauby” นั้น ทำให้คนท้อแท้ สิ้นหวัง หลุดออกมาจากชุดประดาน้ำกลายเป็นผีเสื้อ ดั่งชื่อหนังสือที่เขาตั้งใจสื่อความหมายขึ้นมา ความไม่แน่นอนของชีวิตคือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญ หนังสือเล่มนี้ถูกถ่ายทอดมาจากเรื่องจริงของ Jean-Do บรรณาธิการนิตยสาร ELLE ที่ต้องประสบกับสถาณการณ์ที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นกับเขา ด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตก จากชีวิตที่หรูหราและสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง จึงต้องพลิกผลันเปลี่ยนไปตลอดกาล
สิ่งที่น่าสนใจของหนังสือเล่มนี้คือ เขาเขียนหนังสือโดยการกะพริบตาสื่อสารกับคนอื่น และถ่ายทอดลงบนกระดาษ แต่ละครั้งที่กะพริบตาเป็นรหัสสำหรับแต่ละอักษร ใช้แต่ละอักษรเรียงร้อยเป็นคำ และต่อเนื่องเป็นวลี ประโยค ข้อความ และหนังสือหนึ่งเล่ม
เขาไม่เคยเอ่ยถึงความท้อแท้สิ้นหวังหรือสงสารตัวเอง เขาเขียนอย่างสง่างาม อย่างมนุษย์ที่ไม่ก้มหัวให้ชะตากรรม สูญสิ้นแต่ไม่สิ้นหวัง มีอารมณ์ขันแม้ในห้วงยามที่แย่ที่สุด แม้รับอาหารผ่านสายยาง แต่เขาก็ยังเล่าถึงความสุขของการปรุงอาหาร การกินอาหารในภัตตาคาร กลิ่นหอมของเฟรนช์ฟรายส์ที่ชายหาด และการได้มีความสุขกับครอบครัวอันเป็นที่รักได้อย่างน่าประทับใจ
“The Fault in Our Stars” ดาวบันดาลใจ
ด้วยการการันตีงานคุณภาพเปิดตัวหนังสือขึ้นเป็นอันดับ 1 ใน The New York Times Best Seller list จากหนังสือนิยายขายดีของ “John Green” สู่เรื่องราวดรามาสร้างแรงบันดาลใจผ่านลมหายใจอันรวยรินของ “เฮเซล แลงแคสเตอร์” สาวน้อยวัย 16 ปี กำลังต่อสู้กับมะเร็งระยะสุดท้าย เธอมียาที่ช่วยยื้อลมหายใจไว้ แต่ชีวิตก็ถูกจำกัดจำนวนวันด้วยเหมือนกัน
กระทั่งแสงสุดท้ายของชีวิตใกล้จะดับไป เมื่อเด็กหนุ่มผู้น่าค้นหาปรากฏตัว ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป “ออกัสตัส วอเทอร์” คือดาวที่สว่างไสวในช่วงสุดท้ายของชีวิตเธอและเปลี่ยนทุกสิ่งรอบตัวเธอ เรื่องราวในหนังสือไม่เพียงแต่เน้นไปที่การเผชิญหน้ากับโรคร้ายอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องของความรักและมิตรภาพของหนุ่มสาวที่พวกเขาต้องต่อสู้กับมัน แม้จะเหลือเวลาอีกเพียงไม่นานบนโลกที่โหดร้ายใบนี้ก็ตาม
“The Secret” ความลับที่สร้างปาฏิหาริย์ให้ผู้คนทั่วโลก
ต่อกันที่หนังสือว่าด้วยเรื่องราวของ “ความลับ” แต่งโดย “รอนดา เบิร์น” ผู้ที่จะคลายความลับสูตรสำเร็จของชีวิตผ่านตัวหนังสือให้ผู้อ่านได้ค้นพบ และนำมาปรับใช้กับชีวิตของตัวเองได้อย่างลงตัว ทั้งด้านการงาน การเงิน ความรักและสุขภาพ เรียกได้ว่าหากได้อ่านหนังสือเล่มนี้เหมือนกับได้ถือกุญแจที่เป็นแนวทางไขไปสู่ความสำเร็จของชีวิตได้เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังเป็นหนังสือที่ติดอันดับหนังสือขายดีในสหรัฐฯ กว่า 40 สัปดาห์อีกด้วย และยังมีเหล่านักอ่านแห่มาซื้ออ่านกันอย่างต่อเนื่อง
“ต้นส้มแสนรัก” วรรณกรรมที่ควรอ่านก่อนโต!
“ความรัก” ไม่ได้จำกัดว่าต้องเกิดขึ้นระหว่างคนด้วยกัน เชื้อชาติเดียวกัน หรือวัยเดียวกันเท่านั้น ความรักเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่และกับใครก็ได้ เช่นเดียวกับเรื่องราวของ “เซเซ่” เด็กชายชาวบราซิลวัย 5 ขวบ ที่มีเพื่อนรักเป็น “ต้นส้ม” เขาเป็นเด็กฉลาด มีจินตนาการและความฝันที่งดงาม หากแต่เกิดในครอบครัวที่ยากจน แม้เซเซ่จะไม่ได้มีคนเข้าใจมากมาย แต่เซเซ่ก็มีความสุขเพราะมีต้นไม้เป็นเพื่อนและคอยรับฟังทุกสิ่งที่เขาเล่าอยู่เสมอ
นอกจากต้นส้มเพื่อนรักแล้ว เซเซ่ยังมีเพื่อนแท้ต่างวัยคือ “โปรตุก้า” ชายแก่ชาวโปรตุเกสที่เดิมเคยเป็นคู่อริต่างขั้วมาก่อน แต่หลังจากที่ทั้งสองได้รู้จักกัน ความรัก ความผูกพันก็เข้ามาแทนที่ ทว่าเรื่องโชคร้ายได้เดินทางมาเยือน แม้ผลสุดท้ายเซเซ่อาจต้องเจ็บปวดเพราะต้องสูญเสียคนรัก แต่อย่างน้อยก็ยังมีความทรงจำดีๆ ต่อกันในช่วงเวลาที่ผ่านมา การสูญเสียสอนให้เขาได้รู้จักกับความเข้มแข็งและเรียนรู้ที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า
"Life Without Limb" ชีวิตไร้แขนขา..สู่นักสร้างแรงบันดาลใจ
หากใครที่กำลังรู้สึกหมดพลังและสิ้นหวังกับชีวิต เรื่องราวของเขาอาจทำให้คุณลุกขึ้นสู้อีกครั้งหนึ่งได้ “นิค วูจีชิค” หนุ่มออสเตรเลียผู้พิการไร้แขนและขา แต่เขากลับไม่เคยย่อท้อและยอมแพ้ให้กับโชคชะตา เขาได้ร้อยเรียงเรื่องราวของเขาผ่านตัวอักษรในหนังสือที่ชื่อ “Life Without Limb” เพื่อเป็นการสร้างมุมมองและแรงบันดาลใจดีๆ ให้กับผู้อ่านที่กำลังหมดหวังในชีวิตให้ได้เดินหน้าต่อไป โดยสะท้อนความสำเร็จของการใช้ชีวิตผ่านเรื่องราวของหนุ่มพิการที่ไร้แขนและขาที่ทำให้คนทั่วโลกต้องยกย่องในความแข็งแกร่งของเขา
“ถ้าผมล้มเหลว ผมจะพยายามต่อไป พยายามแล้วพยายามอีก ถ้าคุณล้มเหลว คุณจะพยายามต่อไปหรือไม่? จิตของมนุษย์สามารถทนต่อสิ่งเลวร้ายได้มากกว่าที่เราคิด ชีวิตจะจบลงอย่างไรเป็นสิ่งสำคัญ คุณอยากจะจบอย่างเข้มแข็งหรือไม่”
“ติสตูนักปลูกต้นไม้” เมล็ดพันธุ์อยู่ในทุกแห่ง..ไม่ใช่แต่ในดินเท่านั้น
'ติสตู นักปลูกต้นไม้' เป็นหนังสือที่มีผู้กล่าวขานกันทั่วโลก ตั้งแต่เริ่มพิมพ์ฉบับภาษาฝรั่งเศสครั้งแรกใน ค.ศ. 1968 จนปัจจุบันยังเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในบรรดานักอ่านมากกว่าสิบภาษา โดยเฉพาะในประเทศฝรั่งเศส และประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสในการเรียนการสอนก็ได้ใช้หนังสือนี้เป็นหนังสือประกอบการเรียนของนักเรียนอีกด้วย
'ติสตู นักปลูกต้นไม้' เป็นเรื่องของเด็กผู้ชายเล็กๆ คนหนึ่ง ผู้ซึ่งไม่ยอมให้ผู้ใหญ่อธิบายความเป็นไปในโลกโดยใช้ความคิดสำเร็จรูป ติสตูจึงนอนหลับในห้องเรียนทุกครั้งที่ผู้ใหญ่จะใส่ความคิดสำเร็จแก่เขา---ติสตู ทำให้เห็นว่า เด็กๆ นั้นมีดวงตาคู่พิเศษ มองสิ่งต่างๆ ไม่ว่าคนหรือสิ่งของแตกต่างไปจากผู้ใหญ่ ที่ถูกความเคยชินครอบงำ
เมื่อติสตูเรียนถึงบทเรียนว่าด้วยเมืองและระเบียบ และเห็นสถานที่หนึ่งมีกำแพงมหึมา ไม่มีหน้าต่างแม้แต่บานเดียว บนกำแพงมีเหล็กปลายแหลมเสียบไว้โดยรอบ 'ถ้าคุกน่าเกลียดน้อยกว่านี้' ติสตูพูด 'บางทีนักโทษคงไม่อยากหนีเท่าไหร่นัก' แล้วภารกิจของติสตูก็เริ่มขึ้น เขาลงมือปลูกต้นไม้ ทำให้คุก โรงพยาบาล ชุมชนแออัด เป็นสถานที่น่าอยู่ด้วยต้นไม้ ดอกไม้ ติสตูค้นพบสิ่งวิเศษอย่างหนึ่งว่า ดอกไม้สามารถสกัดกั้นความชั่วร้ายได้
ข้อคิดจากหนังสือเล่มนี้ทำให้ผู้อ่านเข้าใจในความหมายว่า เด็กทุกคนมักกระตือรือร้นที่จะปฏิบัติตนเพื่อสาธารณประโยชน์ และเฝ้ารอความมหัศจรรย์ของการเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่เพื่อทำสิ่งนั้น---แต่สำหรับติสตูแล้ว เขาลงมือทำโดยไม่ต้องรอให้ตัวเองเป็นผู้ใหญ่เพื่อที่จะลืมความตั้งใจนั้น