ทนายหลวงพี่แป๊ะ - สมเด็จช่วง ทิ้งไพ่ใบสุดท้าย สู้ด้วย “เจตนา”หวังพ้นผิดกรณีรถเบนซ์โบราณหนีภาษี แฉบทเรียนภิกษุนักสะสม ทำผิดพระวินัยเกร่อแต่สังคมเมินด้วยเชื่อ “ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์” ยกเป็นหินลองทองพิสูจน์ความจริงใจทุกฝ่ายจะร่วมมือร่วมใจปฏิรูปพระพุทธศาสนาหรือไม่
เจตนาหํ กุมมํ วทามิ “กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา” พุทธศาสนาสุภาษิตอันถือเป็นหลักกฎหมายอาญาไว้สำหรับพิจารณาพฤติการณ์ในการกระทำผิดของจำเลยนี้เทียบเคียงกับกรณีรถเบนซ์โบราณทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ที่กำลังเป็นที่สนอกสนใจของญาติโยมซึ่งขณะนี้กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม
มีการใช้แง่มุมทางกฏหมายโดยฝ่ายผู้ตรวจสอบเดินหน้าสืบค้นข้อเท็จจริงจนเป็นที่ประจักษ์ถึงปมพิรุธต่างๆ 4 ข้อคือ การนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ การประกอบชิ้นส่วนขึ้นเป็นรถสมบูรณ์ การชำระภาษีสรรพสามิต และการจดทะเบียนขนส่งทางบกเพื่อแสดงกรรมสิทธิ์
ทั้ง 4 ขั้นตอนกรมสอบสวนคดีพิเศษ พบความผิดปกติอย่างมากมายจนกล่าวได้ว่าทุกขั้นตอนพบความผิดทั้งหมดและจนถึงขณะนี้ตัวละครที่โลดแล่นเกี่ยวพันกันทั้งหมด
เริ่มจากหัวขบวน คือสมเด็จช่วง ตามด้วย”หลวงพี่แป๊ะ”หรือพระมหาศาสนมุนี (ธนกิจ สุภาโว) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำในฐานะคนกลางสั่งน้ำเข้าชิ้นส่วน จัดหาอู่ซ่อม หจก.อ๊อด 89 เอ็นเตอร์ไพร์ส หจก.สายชลมอเตอร์ นางกาญจนา เจ้าของอู่ NP การาจนายชลัช นางกาญจนา เจ้าของอู่ NP การาจ และนายวิชาญ รัษฐปานะ เจ้าของอู่รถโบราณผู้รับจ้างซ่อมรถเบนซ์ดังกล่าว
หลังนายสุรพงษ์ สิทธิกรณ์ ทนายหลวงพี่แป๊ะ ได้นำรถเบนซ์โบราณ ขม 99 กทม.ส่งมอบให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมกับร้องทุกข์กล่าวโทษนายวิชาญ ข้อหานำรถผิดกฎหมายมาขาย
ล่าสุด เจ้าของอู่รถโบราณได้ออกมาโวยแสดงความประหลาดใจที่ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญมอบหมายให้ทนายมาฟ้องร้องตน นายวิชาญ ระบุว่าเมื่อวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมามีหมายศาลจังหวัดตลิ่งชัน แจ้งมาที่บ้านพักว่าพระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ ฟ้องทางแพ่งข้อหานำรถผิดกฎหมายมาขายให้โดยเรียกค่าเสียหายกว่า 10 ล้านบาท
“ผมว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก ทำไมท่านไม่ไปดำเนินการกับผู้จัดหาอะไหล่และตัวถังรถ ฝ่ายผมเป็นเพียงคนซ่อมได้ค่าจ้างมา 1.5 ล้านบาท อีก 2.5 ล้านบาทเป็นของ หจก.อ๊อด 89 ช่วงที่ดำเนินการผมกับหลวงพี่และตัวแทนจากบริษัทอ๊อด 89 ก็พบเจอกันหลายครั้งหลายหน” นายวิชาญ ยืนยันกับนักข่าวก่อนเดินทางไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อขอให้พิจารณาคุ้มครองพยาน
เรื่องราวของรถเบนซ์โบราณจึงมาหยุดตรงที่มีการเล่นเหลี่ยมมุมทางกฎหมายโดยฝ่ายสมเด็จช่วงยอมส่งมอบรถเบนช์โบราณทะเบียน ขม 99 กทม.ให้กับดีเอสไอ.เพื่อเข้าสู่กรรมวิธีตกเป็นทรัพย์ของแผ่นดินต่อไปพร้อมๆกับเอา “เจตนา”มาเป็นข้อต่อสู้ทางกฎหมายโดยเดินหน้าฟ้องร้องนายวิชาญ ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่าเป็นเจ้าของกิจการอู่ซ่อมรถกลายเป็น “ผู้ขาย”แต่กระบวนการสอบสวนที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินการไปก่อนหน้าแล้วเชื่อว่าย่อมมีพยานหลักฐานอย่างแน่นหนาโดยจะเห็นได้จากข้อมูลที่ปรากฏต่อสาธารณะในวันที่ดีเอสไอ.แถลงต่อสาธารณะใน 4 ข้อพิรุธดังกล่าว
เฉพาะข้อสุดท้ายคือขั้นตอนการจดทะเบียนขนส่งทางบกเพื่อแสดงกรรมสิทธิ์ปรากฏชื่อของสมเด็จช่วง เป็นผู้ถือกรรมสิทธ์อันดับแรกและเพียงคนเดียว ประเด็นนี้จึงมีผู้รู้กฎหมายยกไปอิงกับ มาตรา 27 พรบ.ศุลกากร 2469 ว่าผู้ใดนำหรือพาของที่ยังไมเสียภาษี หรือของต้องจำกัด หรือของต้องห้ามหรือที่ยังไม่ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องเข้ามาภายในพระราชอาณาจักรฯ หรือให้ที่อาศัย-เก็บโดยไม่ได้รับอนุญาต เจตนาฉ้อค่าภาษีรัฐฯให้ปรับ 4 เท่าของราคาจริง จำคุกไม่เกิน 10 ปีหรือทั้งปรับ-จำ
มาตรา 27 ทวิ ผู้ใดร่วมซ่อนเร้นหรือรับไว้ด้วยประการใดซึ่งตนรู้ว่ายังมิได้เสียค่าภาษีมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือทั้งจำทั้งปรับ
ปลายทางแห่งคดีจึงอยู่ที่เรื่องเจตนา ฝ่ายหนึ่งพยายามพิสูจน์ตัวเองว่าไม่มีเจตนาครอบครองรถเถื่อน ไม่มีเจตนาปิดบังอำพราง และเพื่อให้มีน้ำหนักจึงมีการกล่าวโทษคนอื่น
คดีรถเบนซ์โบราณทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร จะ “ขม”จริงหรือไม่ก็คงต้องติดตามกันต่อไปเพราะช่องทางกฏหมายที่กำลังจะเข้าสู่กระบวนการของศาลนั้นยังพอมีเวลาหยุดความขัดแย้งอื่นๆได้สักระยะโดยเฉพาะการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พูดอย่างชัดเจนว่าเมื่อจบทางกฏหมายจึงจะมีคำตอบในเรื่องนี้
ขณะที่ทางโลกกำลังจะตัดสินผิด-ถูกแต่ในทางธรรมนั้นสมเด็จช่วง และบริวานว่านเครือคงต้องใช้เวลาอีกนานเพื่อจะอธิบายต่อญาติโยมที่ศรัทธาว่าเหตุใดสงฆ์จึงไม่ครองตนด้วยอัฐบริขาร 8 อันประกอบด้วยจีวร ผ้าสังฆาฏิ ผ้าสบง ประคดเอว มีดโกน บาตร เข็มเย็บผ้าและธมกรก หรือเครื่องกรองน้ำ
พระสงฆ์ในยุคดิจิตอล ไม่สนแล้วในเรื่องสังฆทรัพย์ ที่ระบุในพระวินัยห้ามภิกษุรับและสะสม วันหนึ่งเมื่อเกิดความตกต่ำในแวดวงพระพุทธศาสนาจนถึงขั้น “เสื่อม”จึงมีพุทธศาสนิกชนจำนวนมากแสดงพลังขอให้มีการปฏิรูปวงการสงฆ์อย่างจริงจัง
ว่าไปแล้วคดีรถเบนซ์โบราณเป็นเพียงบทพิสูจน์ความจริงใจของทุกฝ่ายที่จะร่วมกันชำระความเสื่อมทรามของวงการสงฆ์ มิใช่เป็นเพียงเกมทำลายล้าง หรือแลกเปลี่ยนประโยชน์กันในทางการเมืองแค่นั้น !!??
เจตนาหํ กุมมํ วทามิ “กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา” พุทธศาสนาสุภาษิตอันถือเป็นหลักกฎหมายอาญาไว้สำหรับพิจารณาพฤติการณ์ในการกระทำผิดของจำเลยนี้เทียบเคียงกับกรณีรถเบนซ์โบราณทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ที่กำลังเป็นที่สนอกสนใจของญาติโยมซึ่งขณะนี้กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม
มีการใช้แง่มุมทางกฏหมายโดยฝ่ายผู้ตรวจสอบเดินหน้าสืบค้นข้อเท็จจริงจนเป็นที่ประจักษ์ถึงปมพิรุธต่างๆ 4 ข้อคือ การนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ การประกอบชิ้นส่วนขึ้นเป็นรถสมบูรณ์ การชำระภาษีสรรพสามิต และการจดทะเบียนขนส่งทางบกเพื่อแสดงกรรมสิทธิ์
ทั้ง 4 ขั้นตอนกรมสอบสวนคดีพิเศษ พบความผิดปกติอย่างมากมายจนกล่าวได้ว่าทุกขั้นตอนพบความผิดทั้งหมดและจนถึงขณะนี้ตัวละครที่โลดแล่นเกี่ยวพันกันทั้งหมด
เริ่มจากหัวขบวน คือสมเด็จช่วง ตามด้วย”หลวงพี่แป๊ะ”หรือพระมหาศาสนมุนี (ธนกิจ สุภาโว) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำในฐานะคนกลางสั่งน้ำเข้าชิ้นส่วน จัดหาอู่ซ่อม หจก.อ๊อด 89 เอ็นเตอร์ไพร์ส หจก.สายชลมอเตอร์ นางกาญจนา เจ้าของอู่ NP การาจนายชลัช นางกาญจนา เจ้าของอู่ NP การาจ และนายวิชาญ รัษฐปานะ เจ้าของอู่รถโบราณผู้รับจ้างซ่อมรถเบนซ์ดังกล่าว
หลังนายสุรพงษ์ สิทธิกรณ์ ทนายหลวงพี่แป๊ะ ได้นำรถเบนซ์โบราณ ขม 99 กทม.ส่งมอบให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมกับร้องทุกข์กล่าวโทษนายวิชาญ ข้อหานำรถผิดกฎหมายมาขาย
ล่าสุด เจ้าของอู่รถโบราณได้ออกมาโวยแสดงความประหลาดใจที่ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญมอบหมายให้ทนายมาฟ้องร้องตน นายวิชาญ ระบุว่าเมื่อวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมามีหมายศาลจังหวัดตลิ่งชัน แจ้งมาที่บ้านพักว่าพระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ ฟ้องทางแพ่งข้อหานำรถผิดกฎหมายมาขายให้โดยเรียกค่าเสียหายกว่า 10 ล้านบาท
“ผมว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก ทำไมท่านไม่ไปดำเนินการกับผู้จัดหาอะไหล่และตัวถังรถ ฝ่ายผมเป็นเพียงคนซ่อมได้ค่าจ้างมา 1.5 ล้านบาท อีก 2.5 ล้านบาทเป็นของ หจก.อ๊อด 89 ช่วงที่ดำเนินการผมกับหลวงพี่และตัวแทนจากบริษัทอ๊อด 89 ก็พบเจอกันหลายครั้งหลายหน” นายวิชาญ ยืนยันกับนักข่าวก่อนเดินทางไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อขอให้พิจารณาคุ้มครองพยาน
เรื่องราวของรถเบนซ์โบราณจึงมาหยุดตรงที่มีการเล่นเหลี่ยมมุมทางกฎหมายโดยฝ่ายสมเด็จช่วงยอมส่งมอบรถเบนช์โบราณทะเบียน ขม 99 กทม.ให้กับดีเอสไอ.เพื่อเข้าสู่กรรมวิธีตกเป็นทรัพย์ของแผ่นดินต่อไปพร้อมๆกับเอา “เจตนา”มาเป็นข้อต่อสู้ทางกฎหมายโดยเดินหน้าฟ้องร้องนายวิชาญ ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่าเป็นเจ้าของกิจการอู่ซ่อมรถกลายเป็น “ผู้ขาย”แต่กระบวนการสอบสวนที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินการไปก่อนหน้าแล้วเชื่อว่าย่อมมีพยานหลักฐานอย่างแน่นหนาโดยจะเห็นได้จากข้อมูลที่ปรากฏต่อสาธารณะในวันที่ดีเอสไอ.แถลงต่อสาธารณะใน 4 ข้อพิรุธดังกล่าว
เฉพาะข้อสุดท้ายคือขั้นตอนการจดทะเบียนขนส่งทางบกเพื่อแสดงกรรมสิทธิ์ปรากฏชื่อของสมเด็จช่วง เป็นผู้ถือกรรมสิทธ์อันดับแรกและเพียงคนเดียว ประเด็นนี้จึงมีผู้รู้กฎหมายยกไปอิงกับ มาตรา 27 พรบ.ศุลกากร 2469 ว่าผู้ใดนำหรือพาของที่ยังไมเสียภาษี หรือของต้องจำกัด หรือของต้องห้ามหรือที่ยังไม่ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องเข้ามาภายในพระราชอาณาจักรฯ หรือให้ที่อาศัย-เก็บโดยไม่ได้รับอนุญาต เจตนาฉ้อค่าภาษีรัฐฯให้ปรับ 4 เท่าของราคาจริง จำคุกไม่เกิน 10 ปีหรือทั้งปรับ-จำ
มาตรา 27 ทวิ ผู้ใดร่วมซ่อนเร้นหรือรับไว้ด้วยประการใดซึ่งตนรู้ว่ายังมิได้เสียค่าภาษีมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือทั้งจำทั้งปรับ
ปลายทางแห่งคดีจึงอยู่ที่เรื่องเจตนา ฝ่ายหนึ่งพยายามพิสูจน์ตัวเองว่าไม่มีเจตนาครอบครองรถเถื่อน ไม่มีเจตนาปิดบังอำพราง และเพื่อให้มีน้ำหนักจึงมีการกล่าวโทษคนอื่น
คดีรถเบนซ์โบราณทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร จะ “ขม”จริงหรือไม่ก็คงต้องติดตามกันต่อไปเพราะช่องทางกฏหมายที่กำลังจะเข้าสู่กระบวนการของศาลนั้นยังพอมีเวลาหยุดความขัดแย้งอื่นๆได้สักระยะโดยเฉพาะการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พูดอย่างชัดเจนว่าเมื่อจบทางกฏหมายจึงจะมีคำตอบในเรื่องนี้
ขณะที่ทางโลกกำลังจะตัดสินผิด-ถูกแต่ในทางธรรมนั้นสมเด็จช่วง และบริวานว่านเครือคงต้องใช้เวลาอีกนานเพื่อจะอธิบายต่อญาติโยมที่ศรัทธาว่าเหตุใดสงฆ์จึงไม่ครองตนด้วยอัฐบริขาร 8 อันประกอบด้วยจีวร ผ้าสังฆาฏิ ผ้าสบง ประคดเอว มีดโกน บาตร เข็มเย็บผ้าและธมกรก หรือเครื่องกรองน้ำ
พระสงฆ์ในยุคดิจิตอล ไม่สนแล้วในเรื่องสังฆทรัพย์ ที่ระบุในพระวินัยห้ามภิกษุรับและสะสม วันหนึ่งเมื่อเกิดความตกต่ำในแวดวงพระพุทธศาสนาจนถึงขั้น “เสื่อม”จึงมีพุทธศาสนิกชนจำนวนมากแสดงพลังขอให้มีการปฏิรูปวงการสงฆ์อย่างจริงจัง
ว่าไปแล้วคดีรถเบนซ์โบราณเป็นเพียงบทพิสูจน์ความจริงใจของทุกฝ่ายที่จะร่วมกันชำระความเสื่อมทรามของวงการสงฆ์ มิใช่เป็นเพียงเกมทำลายล้าง หรือแลกเปลี่ยนประโยชน์กันในทางการเมืองแค่นั้น !!??