ผู้จัดการรายวัน360-"ดร.เซปิง" พา "น็อต แม็กซิม" เจ้าแม่ศัลยกรรม ร้องเรียน สบส. สอบคลินิก "หมอชลธิศ" ปล่อยคนไม่ใช่แพทย์ทำเฟซล็อกยกกระชับใบหน้า ยอมรับทราบเรื่องมาตลอด แต่ไม่กล้าพูด ปัดเอาคืน เพราะปมขัดแย้ง แค่ต้องการบอกความจริงให้ประชาชนรับรู้ เชื่อมีผู้เสียหายอีกมาก จ่อยื่นแพทยสภาสัปดาห์หน้า ด้าน สบส.ขอพิจารณาหลักฐานก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 11.00 น. วานนี้ (9 มี.ค.) ดร.เซปิง ไชยศาส์น พร้อมด้วยทนาย และนายกฤติน จิกิตศิลปิน หรือน็อต แม็กซิม ผู้เสียหายจากการทำศัลยกรรม เดินทางไปยังกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพื่อร้องเรียนกรณี นพ.ชลธิศ สินรัชตานันท์ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย ปล่อยให้บุคคลอื่นที่ไม่ใช่แพทย์ทำศัลยกรรมแทนในคลินิกของตนเอง พร้อมแสดงภาพบุคคลที่ไม่ใช่แพทย์ในการทำศัลยกรรมด้วย โดยมี นพ.ภัทรพล จึงสมเจตไพศาล ผู้ช่วยอธิบดี สบส. เป็นผู้รับมอบเอกสารหลักฐาน
ดร.เซปิง กล่าวว่า ได้นำหลักฐานเกี่ยวกับคนไข้ ซึ่งมารับบริการทำศัลยกรรมตา 2 ชั้นกับคลินิกของ นพ.ชลธิศ แต่ไม่ได้ทำกับแพทย์ โดยทำกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อ "โหน่ง" และนายยงยุทธ จรูญคณากิจ มาให้กับ สบส. เนื่องจากเป็นหน่วยงานราชการที่คุ้มครองดูแลประชาชนในเรื่องนี้ ซึ่งเชื่อว่ายังมีคนไข้อีกมากที่ทำตากับคลินิกแห่งนี้โดยไม่ได้รับบริการจากแพทย์ รวมถึงนายกฤตินด้วย
ทั้งนี้ ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการตอบโต้กลับ นพ.ชลธิศ จากปมความขัดแย้ง แต่เป็นการนำข้อมูลข้อเท็จจริงมาให้ประชาชนรับทราบ เพราะประชาชนเสียหาย เนื่องจากผู้ที่มาทำศัลยกรรมคาดหวังว่าจะได้รับบริการจากแพทย์ ซึ่งที่ผ่านมา ทราบเรื่องมาตลอด แต่ไม่กล้าพูด และอึดอัด จนกระทั่งถอยตัวออกมา และในสัปดาห์หน้า จะยื่นเรื่องร้องเรียน นพ.ชลธิศ ต่อแพทยสภาด้วย
เมื่อถามถึงความเกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมล ดร.เซปิง กล่าวว่า ยืนยันว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้อง และก่อนหน้านี้ ทางโรงพยาบาลฯ ได้ทำหนังสือแจ้งเตือนมาแล้วว่าอย่าได้พูดถึงโรงพยาบาลฯ กรณีทำศัลยกรรมนายสุรชัย สมบัติเจริญ เนื่องจากเป็นการให้บริการตามปกติ ทั้งนี้ ยังไม่ได้การพูดคุยหรือติดต่อกับ นพ.กมล พันธ์ศรีทุม แต่อย่างใด
ด้านนายกฤติน กล่าวว่า ในฐานะที่ตัวเองเป็นเจ้าแม่ศัลยกรรม ก็รู้สึกตกใจและกลัวที่มารู้ทีหลังว่าตนเองพลาดในการทำศัลยกรรมโดยไม่ใช่แพทย์ จึงเดินทางมาให้ข้อมูลกับ สบส. ถึงเรื่องนี้ โดยตนได้ไปทำศัลยกรรมเฟซล็อก แรกๆ ยอมรับว่าชอบมาก เพราะใบหน้าเต่งตึง แต่เมื่อผ่านไปประมาณเดือนกว่าๆ ใบหน้าเกิดการเหี่ยวย้อยอีก จึงไม่เข้าใจว่าทำไมผลการศัลยกรรมจึงอยู่ได้ไม่นานตามที่ตนเข้าใจ ซึ่งมารู้ภายหลังจาก ดร.เซปิงว่า ผู้ที่ทำให้ ไม่ใช่แพทย์ และถือว่ากรณีของตนโชคดีที่ไม่เกิดความเสียหายอะไรมาก แต่กรณีบุคคลอื่นอาจทำให้เกิดความเสียหายมากกว่านี้
เมื่อถามว่าได้มีการพูดคุยกับแพทย์และได้รับข้อมูลเกี่ยวกับเฟซล็อกหรือไม่ และทราบก่อนหรือไม่ว่าใครเป็นผู้ทำให้ นายกฤติน กล่าวว่า ที่ทราบคือเฟซล็อกสามารถอยู่ได้นาน แต่ไม่ทราบว่าใครทำให้ เพราะตนเข้าไปแล้วก็หลับไปเลย
นพ.ภัทรพล กล่าวว่า จะนำหลักฐานทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการพิจารณา แต่ยังไม่สามารถระบุชัดเจนได้ว่ามีความผิดหรือไม่ ต้องดูข้อเท็จจริงทั้งหมดก่อนว่าเข้าข่ายมีความผิดตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 หรือไม่ ซึ่งจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ส่วนความคืบหน้าการเปรียบเทียบปรับโรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมลนั้น ขณะนี้สถานพยาบาลได้ทำหนังสือกลับมายัง สบส. แล้ว โดยขอเลื่อนระยะเวลาการเปรียบเทียบปรับไปอีก ซึ่งตามกฎหมายสามารถทำได้
ไรก็ตาม สบส. ยังได้เตรียมแก้ไขกฎหมายโทษปรับการโฆษณา พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 โดยต่อไปในอนาคตการโฆษณาจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของ สบส. ซึ่งเรื่องดังกล่าวยังอยู่ในการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 11.00 น. วานนี้ (9 มี.ค.) ดร.เซปิง ไชยศาส์น พร้อมด้วยทนาย และนายกฤติน จิกิตศิลปิน หรือน็อต แม็กซิม ผู้เสียหายจากการทำศัลยกรรม เดินทางไปยังกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพื่อร้องเรียนกรณี นพ.ชลธิศ สินรัชตานันท์ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย ปล่อยให้บุคคลอื่นที่ไม่ใช่แพทย์ทำศัลยกรรมแทนในคลินิกของตนเอง พร้อมแสดงภาพบุคคลที่ไม่ใช่แพทย์ในการทำศัลยกรรมด้วย โดยมี นพ.ภัทรพล จึงสมเจตไพศาล ผู้ช่วยอธิบดี สบส. เป็นผู้รับมอบเอกสารหลักฐาน
ดร.เซปิง กล่าวว่า ได้นำหลักฐานเกี่ยวกับคนไข้ ซึ่งมารับบริการทำศัลยกรรมตา 2 ชั้นกับคลินิกของ นพ.ชลธิศ แต่ไม่ได้ทำกับแพทย์ โดยทำกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อ "โหน่ง" และนายยงยุทธ จรูญคณากิจ มาให้กับ สบส. เนื่องจากเป็นหน่วยงานราชการที่คุ้มครองดูแลประชาชนในเรื่องนี้ ซึ่งเชื่อว่ายังมีคนไข้อีกมากที่ทำตากับคลินิกแห่งนี้โดยไม่ได้รับบริการจากแพทย์ รวมถึงนายกฤตินด้วย
ทั้งนี้ ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการตอบโต้กลับ นพ.ชลธิศ จากปมความขัดแย้ง แต่เป็นการนำข้อมูลข้อเท็จจริงมาให้ประชาชนรับทราบ เพราะประชาชนเสียหาย เนื่องจากผู้ที่มาทำศัลยกรรมคาดหวังว่าจะได้รับบริการจากแพทย์ ซึ่งที่ผ่านมา ทราบเรื่องมาตลอด แต่ไม่กล้าพูด และอึดอัด จนกระทั่งถอยตัวออกมา และในสัปดาห์หน้า จะยื่นเรื่องร้องเรียน นพ.ชลธิศ ต่อแพทยสภาด้วย
เมื่อถามถึงความเกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมล ดร.เซปิง กล่าวว่า ยืนยันว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้อง และก่อนหน้านี้ ทางโรงพยาบาลฯ ได้ทำหนังสือแจ้งเตือนมาแล้วว่าอย่าได้พูดถึงโรงพยาบาลฯ กรณีทำศัลยกรรมนายสุรชัย สมบัติเจริญ เนื่องจากเป็นการให้บริการตามปกติ ทั้งนี้ ยังไม่ได้การพูดคุยหรือติดต่อกับ นพ.กมล พันธ์ศรีทุม แต่อย่างใด
ด้านนายกฤติน กล่าวว่า ในฐานะที่ตัวเองเป็นเจ้าแม่ศัลยกรรม ก็รู้สึกตกใจและกลัวที่มารู้ทีหลังว่าตนเองพลาดในการทำศัลยกรรมโดยไม่ใช่แพทย์ จึงเดินทางมาให้ข้อมูลกับ สบส. ถึงเรื่องนี้ โดยตนได้ไปทำศัลยกรรมเฟซล็อก แรกๆ ยอมรับว่าชอบมาก เพราะใบหน้าเต่งตึง แต่เมื่อผ่านไปประมาณเดือนกว่าๆ ใบหน้าเกิดการเหี่ยวย้อยอีก จึงไม่เข้าใจว่าทำไมผลการศัลยกรรมจึงอยู่ได้ไม่นานตามที่ตนเข้าใจ ซึ่งมารู้ภายหลังจาก ดร.เซปิงว่า ผู้ที่ทำให้ ไม่ใช่แพทย์ และถือว่ากรณีของตนโชคดีที่ไม่เกิดความเสียหายอะไรมาก แต่กรณีบุคคลอื่นอาจทำให้เกิดความเสียหายมากกว่านี้
เมื่อถามว่าได้มีการพูดคุยกับแพทย์และได้รับข้อมูลเกี่ยวกับเฟซล็อกหรือไม่ และทราบก่อนหรือไม่ว่าใครเป็นผู้ทำให้ นายกฤติน กล่าวว่า ที่ทราบคือเฟซล็อกสามารถอยู่ได้นาน แต่ไม่ทราบว่าใครทำให้ เพราะตนเข้าไปแล้วก็หลับไปเลย
นพ.ภัทรพล กล่าวว่า จะนำหลักฐานทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการพิจารณา แต่ยังไม่สามารถระบุชัดเจนได้ว่ามีความผิดหรือไม่ ต้องดูข้อเท็จจริงทั้งหมดก่อนว่าเข้าข่ายมีความผิดตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 หรือไม่ ซึ่งจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ส่วนความคืบหน้าการเปรียบเทียบปรับโรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมลนั้น ขณะนี้สถานพยาบาลได้ทำหนังสือกลับมายัง สบส. แล้ว โดยขอเลื่อนระยะเวลาการเปรียบเทียบปรับไปอีก ซึ่งตามกฎหมายสามารถทำได้
ไรก็ตาม สบส. ยังได้เตรียมแก้ไขกฎหมายโทษปรับการโฆษณา พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 โดยต่อไปในอนาคตการโฆษณาจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของ สบส. ซึ่งเรื่องดังกล่าวยังอยู่ในการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)