ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -หนึ่งในคำค้นหามาแรงไต่อันดับในโลกออนไลน์เมื่อสัปดาห์ก่อน คงต้องยกให้ชื่อของ 'ดร.เซปิง ไชยศาส์น' หลังปลุกกระแสด้วยข่าวฉาวเข้าข่ายโฆษณาอวดอ้างข้อความอันเป็นเท็จ ผ่าตัดใบหน้าคืนความอ่อนเยาว์แก่นักร้องลูกทุ่งวัยดึก 'สุรชัย สมบัติเจริญ' กรณีโครงการ 'Face Off ผ่าแหลก ศัลยกรรม 10 อย่างบนหน้ากระชากความแก่จาก 60 ให้เหลือ 35 Dr.Xeping'
บางกระแสข่าวรายงานว่าหล่อนอ้างตนว่าเป็น แพทย์ศัลยกรรม บ้างก็ว่าหล่อนเป็น ลูกสาวอดีตนักการเมือง ประจวบ ไชยสาส์น โดยเจ้าตัวยืนกรานชัดเจน ทว่า ได้รับการยืนยันจากบุตรชายและภรรยาของนักการเมืองดังว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน บ้างก็ว่า หล่อนอ้างเป็นหลานสาวแพทย์ศัลยกรรมมือทอง แม้กระทั่ง ลือว่าหล่อนเป็นพวกต่างด้าวหนีเข้าเมืองมากอบโกยผลประโยชน์จากธุรกิจด้านความงาม ฯลฯ
หล่อนเป็นใครกันแน่?
จากการตรวจสอบเบื้องต้น ตามข้อมูลส่วนตัวที่ได้กล่าวอ้างภายในเว็บไซต์ให้บริการเสริมความงาม ดร.เซปิง (http://drxepingcosmeticsurgery.com) มีตำแหน่งเป็น ที่ปรึกษาส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจศัลยกรรมตกแต่งความงามให้กับโรงพยาบาล ได้ทำการโฆษณาชวนเชื่อว่า
“ทุกบริการด้านศัลยกรรมความงามจาก ด็อกเตอร์เซปิง (Dr.Xeping) ในโครงการเฟซออฟ (Face Off) ไม่ว่าจะเป็น ดึงหน้า (Face Lift) / ทําตาสองชั้น / ทำจมูก / ปรับโครงหน้า,ปรับรูปหน้า / ดูดไขมัน หรือ ทำซิกแพก ทำโดยแพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมมือหนึ่งของเมืองไทย รับประกันคุณภาพความปลอดภัยและความสวยงาม”
สำหรับข้อมูลเรื่องการศึกษาของ ดร.เซปิง ไชยศาส์น ระบุว่า ปี 2552 จบการศึกษาระดับปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ คณะวิทยาการจัดการ, ปี 2554 จบปริญญาโท Golf Management (MBA)และปี 2558 จบปริญญาเอก บริหารธุรกิจ (DBA) หากพิจารณาจากปีการศึกษาที่จบในแต่ละระดับนั้นมีความต่อเนื่อง จนทำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการร่ำเรียนจนได้ดีกรีด็อกเตอร์ในที่สุด นอกจากนี้ ยังมีรางวัลเกียรติคุณ ระบุยาว เหยียด อาทิ รางวัลเทพทอง ครั้งที่ 11 ในฐานะบุคคลดีเด่นด้านวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ดีเด่น, โล่เกียรติคุณ หม่อมงามจิตต์ บุรฉัตร ผู้ ประกาศ ผู้จัดรายการ - วิทยุกระจายเสียง และวิทยุโทรทัศน์ ฯลฯ
ข้อมูลเปิดเผยต่อไปว่า ก่อนหน้านี้หล่อนเคยได้รับฉายาว่า ไฮโซลูกทุ่ง และเป็นดีเจทางคลื่น FM 98 รวมทั้งผลิตและเป็นพิธีกรรายการ พุทธวจนคำสอนจากพุทธโอษฐ์ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ททบ.5 และ NBT
อย่างไรก็ตาม ความเคลือบแคลงที่สังคมมีต่อตัวตนที่แท้จริงของ ดร.เซปิง และกรณีฉาวโครงการFace Off ได้รับการเปิดเผยเป็นลำดับ พร้อมกับทวีความร้อนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เริ่มต้นที่การโฆษณาอวดอ้าง Face Off การศัลยกรรมใบหน้าคืนความอ่อนเยาว์ที่นำ สุรชัย สมบัติเจริญ นักร้องลูกทุ่งดังมาเป็นปลุกกระแสจนบิดเบือนข้อเท็จจริง ซึ่งประเด็นดังกล่าว ตามมาซึ่งการฟ้องร้องและการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะนำรูปแบบศัลยกรรมตกแต่งที่เรียกว่า Face Off (เฟซออฟ) มาใช้อวดอ้างในลักษณะโฆษณาแฝง บิดเบือนข้อเท็จจริง มีเจตนาสร้างความเข้าใจผิดแก่สาธารณะชน
ไม่ตรงตามหลักวิชาการทางการแพทย์ เพราะการศัลยกรรมใบหน้าโดยการใช้คำว่า Face Off นั้นไม่ถูกต้อง กลายๆ ว่าไม่มีภาษาแบบนี้ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยจาก นพ.ชลทิศ สินรัชตานันท์ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย นำทีมทนายเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ ดร.เซปิง ไชยศาส์น
โดยกล่าวว่า เรื่องที่มีการอวดอ้างสรรพคุณด้วยคำว่า Face Off เป็นการใช้ภาษาภาพยนตร์เพื่อหวังผลทางธุรกิจ ยิ่งโอ้อวดว่าสามารถทำให้คนอายุ 60 ปี มีใบหน้าหนุ่มลงมา 30 ปี โดยที่ความหนุ่มจะอยู่ทนทาน ทำให้ประชาชนเกิดความคาดหวังในวิวัฒนาการทางการแพทย์ไว้สูง
กรณีนักร้องลูกทุ่งชื่อดังที่ตกเป็นข่าวว่าทำ Face Off ที่จริงแล้วเป็นเพียงวิธีการดึงหน้าและปลูกผมเท่านั้น เป็นการศัลยกรรมธรรมดาทั่วไป ซึ่งทำได้หลายกรรมวิธี เช่น เลเซอร์, โบท็อกซ์ ฯลฯ แต่กระบวนการทั้งหมดไม่ใช่ Face Offไม่ใช่การเปลี่ยนใบหน้าตามที่หล่อนมีการอวดอ้างสรรพคุณ ที่สำคัญประเด็นดังกล่าวหากไม่มีผู้เกี่ยวข้องออกมาอธิบายจะสร้างความเสียหายต่อวงการแพทย์ไทยได้
โดยขอเรียกร้องให้ ดร.เซปิง ที่ออกมาสร้างกระแสดังกล่าวยุติการกระทำ เพราะส่งผลให้ประชาชนเกิดความคาดหวังสูงและเกิดความสับสน ซึ่งภายหลังแพร่ข่าวออกไปมีผู้โทรศัพท์ติดต่อสอบถามกับทางสมาคมฯ จำนวนมาก ตนจึงทำการตรวจสอบประวัติจากทางแพทยสภา แต่ปรากฏว่าหล่อนไม่ใช่แพทย์ส่งผลให้แพทยสภาก็ไม่สามารถเรียกสอบสวนได้
จึงหารือกับ นพ.ธนวรรฒน์ โชติมา นายกสมาคมศัลยกรรมและเวชศาสตร์เพื่อการเสริมสวยประเทศไทย ก่อนตัดสินใจเข้าแจ้งความดำเนินคดีตามที่กล่าวไปในข้างต้น ในข้อหานำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่จะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน นอกจากนี้ ทางทนายยังตรวจพบพฤติกรรมของ ดร.เซปิง ว่า เข้าข่ายกระทำการโอ้อวดสรรพคุณโดยที่ตัวเองไม่ได้เป็นแพทย์ นำชื่อและผลงานของ นพ.ชลทิศ สินรัชตานันท์ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทยไปใช้แอบอ้างโดยไปโพสต์ในโซเชียลมีเดียหลายชิ้นด้วยกัน นอกจากนี้ยังมี ความกังวลเรื่องการแอบอ้างเป็นหลานสาวเพื่อไปใช้แสวงหาผลประโยชน์ เพราะมีผู้โทรสอบถามเข้ามาทางสมาคมฯ ด้วย
นพ.ธนวรรฒน์ แสดงความคิดเห็นต่อพฤติกรรมของ ดร.เซปิง ว่าธุรกิจศัลยกรรมตอนนี้กำลังรุ่งโรจน์ ติด 1 ใน 5 ของธุรกิจดาวรุ่งในปัจจุบัน จึงมีผู้พยายามเข้ามาลงทุนในธุรกิจนี้หลายรูปแบบ แต่การใช้วิธีชี้นำสังคมด้วยการอวดอ้างเกินจริงนั้นไม่ถูกต้อง ขณะเดียวกัน นักร้องชื่อดังเองแทนที่จะไปปรึกษาแพทย์ศัลยกรรมโดยตรงกลับพึ่งพาคนแบบนี้ ซึ่งมีทั้งการนำข้อมูลและผลงานของบุคคลอื่นไปใช้โฆษณาในการประชาสัมพันธ์ มีการตั้งตัวเป็นเสมือนแพทย์ศัลยกรรม ในส่วนนี้จะต้องรีบดำเนินการ เพื่อรักษาจรรยาบรรณแพทย์ให้คงความบริสุทธิ์ ลดความสับสน และสร้างความปลอดภัยให้ประชาชนด้วย
ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบพบว่า ดร.เซปิง ไชยศาส์น ได้ทำการเปลี่ยนชื่อ 4 ครั้งด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ปี 2547 เปลี่ยนจาก ณัฎฐธิดา เป็น ณัชชากร ต่อมาปี 2550 เปลี่ยนเป็น อมริสา ถัดมาปี 2551 เปลี่ยนเป็น ณัฐรดา และสุดท้ายในปี 2552 ได้ทำการเปลี่ยนทั้งชื่อและนามสกุลเป็น เซปิง ไชยศาส์น ขณะที่ตรวจสอบเรื่องบิดาในทะเบียนราษฎร์ ไม่พบความเกี่ยวข้องกับนักการเมืองดัง ประจวบ ไชยสาส์น แต่อย่างใด
ขณะที่ทาง สำนักบริหารการทะเบียน ชี้แจงถึงกระแสข่าวที่ ดร.เซปิง เป็นคนต่างด้าว มีสัญชาติเวียดนาม ว่า จากการตรวจสอบพบว่า น.ส.เซปิง ไชยศาส์น อายุ 43 ปี สัญชาติไทย อาศัยอยู่ที่ ต.ไทรม้า อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งบิดาและมารดามีสัญชาติไทยเช่นเดียวกัน
สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง นพ.ชลทิศ สินรัชตานันท์ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย ผู้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ ดร.เซปิง ไชยศาส์น ที่ปรึกษาส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจศัลยกรรมตกแต่งความงาม เปิดเผยว่า ครั้งหนึ่งทั้งคู่เคยเป็นคู่หูเกื้อหนุนธุรกิจศัลยกรรมเสริมความงาม แต่มีปัญหาบางประการจึงตัดขาดกันไป งานนี้ทำเอาใครต่อใครต้องสงสัยไปตามๆ กัน ว่าที่คุณหมอออกโรงดำเนินคดีครั้งนี้ มีประเด็นขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจหรือเปล่า? แต่งานนี้ใครไม่ทราบเบื้องลึกเบื้องหลังก็คงเข้าใจไปว่า คนวงการแพทย์ตระหนักถึงผู้บริโภคตาดำๆ ออกมาปกป้องสิทธิก่อนจะเกิดความเสียหายอันใหญ่หลวง
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวของ นายกสมาคมศัลยกรรมฯ สะเทือนไปทั้งเมือง เพราะหลายหน่วยงานตบเท้าออกมาไล่บี้เอาความกับทาง ดร.เซปิง รวมทั้งแพทย์และสถานพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับโครงการ Face Off ผ่าแหลก ศัลยกรรม 10 อย่างบนหน้ากระชากความแก่จาก 60 ให้เหลือ 35 Dr.Xeping อาทิ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข, สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลป, สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ฯลฯ
น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพฯ กล่าวถึงกรณี ดร.เซปิง ไชยศาส์น กล่าวถึง กรณีการผ่าตัดศัลยกรรมคืนความหนุ่มให้นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง สุรชัย สมบัติเจริญ เป็นการทำศัลยกรรมให้ใบหน้าดูดีขึ้น โดยลดริ้วรอย เพิ่มความเต่งตึง ซึ่งมี 2 เทคนิค คือ 1. เฟซลิฟต์ ( Face Lift) เป็นการดึงหน้า ทำตา ปลูกผมเพื่อให้ดูดีขึ้น ทำในผู้ที่มีปัญหาใบหน้าเหี่ยวย่น หย่อนยานหลายๆจุด และ 2. เฟซล็อก ( Face Lock) เป็นการล็อกใบหน้าเฉพาะจุดที่มีปัญหา เช่น รอบดวงตา มุมปาก หรือคิ้ว เป็นต้น ส่วนใหญ่ทำในกลุ่มที่อายุยังไม่มาก กรรมวิธีทำทั้ง 2 รูปแบบเหมือนกัน ไม่ใช่นวัตกรรมใหม่แต่อย่างใด หลังทำจะช่วยให้มีความเต่งตึงชั่วคราวเท่านั้น และต้องทำใหม่เมื่อมีริ้วรอยปรากฏโดยที่เค้าโครงใบหน้ายังเหมือนเดิม
ส่วนการทำFace Off เป็นการผ่าตัดเปลี่ยนใบหน้าไม่ให้เหมือนใบหน้าเดิม และใช้การผ่าตัดหลายขั้นตอน เพื่อผ่าตัดเปลี่ยนใบหน้าไม่ให้เหมือนใบหน้าเดิม มักใช้ในกรณีบุคคลที่มีปัญหารุนแรงติดตัว หนีคดี เป็นหน้าใหม่ในร่างกายเดิม ไม่ให้คนรู้จักหรือสังคมจดจำได้ สำหรับในประเทศไทยยังไม่มีแพทย์ศัลยกรรมความงามคนใดกล้ารับทำFace Off เพราะอาจเข้าข่ายกระทำผิดด้านจริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ แม้กระทั่งการทำผ่าตัดใบหน้าที่ประเทศเกาหลีใต้ก็ตาม เป็นเพียงการผ่าตัดทำให้ใบหน้าสวยขึ้นแต่ยังคงเค้าโครงใบหน้าเดิมไว้ Face Off จึงเป็นเพียงการใช้คำศัพท์เพื่อหวังผลในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจซึ่งไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง ถือเป็นการหลอกลวงและกระตุ้นความอยากของประชาชนเชื่อมโยงไปยังสถานพยาบาลที่ ดร.เซปิง นำตัว สุรชัย สมบัติเจริญ เข้าผ่าตัดศัลยกรรมใบหน้า ในโครงการFace Off โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมล เบื้องต้นเป็นสถานพยาบาลที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสถานพยาบาลถูกต้องตามกฎหมาย ให้บริการเฉพาะทางในเรื่องการศัลยกรรมตกแต่ง เสริมความงาม ปรับสภาพร่างกายให้ดูดีขึ้นทั้งใบหน้า ผิวหนังและการแปลงเพศ ซึ่งพบว่าดำเนินการได้ตามที่มาตรฐานกำหนด ทั้งนี้ ทางโรงพยาบาลได้ปฏิเสธไม่มีส่วนรู้เห็นการเผยแพร่ข้อมูลเกินจริงในดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม หากพบแพทย์หรือสถานพยาบาลมีการเชื่อมโยง มีส่วนได้ส่วนเสีย รู้เห็นเป็นใจกับการโฆษณาของ ดร.เซปิง จะเข้าข่ายมีความผิดตามมาตรา 38 พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 และประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 11 พ.ศ. 2546 เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการโฆษณาสถานพยาบาล มีโทษปรับ20,000บาท และโทษปรับรายวันอีกวันละ 10,000 บาท จนกว่าจะเลิกโฆษณานั้นๆ รวมทั้งหากเกี่ยวเนื่องกับแพทย์ก็จะส่งให้แพทยสภาพิจารณาด้านจริยธรรมในวิชาชีพ ขณะที่สถานพยาบาลก็จะถูกตรวจสอบการพักใช้ใบอนุญาต ไปจนรุนแรงอาจถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาตเปิดสถานพยาบาล
สำหรับพฤติกรรมของ ดร.เซปิง เจ้าของโครงการ Face Off มีความผิดชัดเจนตามกฎหมายของ สคบ. สามารถดำเนินคดีด้านการโฆษณาเกินจริง ขณะที่การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดียจะสามารถเอาผิดได้ตามระเบียบของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
ทั้งนี้ จะมีการตั้งคณะกรรมการคุ้มครองประชาชนด้านสุขภาพและความงาม ที่ประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ, แพทยสภา, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา, กรมสอบสวนคดีพิเศษ ฯลฯ ขึ้นมาทำหน้าที่ดูช่องว่างของกฎหมายและออกข้อบังคับให้ครอบคลุม โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นเอเยนซี เพราะที่ผ่านมามีเพียงการห้ามแพทย์และสถานพยาบาลโฆษณาเกินจริงเท่านั้น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ
“การออกมาให้ข้อมูลเรื่อง Face Off ของ ดร.เซปิง ไชยศาส์น เป็นการโฆษณาอวดอ้าง ประชาสัมพันธ์เกินจริงหรือไม่นั้น จากการตรวจสอบถือเป็นการให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงตามหลักวิชา และมีการบอกว่าทำแล้วจะลดอายุได้มาก ซึ่งข้อมูลทางวิชาการไม่ได้บอกขนาดนั้น เพราะการลดอายุอยู่ที่แต่ละบุคคล อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก ดร.เซปิง ไม่ใช่แพทย์ ไม่ใช่สถานพยาบาล แต่เป็นเอเยนซี การเอาผิดจึงเป็นส่วนของ สคบ. เพราะมีกฎหมายในมืออยู่แล้ว ซึ่ง สบส. ได้มีการประสานไปยัง สคบ. แล้ว ส่วนชื่อโครงการ Face Off ผ่าแหลกศัลยกรรม 10 อย่างบนหน้ากระชากความแก่จาก 60 ให้เหลือ 35 Dr.Xeping” ถือว่าผิดกฎหมายของ สคบ. ด้วย” อธิบดี สบส. กล่าว
ขณะที่ ดร.เซปิง โร่ตั้งโต๊ะแถลงข่าวพร้อมทนายความคู่ใจ ตกเป็นข่าวฉาวทั้งตัวตนที่ไม่ชัดเจน และโครงการ Face Off ที่เข้าข่ายโฆษณาอวดอ้างเกินจริง ตัดทอนใจความสำคัญ ความว่า
“ประเด็นที่กล่าวหาว่าเซปิงโฆษณา เรื่องนี้ไม่เคยมีการโฆษณาเลย เป็นเพียงแค่การให้สัมภาษณ์พูดคุยในรายการที่เคยได้ไปออกสัมภาษณ์มา และการแถลงข่าวของโครงการ Face Off by Dr.Xeping ที่ผ่านมา ในการแถลงข่าวในครั้งนั้นตัวเซปิงเองไม่เคยพูดถึงชื่อคุณหมอที่จะทำศัลยกรรมให้กับคุณสุรชัยเลย และไม่เคยกล่าวถึงชื่อโรงพยาบาลที่ทำแต่อย่างใด นี่คือความสัตย์จริง”
“ตอนนี้เราคงต้องรอว่าการผ่าตัดของคุณสุรชัยจะออกมาเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ใช่มากล่าวหากันว่าทำไม่ได้จริง คุณสุรชัยเองก็ยังอยู่ในระหว่างการดูแลตัวเอง ก็คงต้องรอกันสักระยะหนึ่งอีกไม่นานนักค่ะ และหลังจากที่คุณสุรชัยออกม
าแล้วเขากระชากวัยได้จริง เขาดูหนุ่มขึ้นจริง เขาดูดีขึ้นจริง หมอชลธิศจะว่าอย่างไรคะ”
“ประเด็นที่ใช้ชื่อโครงการ Face Off กับคุณสุรชัยในครั้งนี้ เพราะคำว่า Face Off ในความหมายของเซปิงเองเป็นเสรีภาพทางความคิด ไม่มีสิ่งใดบอกว่าถูกหรือผิด Face Off ก็คือใบหน้าของคนๆ หนึ่งที่จะดูดีขึ้น ดูหนุ่มขึ้น เปลี่ยนจากความไม่มั่นใจเป็นบุคลิกภาพใหม่ที่มั่นใจ นั่นคือความสุขของคุณสุรชัยนั่นเอง นี่คือสิ่งที่ Face Off ของโครงการนี้ได้หมายถึงนั่นเองค่ะ”
ด้าน ดร.เซปิง ตอบข้อสงสัยทุกประเด็น ทั้งยอมรับว่าเคยร่วมงานกับ นพ.ชลธิศ และตัดพ้อที่โดนฟ้องร้องทั้งที่มีเจตนาส่งเสริมวงการศัลยกรรมไทย ยืนยันว่าเป็นคนไทยมีสัญชาติไทย และยังยืนว่าเป็นลูกสาวนักการเมืองคนดัง แม้ทางญาติของนักการเมืองออกมาให้การปฏิเสธอย่างชัดเจน และปฏิเสธทุกข้อครหาในการแอบอ้าง
“ประเด็นที่หมอชลธิศหรือใครก็แล้วแต่ที่ไปร้องที่ สคบ. ว่าตัวเซปิงทำผิด พ.ร.บ.สถานพยาบาล เซปิงไม่ได้เป็นหมอ ไม่ได้เป็นแพทย์ ไม่ได้มีสถานพยาบาลเป็นของตัวเอง เป็นเพียงแค่ที่ปรึกษาค่ะ ก็คงต้องไปถามหมอชลธิศว่าที่ผ่านมาหมอชลธิศให้ใครบ้างที่โฆษณาสถานพยาบาลของตนเอง เดิมทีเซปิงก็เป็นคนแนะนำลูกค้า หรือที่หมอชลธิศเรียกว่าคนไข้ไปให้หมอชลธิศเยอะพอสมควรเลยค่ะ เราเคยร่วมงานกันมานะคะ มีเรื่องมากมายที่เกิดขึ้นในคลินิกของคุณหมอชลธิศ แต่เซปิงเองก็ตั้งใจมากที่จะทำงานทุกอย่างให้ออกมาดีค่ะ (เสียงสั่นเครือ) ไม่ว่าคุณหมอจะให้ทำอะไร เราก็ตั้งใจทำให้ดีที่สุด แต่ก็ไม่คิดนะคะว่าในครั้งนี้มันจะเกิดเหตุการณ์ได้ถึงขนาดนี้เลย ในเมื่อโครงการ Face Off ขึ้นมา เราต้องการทำให้ประเทศไทย ทำให้ชื่อเสียงของหมอไทยเราโด่งดังไปทั่วโลกและเมืองไทยเป็นศุนย์กลางของเอเชียแปซิฟิก (สะอึกสะอื้น) ที่ผ่านมาแนะนำลูกค้าให้คุณหมอชลธิศไปเยอะมากค่ะ แต่ก็มีหลายเหตุผลนะคะที่หลังจากนี้แล้วไม่ได้แนะนำให้เขาอีก ถ้าพูดไปก็เกรงว่าเขาจะเสียหายค่ะ แต่ไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์อย่างแน่นอนค่ะ และเร็วๆ นี้กำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะเข้าร้องเรียนต่อแพทย์สภาหรือไม่ ก็คงต้องให้เป็นทีมที่ปรึกษาด้านทนายดูแลต่อไปค่ะ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์เอง แต่สำหรับคุณสุรชัย เซปิงต้องแนะนำให้กับคุณหมอท่านอื่น ซึ่งไม่ใช่หมอชลธิศ ดังนั้นที่กล่าวหาว่าเซปิงไม่ใช่คนไทย ถ้าไม่ใช่คนไทยจะจบปริญญาตรี โทและเอกได้อย่างไรคะ และเมื่อใดก็ตามที่ได้รับหนังสือจากหน่วยงานใดๆ ซึ่งในขณะนี้ยังไม่ได้รับเลย ก็ยินดีจะไปให้ขอชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งหมดค่ะ สำหรับประเด็นสุดท้ายคิดว่าจะทำโครงการ Fac Off by Dr.Xeping ต่อไปและจะทำให้ดีให้ได้ค่ะ”
กลายๆ ว่าแพทย์จะคิดเป็นเช่นไรนั่นเป็นอีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งหล่อนมีความเชื่อมั่นเต็มร้อยว่าโครงการ Face Off นั้นไม่ได้มีการอวดอ้างเกินจริงแม้แต่นิดเดียว ทั้งยังพูดเต็มปากเต็มคำว่าถ้าทางหน่วยงานใดต้องการตรวจสอบก็ยินดีให้ความร่วมมือ แต่ดันมีรายงานข่าวไล่หลังว่า หล่อนเบี้ยวนัด สคบ. หลังมีการออกหนังสือเรียกมาชี้แจงกรณีโฆษณาโอ้อวดสรรพคุณทางการแพทย์เกินจริง เกี่ยวกับการทำศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า Face Off ทั้งนี้ หากไม่มาตามนัดถือว่ามีความผิด และจะต้องถูกดำเนินการทางกฎหมาย
คงต้องติดตามกันต่อประเด็น Face Off by Dr.Xeping ที่สร้างปั่นปวนต่อแวดวงศัลยกรรมไทย ชะตากรรมของเอเจนซี่นามว่า 'ดร.เซปิง' จะลงเอ่ยอย่างไร แต่งานนี้แอบสังเกตเห็นรอยยิ้มมุมปากของหล่อนในตอนหนึ่งพร้อมกับคำพูดทำนองว่า โครงการ Face Off ได้รับกระแสดีมากและจะเดินหน้าต่อไป ก็งานนี้ Tie-in ผ่านสื่อทั้งประเทศจะได้รับความสนใจได้อย่างไรกันเล่า!