อดีต สปช.จวกทุนอนุรักษ์พลังงานฯ กระหายรีดเงินผู้ใช้น้ำมันเพิ่ม ทั้งที่ยังแก้ตัวยอดเงินหายปี 58 ไม่เคลียร์ เตือนนำเงินไปทำโครงการตามใจชอบโดยไม่ผ่านกระบวนการพิจารณาตามพระราชบัญญัติงบประมาณ ระวังจะกลายเป็นทุจริตเชิงนโยบาย
น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กส่วนตัว รสนา โตสิตระกูล หัวข้อ “อย่าปล่อยให้กองทุนอนุรักษ์พลังงานล้วงกระเป๋าคนใช้น้ำมันอย่างมืดบอดอีกต่อไป” หลังกองทุนอนุรักษ์พลังงานชงรีดเงินจากผู้ใช้น้ำมันเพิ่มลิตรละ 50 สตางค์ ตามข้อความดังนี้
“บอร์ดกองทุนอนุรักษ์พลังงานยังไม่ทันจะเคลียร์ยอดเงินที่ขาดหายไป จากรายงานแสดงฐานะการเงินของกองทุนฯ ในปี 2558 อย่างครบถ้วน แต่กลับกล้าที่จะชงเรื่องล้วงกระเป๋าคนใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นเป็นลิตรละ 50 สตางค์ เท่ากับล้วงกระเป๋าคนใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นทีเดียว 100% เลย
รายงานฐานะการเงินของกองทุนอนุรักษ์พลังงานในปี 2558 มียอดเงิน 3 เดือนที่ยอดคงเหลือและยอดยกมาไม่เท่ากัน คือ เดือนพฤษภาคม, มิถุนายน และธันวาคม ทำให้มียอดเงินขาดหายไป 16,949.59 ล้านบาท หลังจากที่ดิฉันและกลุ่มจับตาปฏิรูปพลังงานไทยได้ยื่นเรื่องถึงนายกรัฐมนตรีผ่านประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้ตรวจสอบยอดเงินที่ขาดหายไป และการใช้เงินกองทุนย้อนหลัง 10 ปี
ทางผู้บริหารกระทรวงพลังงานจึงรีบออกมาแก้ไขตัวเลขยอดคงเหลือและยอดรายรับในเดือนธันวาคม 2558 แสดงว่า ยอมรับว่ามียอดเงินขาดหายไปจริง ไม่ใช่เกิดจากความผิดพลาดของระบบตามที่กล่าวอ้าง แต่ยอดเงินที่ขาดหายไปอีก2เดือนในเดือนพฤษภาคม และมิถุนายนอีก 9,443.43 ล้านบาทยังไม่ได้มีการชี้แจงว่าหายไปไหน จะอ้างเหมือนเดิมอีกหรือไม่ว่า ยอดเงิน 9,443.43 ล้านบาทก็ถูกส่งคืนกระทรวงคลังเพื่อเอาไปทำยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศ !?!
การเพิ่มการรีดเงินจากผู้ใช้น้ำมันเป็นลิตรละ 50 สตางค์ จะทำให้กองทุนอนุรักษ์พลังงานมีเงินเพิ่มขึ้นจากปีละ 9,000 ล้านบาทเป็นปีละ 18,000 ล้านบาทซึ่งเป็นยอดเงินมหาศาล
ต้องตั้งคำถามว่าภารกิจของกองทุนอนุรักษ์พลังงานเป็นภารกิจที่ผิดฝาผิดตัวหรือไม่? การเก็บเงินคนใช้น้ำมัน แต่เอาไปสนับสนุนเรื่องอนุรักษ์ไฟฟ้า และให้ทุนกู้ยืมกับธุรกิจเอกชนเป็นการเอาเนื้อหนูไปปะเนื้อช้างหรือไม่ ยิ่งกว่านั้นยังเอาไปเป็นทุนศึกษาวิจัยเรื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อีกด้วย เหตุใดไม่ไปเก็บเงินจากธุรกิจโรงไฟฟ้าเอกชนแทนการรีดเงินจากคนใช้น้ำมันที่มีตั้งแต่คนหาเช้ากินค่ำ
การเก็บเงินจากคนใช้น้ำมันเข้ากองทุนอนุรักษ์พลังงานเพิ่มขึ้น จะถูกมองได้ว่า เป็นการใช้กองทุนอนุรักษ์พลังงานเป็นที่พักเงินจากการล้วงกระเป๋าประชาชนเพื่อถ่ายโอนไปทำโครงการตามใจชอบที่อยู่นอกระบบงบประมาณโดยไม่ได้ผ่านกระบวนการพิจารณาตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ระวังจะกลายเป็นการทุจริตเชิงนโยบาย ที่อาศัยการออกระเบียบมาล้วงกระเป๋าประชาชนโดยไม่ชอบธรรม
น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กส่วนตัว รสนา โตสิตระกูล หัวข้อ “อย่าปล่อยให้กองทุนอนุรักษ์พลังงานล้วงกระเป๋าคนใช้น้ำมันอย่างมืดบอดอีกต่อไป” หลังกองทุนอนุรักษ์พลังงานชงรีดเงินจากผู้ใช้น้ำมันเพิ่มลิตรละ 50 สตางค์ ตามข้อความดังนี้
“บอร์ดกองทุนอนุรักษ์พลังงานยังไม่ทันจะเคลียร์ยอดเงินที่ขาดหายไป จากรายงานแสดงฐานะการเงินของกองทุนฯ ในปี 2558 อย่างครบถ้วน แต่กลับกล้าที่จะชงเรื่องล้วงกระเป๋าคนใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นเป็นลิตรละ 50 สตางค์ เท่ากับล้วงกระเป๋าคนใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นทีเดียว 100% เลย
รายงานฐานะการเงินของกองทุนอนุรักษ์พลังงานในปี 2558 มียอดเงิน 3 เดือนที่ยอดคงเหลือและยอดยกมาไม่เท่ากัน คือ เดือนพฤษภาคม, มิถุนายน และธันวาคม ทำให้มียอดเงินขาดหายไป 16,949.59 ล้านบาท หลังจากที่ดิฉันและกลุ่มจับตาปฏิรูปพลังงานไทยได้ยื่นเรื่องถึงนายกรัฐมนตรีผ่านประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้ตรวจสอบยอดเงินที่ขาดหายไป และการใช้เงินกองทุนย้อนหลัง 10 ปี
ทางผู้บริหารกระทรวงพลังงานจึงรีบออกมาแก้ไขตัวเลขยอดคงเหลือและยอดรายรับในเดือนธันวาคม 2558 แสดงว่า ยอมรับว่ามียอดเงินขาดหายไปจริง ไม่ใช่เกิดจากความผิดพลาดของระบบตามที่กล่าวอ้าง แต่ยอดเงินที่ขาดหายไปอีก2เดือนในเดือนพฤษภาคม และมิถุนายนอีก 9,443.43 ล้านบาทยังไม่ได้มีการชี้แจงว่าหายไปไหน จะอ้างเหมือนเดิมอีกหรือไม่ว่า ยอดเงิน 9,443.43 ล้านบาทก็ถูกส่งคืนกระทรวงคลังเพื่อเอาไปทำยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศ !?!
การเพิ่มการรีดเงินจากผู้ใช้น้ำมันเป็นลิตรละ 50 สตางค์ จะทำให้กองทุนอนุรักษ์พลังงานมีเงินเพิ่มขึ้นจากปีละ 9,000 ล้านบาทเป็นปีละ 18,000 ล้านบาทซึ่งเป็นยอดเงินมหาศาล
ต้องตั้งคำถามว่าภารกิจของกองทุนอนุรักษ์พลังงานเป็นภารกิจที่ผิดฝาผิดตัวหรือไม่? การเก็บเงินคนใช้น้ำมัน แต่เอาไปสนับสนุนเรื่องอนุรักษ์ไฟฟ้า และให้ทุนกู้ยืมกับธุรกิจเอกชนเป็นการเอาเนื้อหนูไปปะเนื้อช้างหรือไม่ ยิ่งกว่านั้นยังเอาไปเป็นทุนศึกษาวิจัยเรื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อีกด้วย เหตุใดไม่ไปเก็บเงินจากธุรกิจโรงไฟฟ้าเอกชนแทนการรีดเงินจากคนใช้น้ำมันที่มีตั้งแต่คนหาเช้ากินค่ำ
การเก็บเงินจากคนใช้น้ำมันเข้ากองทุนอนุรักษ์พลังงานเพิ่มขึ้น จะถูกมองได้ว่า เป็นการใช้กองทุนอนุรักษ์พลังงานเป็นที่พักเงินจากการล้วงกระเป๋าประชาชนเพื่อถ่ายโอนไปทำโครงการตามใจชอบที่อยู่นอกระบบงบประมาณโดยไม่ได้ผ่านกระบวนการพิจารณาตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ระวังจะกลายเป็นการทุจริตเชิงนโยบาย ที่อาศัยการออกระเบียบมาล้วงกระเป๋าประชาชนโดยไม่ชอบธรรม