พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. กล่าวถึงกรณี ครม. อนุมัติปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตบุหรี่ ส่งให้ราคาบุหรี่ปรับขึ้นซองละ 5-10 บาท โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ.59 เป็นต้นไป ว่า ส่วนตัวเห็นด้วยในการขึ้นราคา เพื่อให้คนลดการสูบบุหรี่ แต่คงไม่สามารถห้ามได้ เพราะจะกระทบกับการค้ากับต่างประเทศ อีกทั้งยังถือเป็นว่าสุขของคนจน ซึ่งหากจะเลิกก็ต้องเลิกด้วยตนเอง กฎหมายคงทำอะไรไม่ได้ เช่นเดียวกับเหล้า และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
"ประชาชนอย่าโง่ เสพอะไรที่ไม่บริสุทธิ์ ก่อนสูบดูด้วยว่ายัดอะไรสกปรกโสโครกเข้ามาบ้าง ติดไปแล้วตายทุกคน พอเลิกก็เป็นหนี้ อย่างดื่มเหล้าก็เมาหัวทิ่ม ไม่มีเงินจ่ายก็ยังยอมเป็นหนี้กันอีก" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ด้านนางวราภรณ์ นะมาตร์ ผู้อำนวยการบริหารสมาคมการค้ายาสูบไทย ซึ่งเป็นตัวแทนสมาชิกร้านค้าปลีกโชห่วยที่ขายบุหรี่ทั่วประเทศกว่า 1,300 ราย กล่าวว่า การขึ้นภาษีสรรพสามิตครั้งนี้ ถือว่ารุนแรงมาก เมื่อคำนวณออกมาแล้วถือว่าขึ้นครั้งเดียวถึง 35%
เมื่อเร็วๆ นี้กระทรวงการคลัง แถลงผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2559 (ต.ค.-พ.ย.58) ปรากฏว่า ภาษียาสูบจัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการอยู่ 1,129 ล้านบาท สาเหตุเนื่องมาจากผู้บริโภคได้เปลี่ยนมาบริโภคยาสูบราคาถูกเพิ่มมากขึ้น การที่ภาษีปรับขึ้นสูงแบบนี้ จึงน่าเป็นห่วง เพราะสิ่งที่จะตามมาคือ การผลักให้ผู้บริโภคหันไปหาซื้อสินค้าราคาถูกทดแทน และเปิดช่องให้บุหรี่ผิดกฎหมายขยายตัวได้เพิ่มขึ้น ทั้งของเถื่อน ของลักลอบ และของปลอม ซึ่งมีราคาต่ำกว่ามาก
"การขึ้นภาษีในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว ก็จะยิ่งทำให้พวกเราที่ขายของแบบถูกกฎหมาย ขายได้ลดลงอยู่แล้ว แต่นี่กลายเป็นเรามาถูกซ้ำเติม จากการขายแข่งกับบุหรี่ผิดกฎหมายในตลาดมืดอีก ซึ่งตรงนี้จะมีหน่วยงานไหนเข้ามาดูแลผลกระทบ มองว่าในระยะยาวภาครัฐเองก็จะสูญเสียรายได้จากการเก็บภาษีตรงนี้ไปอย่างมาก ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะคุ้มหรือไม่ จากการตัดสินใจขึ้นภาษีในครั้งนี้" นางวราภรณ์ กล่าว
"ประชาชนอย่าโง่ เสพอะไรที่ไม่บริสุทธิ์ ก่อนสูบดูด้วยว่ายัดอะไรสกปรกโสโครกเข้ามาบ้าง ติดไปแล้วตายทุกคน พอเลิกก็เป็นหนี้ อย่างดื่มเหล้าก็เมาหัวทิ่ม ไม่มีเงินจ่ายก็ยังยอมเป็นหนี้กันอีก" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ด้านนางวราภรณ์ นะมาตร์ ผู้อำนวยการบริหารสมาคมการค้ายาสูบไทย ซึ่งเป็นตัวแทนสมาชิกร้านค้าปลีกโชห่วยที่ขายบุหรี่ทั่วประเทศกว่า 1,300 ราย กล่าวว่า การขึ้นภาษีสรรพสามิตครั้งนี้ ถือว่ารุนแรงมาก เมื่อคำนวณออกมาแล้วถือว่าขึ้นครั้งเดียวถึง 35%
เมื่อเร็วๆ นี้กระทรวงการคลัง แถลงผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2559 (ต.ค.-พ.ย.58) ปรากฏว่า ภาษียาสูบจัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการอยู่ 1,129 ล้านบาท สาเหตุเนื่องมาจากผู้บริโภคได้เปลี่ยนมาบริโภคยาสูบราคาถูกเพิ่มมากขึ้น การที่ภาษีปรับขึ้นสูงแบบนี้ จึงน่าเป็นห่วง เพราะสิ่งที่จะตามมาคือ การผลักให้ผู้บริโภคหันไปหาซื้อสินค้าราคาถูกทดแทน และเปิดช่องให้บุหรี่ผิดกฎหมายขยายตัวได้เพิ่มขึ้น ทั้งของเถื่อน ของลักลอบ และของปลอม ซึ่งมีราคาต่ำกว่ามาก
"การขึ้นภาษีในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว ก็จะยิ่งทำให้พวกเราที่ขายของแบบถูกกฎหมาย ขายได้ลดลงอยู่แล้ว แต่นี่กลายเป็นเรามาถูกซ้ำเติม จากการขายแข่งกับบุหรี่ผิดกฎหมายในตลาดมืดอีก ซึ่งตรงนี้จะมีหน่วยงานไหนเข้ามาดูแลผลกระทบ มองว่าในระยะยาวภาครัฐเองก็จะสูญเสียรายได้จากการเก็บภาษีตรงนี้ไปอย่างมาก ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะคุ้มหรือไม่ จากการตัดสินใจขึ้นภาษีในครั้งนี้" นางวราภรณ์ กล่าว