ทีมงานแต่งรัฐธรรมนูญยังเดินสายไปอธิบายให้ชาวบ้านฟังต่างจังหวัด ยกประเด็นดีๆ เสนอให้รับก่อนถึงวันทำประชามติ กำหนดชะตากรรมบ้านเมือง ขณะที่มีเสียงเห็นด้วยและคัดค้าน รวมทั้งข้อเสนอแนะต่างๆ ว่าบ้านนี้เมืองนี้ควรมีรัฐธรรมนูญแบบไหนดี
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาจากความคิดของนักร่างฯ 20 กว่าคน แต่หัวกะทิคือท่านมีชัยไทยแลนด์ นักแต่งรัฐธรรมนูญและเขียนกฎหมายมืออาชีพ คนกลุ่มนี้คัดสรรโดยวิธีพิเศษมีอำนาจร่างกฎหมายสูงสุดของประเทศเพื่อบังคับใช้กับประชาชนกว่า 67 ล้านคน
ถ้าใครถามว่าทำไมชาวบ้านต้องยอมรับความคิดของคนกลุ่มนี้ สุดยอดแล้วหรือ ดีกว่าความคิดของคนร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากประชาชนหรือ? ต้องบอกว่าใครจะร่างฯ ก็ช่างเถอะ แต่เหมาะสมดีกับสังคมการเมืองไทยหรือไม่เป็นอีกเรื่อง
ร่างฯ ฉบับมีชัยไทยแลนด์มีหลายประเด็นซึ่งผู้รู้และผู้ร้อนวิชาบอกว่า ต่อให้เทวดาพาพระอินทร์ลงมาร่างฯ ให้ดีเด่นอย่างไร ถ้าพวกนักซื้อเสียงเลือกตั้งหน้าเดิมๆ ยังวนเวียนอยู่ บ้านเมืองคงติดอยู่ในกับดักประชาธิปไตยน้ำเน่า มีแต่พวกตัวโกง ไร้จิตวิญญาณรักชาติ
จะผ่านประชามติหรือไม่ ถ้าไม่ผ่านบ้านเมืองจะไปอย่างไร ชาวบ้านไม่มีทางเลือก ให้สถานการณ์เป็นตัวกำหนด แต่ถ้าเรานั่งคิดจริงจังแบบไม่ต้องมองโลกสวยหรือในแง่ร้ายเกินไป เราต้องพยายามตอบคำถามให้ได้ว่าในสภาวะปัจจุบัน บ้านเมืองเรามีอนาคตมั้ย
เรามีปัญหาขาดแคลนคนระดับผู้นำ ปัญหามุมมองทัศนคติ คนมีแนวคิดสาธารณะ ในช่วง 4-5 ทศวรรษที่ผ่านมา เราขาดการพัฒนาทรัพยากรบุคคลอย่างรุนแรง โดยเฉพาะต้นแบบแนวคิดด้านจิตสำนึกความเป็นชาติ ความรู้สึกร่วมกัน ความรักชาติเริ่มจางหาย
ถ้าเราพยายามมองหาดูว่าประเทศไทยมีผู้นำรุ่นใหม่ภาคการเมือง เศรษฐกิจ สังคม มีวิสัยทัศน์ ใจซื่อมือสะอาด กล้าหาญพร้อมเสียสละ มีจิตวิญญาณเพื่อประโยชน์สาธารณะยืนหยัดเพื่อประชาชนทั้งในภาคราชการและเอกชน คำตอบน่าจะเป็น “ยังมองไม่เห็น”
ไม่มีจริงๆ ยิ่งภาคราชการทุกส่วนเห็นแต่คนมีความคิดยึดติดกรอบเดิม ตามไม่ทันโลก ไม่กล้าแสดงออกเพื่อประโยชน์สาธารณะ ขาดจิตวิญญาณด้านประชาธิปไตย ที่ผ่านมาเราเพียงได้เห็นนักวิชาการ อาจารย์พวกกล้าเสี่ยงเพียงไม่กี่รายแต่ไม่มีโอกาสได้เป็นใหญ่
คนระดับผู้นำทั้งภาคธุรกิจเอกชน ข้าราชการ มีพวกนักซุ่มนิ่ง สงวนสถานภาพของตัวเองไม่ยอมเสี่ยงเป็นปากเสียงเรื่องทุกข์ร้อนของชาวบ้าน บางกลุ่มอยู่ในสภาพรอตีกินถ้าสถานการณ์เป็นใจ “เมื่อผู้ใหญ่เรียกให้เข้าไปช่วยเหลือบ้านเมือง” ธาตุแท้เป็นพวกตาขาว
สถานการณ์บ้านเมืองในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เราไม่เคยมีผู้นำการเมืองแท้จริง มีเพียงนักการเมืองตามฤดูกาลเลือกตั้ง ไม่มีใครโดดเด่นที่ประชาชนมองดูแล้วเป็นความหวังของประเทศ ยิ่งมาจากกองทัพด้วยแล้วสภาพการนำเป็นเพียงชั่วคราว ตามสถานการณ์พาไป
ความหวังว่าจะมีผู้นำประเทศจากภาคราชการยากเย็นแสนเข็ญ เพราะตลอดชั่วชีวิตแทบไม่มีโอกาสคิด แสดงความเป็นตัวของตัวเอง เมื่อต้องรับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา ไม่กล้าแหกคอกคิดเอง ทั้งยังต้องระวังตัวว่าจะต้องอยู่รอดให้ได้เมื่อมีการผลัดเปลี่ยนหัวหน้า
ถ้าจะมีผู้นำจากภาคราชการ ก็จะเป็นพวกเคยจมปลักอยู่กับระบบเก่า ไม่ไว้ใจภาคเอกชนเพราะก้าวตามไม่ทันโลก ที่ผ่านมาเพียงอาศัยอำนาจและตำแหน่งราชการทำตัวอยู่เหนือด้านสถานภาพแต่ไม่ใช่ในด้านความคิดทันสมัยหรือความรอบรู้ความเป็นไปในโลก
ผู้นำจากภาคกองทัพยิ่งไม่เป็นความหวัง นอกจากติดจมแน่นอยู่ในกับดักของระบบเพื่อนพ้องน้องพี่ ผลประโยชน์ล้วนๆ ขาดความทันสมัย ตกยุค แถมมีปัญหาด้านความรักชาติด้วยแล้ว การใช้อำนาจอาวุธบริหารจัดการจึงไม่สามารถนำพาบ้านเมืองไปสู่ความรุ่งเรืองได้
มาด้วยอำนาจ ยิ่งต้องหวาดระวังว่าอำนาจจะหมดสิ้น กลัวคนท้าทาย ทั้งมีข้อจำกัดด้านความรู้ความสามารถด้านการเมืองระหว่างประเทศ วิสัยทัศน์ทำให้บ้านเมืองเราดูน่าเศร้าสลด การบริหารบ้านเมืองด้วยเสียงคำรามหลังพิงกองทัพก็ยิ่งให้เห็นความขลาดเขลา
ที่ผ่านมามีผู้นำตามสภาวะความจำเป็นพอจะไปออกเวทีสากลได้บ้าง สลับฉากกับพวกตัวโง่ ตัวบ้องตื้น คุ้มดีคุ้มร้าย มีปัญหาด้านการนำเสนอตัวเอง ไร้วิสัยทัศน์สากล เราจึงไม่มีผู้นำประเทศมาจากการเลือกตั้งที่คนไทยภูมิใจว่ามีคุณสมบัติไม่อายใคร มือสะอาด รักชาติ
ถ้าวัดจำนวนไอ้หน้าขี้โกง เขมือบเก่งมากหรือน้อยก็แล้วแต่ มีมากกว่าผู้นำรัฐบาลที่ดูเหมือนดี เรามีผู้นำขี้โกง โง่ ตัวจำอวดติดอันดับโลก หน้าด้านไร้คู่แข่ง ทำบ้านเมืองเสื่อมโทรม
สังคมการเมืองในบ้านเรายังมีนักการเมืองรุ่นเก่าล้าสมัยเป็นเสาหลักประจำพรรค ส่วนหนึ่งอาจใจกว้างยอมเป็นพี่เลี้ยงคนรุ่นใหม่ ลูกหลานมีการศึกษา แต่เวลาทำให้โดนครอบงำ กลายเป็นกลุ่มผลประโยชน์ ขาดพลังกลุ่มเพื่อต่อรอง ยิ่งถ้าขาดจิตสำนึกเพื่อชาติก็ไม่รอด
มองโลกการเมืองบ้านเราในแง่ร้ายเกินไปหรือไม่? ว่ากันง่ายๆ เรายังไม่เคยเห็นผู้นำรัฐบาลที่ผ่านมาออกมายืนแถวหน้า เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับลูกกระสุนปืน ระเบิด กับประชาชนซึ่งได้ออกมาเสียสละทั้งเงินทอง เวลา ร่างกาย และทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของบ้านเมือง
เมื่อการเผชิญหน้าใกล้ถึงจุดวิกฤต มักจะมีนักตีกินออกมาชุบมือเปิบ แย่งยื้อเวลากุมอำนาจรัฐ ระดมพวกพ้องมาโกงกินสร้างความมั่งคั่งให้กลุ่มตัวเอง เมื่ออยู่ไม่ได้ก็ออกไป ทิ้งปัญหาเรื้อรังให้เกิดเกิดวิกฤตการเมือง สังคมรอบใหม่ เป็นสภาวะหมุนเวียนตามเวรกรรม
เชื่อเถอะ ถ้ารัฐธรรมนูญผ่านมีการเลือกตั้ง บ้านเมืองคงไม่ได้ผู้นำที่มีจิตวิญญาณด้านความรักชาติแท้จริง เพราะระบบที่วางไว้ไม่เอื้ออำนวย คนดีไม่มีเส้นทางให้เดิน ยิ่งมีกฎหมายกดหัวชาวบ้านไม่ให้ออกไปต่อต้านขับไล่ผู้กุมอำนาจกังฉิน เผด็จการชั่วร้าย ยิ่งมีแต่ทางตัน
เมื่อความรักชาติเจือจาง บ้านเมืองไม่มีโอกาสพัฒนาผู้นำรุ่นใหม่ จะมีแต่วิกฤตรออยู่
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาจากความคิดของนักร่างฯ 20 กว่าคน แต่หัวกะทิคือท่านมีชัยไทยแลนด์ นักแต่งรัฐธรรมนูญและเขียนกฎหมายมืออาชีพ คนกลุ่มนี้คัดสรรโดยวิธีพิเศษมีอำนาจร่างกฎหมายสูงสุดของประเทศเพื่อบังคับใช้กับประชาชนกว่า 67 ล้านคน
ถ้าใครถามว่าทำไมชาวบ้านต้องยอมรับความคิดของคนกลุ่มนี้ สุดยอดแล้วหรือ ดีกว่าความคิดของคนร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากประชาชนหรือ? ต้องบอกว่าใครจะร่างฯ ก็ช่างเถอะ แต่เหมาะสมดีกับสังคมการเมืองไทยหรือไม่เป็นอีกเรื่อง
ร่างฯ ฉบับมีชัยไทยแลนด์มีหลายประเด็นซึ่งผู้รู้และผู้ร้อนวิชาบอกว่า ต่อให้เทวดาพาพระอินทร์ลงมาร่างฯ ให้ดีเด่นอย่างไร ถ้าพวกนักซื้อเสียงเลือกตั้งหน้าเดิมๆ ยังวนเวียนอยู่ บ้านเมืองคงติดอยู่ในกับดักประชาธิปไตยน้ำเน่า มีแต่พวกตัวโกง ไร้จิตวิญญาณรักชาติ
จะผ่านประชามติหรือไม่ ถ้าไม่ผ่านบ้านเมืองจะไปอย่างไร ชาวบ้านไม่มีทางเลือก ให้สถานการณ์เป็นตัวกำหนด แต่ถ้าเรานั่งคิดจริงจังแบบไม่ต้องมองโลกสวยหรือในแง่ร้ายเกินไป เราต้องพยายามตอบคำถามให้ได้ว่าในสภาวะปัจจุบัน บ้านเมืองเรามีอนาคตมั้ย
เรามีปัญหาขาดแคลนคนระดับผู้นำ ปัญหามุมมองทัศนคติ คนมีแนวคิดสาธารณะ ในช่วง 4-5 ทศวรรษที่ผ่านมา เราขาดการพัฒนาทรัพยากรบุคคลอย่างรุนแรง โดยเฉพาะต้นแบบแนวคิดด้านจิตสำนึกความเป็นชาติ ความรู้สึกร่วมกัน ความรักชาติเริ่มจางหาย
ถ้าเราพยายามมองหาดูว่าประเทศไทยมีผู้นำรุ่นใหม่ภาคการเมือง เศรษฐกิจ สังคม มีวิสัยทัศน์ ใจซื่อมือสะอาด กล้าหาญพร้อมเสียสละ มีจิตวิญญาณเพื่อประโยชน์สาธารณะยืนหยัดเพื่อประชาชนทั้งในภาคราชการและเอกชน คำตอบน่าจะเป็น “ยังมองไม่เห็น”
ไม่มีจริงๆ ยิ่งภาคราชการทุกส่วนเห็นแต่คนมีความคิดยึดติดกรอบเดิม ตามไม่ทันโลก ไม่กล้าแสดงออกเพื่อประโยชน์สาธารณะ ขาดจิตวิญญาณด้านประชาธิปไตย ที่ผ่านมาเราเพียงได้เห็นนักวิชาการ อาจารย์พวกกล้าเสี่ยงเพียงไม่กี่รายแต่ไม่มีโอกาสได้เป็นใหญ่
คนระดับผู้นำทั้งภาคธุรกิจเอกชน ข้าราชการ มีพวกนักซุ่มนิ่ง สงวนสถานภาพของตัวเองไม่ยอมเสี่ยงเป็นปากเสียงเรื่องทุกข์ร้อนของชาวบ้าน บางกลุ่มอยู่ในสภาพรอตีกินถ้าสถานการณ์เป็นใจ “เมื่อผู้ใหญ่เรียกให้เข้าไปช่วยเหลือบ้านเมือง” ธาตุแท้เป็นพวกตาขาว
สถานการณ์บ้านเมืองในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เราไม่เคยมีผู้นำการเมืองแท้จริง มีเพียงนักการเมืองตามฤดูกาลเลือกตั้ง ไม่มีใครโดดเด่นที่ประชาชนมองดูแล้วเป็นความหวังของประเทศ ยิ่งมาจากกองทัพด้วยแล้วสภาพการนำเป็นเพียงชั่วคราว ตามสถานการณ์พาไป
ความหวังว่าจะมีผู้นำประเทศจากภาคราชการยากเย็นแสนเข็ญ เพราะตลอดชั่วชีวิตแทบไม่มีโอกาสคิด แสดงความเป็นตัวของตัวเอง เมื่อต้องรับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา ไม่กล้าแหกคอกคิดเอง ทั้งยังต้องระวังตัวว่าจะต้องอยู่รอดให้ได้เมื่อมีการผลัดเปลี่ยนหัวหน้า
ถ้าจะมีผู้นำจากภาคราชการ ก็จะเป็นพวกเคยจมปลักอยู่กับระบบเก่า ไม่ไว้ใจภาคเอกชนเพราะก้าวตามไม่ทันโลก ที่ผ่านมาเพียงอาศัยอำนาจและตำแหน่งราชการทำตัวอยู่เหนือด้านสถานภาพแต่ไม่ใช่ในด้านความคิดทันสมัยหรือความรอบรู้ความเป็นไปในโลก
ผู้นำจากภาคกองทัพยิ่งไม่เป็นความหวัง นอกจากติดจมแน่นอยู่ในกับดักของระบบเพื่อนพ้องน้องพี่ ผลประโยชน์ล้วนๆ ขาดความทันสมัย ตกยุค แถมมีปัญหาด้านความรักชาติด้วยแล้ว การใช้อำนาจอาวุธบริหารจัดการจึงไม่สามารถนำพาบ้านเมืองไปสู่ความรุ่งเรืองได้
มาด้วยอำนาจ ยิ่งต้องหวาดระวังว่าอำนาจจะหมดสิ้น กลัวคนท้าทาย ทั้งมีข้อจำกัดด้านความรู้ความสามารถด้านการเมืองระหว่างประเทศ วิสัยทัศน์ทำให้บ้านเมืองเราดูน่าเศร้าสลด การบริหารบ้านเมืองด้วยเสียงคำรามหลังพิงกองทัพก็ยิ่งให้เห็นความขลาดเขลา
ที่ผ่านมามีผู้นำตามสภาวะความจำเป็นพอจะไปออกเวทีสากลได้บ้าง สลับฉากกับพวกตัวโง่ ตัวบ้องตื้น คุ้มดีคุ้มร้าย มีปัญหาด้านการนำเสนอตัวเอง ไร้วิสัยทัศน์สากล เราจึงไม่มีผู้นำประเทศมาจากการเลือกตั้งที่คนไทยภูมิใจว่ามีคุณสมบัติไม่อายใคร มือสะอาด รักชาติ
ถ้าวัดจำนวนไอ้หน้าขี้โกง เขมือบเก่งมากหรือน้อยก็แล้วแต่ มีมากกว่าผู้นำรัฐบาลที่ดูเหมือนดี เรามีผู้นำขี้โกง โง่ ตัวจำอวดติดอันดับโลก หน้าด้านไร้คู่แข่ง ทำบ้านเมืองเสื่อมโทรม
สังคมการเมืองในบ้านเรายังมีนักการเมืองรุ่นเก่าล้าสมัยเป็นเสาหลักประจำพรรค ส่วนหนึ่งอาจใจกว้างยอมเป็นพี่เลี้ยงคนรุ่นใหม่ ลูกหลานมีการศึกษา แต่เวลาทำให้โดนครอบงำ กลายเป็นกลุ่มผลประโยชน์ ขาดพลังกลุ่มเพื่อต่อรอง ยิ่งถ้าขาดจิตสำนึกเพื่อชาติก็ไม่รอด
มองโลกการเมืองบ้านเราในแง่ร้ายเกินไปหรือไม่? ว่ากันง่ายๆ เรายังไม่เคยเห็นผู้นำรัฐบาลที่ผ่านมาออกมายืนแถวหน้า เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับลูกกระสุนปืน ระเบิด กับประชาชนซึ่งได้ออกมาเสียสละทั้งเงินทอง เวลา ร่างกาย และทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของบ้านเมือง
เมื่อการเผชิญหน้าใกล้ถึงจุดวิกฤต มักจะมีนักตีกินออกมาชุบมือเปิบ แย่งยื้อเวลากุมอำนาจรัฐ ระดมพวกพ้องมาโกงกินสร้างความมั่งคั่งให้กลุ่มตัวเอง เมื่ออยู่ไม่ได้ก็ออกไป ทิ้งปัญหาเรื้อรังให้เกิดเกิดวิกฤตการเมือง สังคมรอบใหม่ เป็นสภาวะหมุนเวียนตามเวรกรรม
เชื่อเถอะ ถ้ารัฐธรรมนูญผ่านมีการเลือกตั้ง บ้านเมืองคงไม่ได้ผู้นำที่มีจิตวิญญาณด้านความรักชาติแท้จริง เพราะระบบที่วางไว้ไม่เอื้ออำนวย คนดีไม่มีเส้นทางให้เดิน ยิ่งมีกฎหมายกดหัวชาวบ้านไม่ให้ออกไปต่อต้านขับไล่ผู้กุมอำนาจกังฉิน เผด็จการชั่วร้าย ยิ่งมีแต่ทางตัน
เมื่อความรักชาติเจือจาง บ้านเมืองไม่มีโอกาสพัฒนาผู้นำรุ่นใหม่ จะมีแต่วิกฤตรออยู่